เล่อฮวาทิงเป็ภัตคารและที่พักแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ อยู่ในระดับหรูหราสุดฟุ้งเฟ้อ เทียบกับร้านยาของตระกูลจิ่งที่สูงสามชั้นแล้ว ที่นี่สูงถึงห้าชั้น พื้นที่ก็กว้างกว่า มีคนแน่นร้านอยู่ตลอดเวลา มีลูกค้ามีความ้าเข้ามาใช้บริการมากเกินจะรับไหว นี่เป็หนึ่งในกิจการของตระกูลจิ่ง
ดังนั้นพอพวกเขามาถึง หลงจู๊จึงพาพนักงานในร้านออกมาต้อนรับ การบริการถือว่าดียิ่ง อ๋าวหรานได้ััอย่างลึกซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่ารู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่บ้าน ในฐานะที่เป็คนตระกูลจิ่ง เล่อฮวาทิงเหลือห้องรับรองและห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดไว้ให้พวกเขาเสมอ แต่จิ่งเซียงชอบความคึกคัก ทุกคนจึงนั่งรับประทานอาหารกันที่ห้องใหญ่ชั้นสาม ที่นั่งข้างหน้าต่าง สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างได้อย่างชัดเจน มองเห็นถนนที่คึกคักปรากฏอยู่ในสายตา
“นายน้อย วันนี้มีอาหารจานใหม่ นายน้อยอยากจะลองชิมไหมขอรับ?”
จิ่งฝานพยักหน้า “อืม”
เขายังหันถามอีกว่า “อ๋าวหราน ยังมีอะไรที่เ้าอยากทานอีกหรือไม่?”
อ๋าวหรานกำลังมองไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจิ่งฝานเรียกเขา “สั่งของที่พวกเ้าชอบทานกันตามปกติก็เพียงพอแล้ว”
จิ่งฝานพยักหน้ามองไปที่หลงจู๊ “ยกอาหารขึ้นชื่อสองสามอย่างขึ้นมาเถิด”
หลงจู๊ตอบขอรับอย่างนอบน้อม กล่าวอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน นายน้อยกับคุณหนูคุณชายทั้งหลาย้าอะไรเพิ่มเติม สามารถเรียกข้าน้อยได้ตลอดเวลาเลยนะขอรับ”
จิ่งฝาน “เ้าไปทำธุระของเ้าเถิด ไม่ต้องสนใจพวกเรา”
หลงจู๊คนนั้นพยักหน้า จากนั้นจึงถอยไป
น้ำชาบนโต๊ะมีควันลอยล่อง กลิ่นหอมละมุนลอยเข้าจมูก อ๋าวหรานอดใจไม่ไหวจึงประคองถ้วยขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง จิ่งเซียงที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามยิ้มแล้วพูดว่า “อ๋าวหรานทำไมท่าทางของเ้าถึงเหมือนหนูเลยล่ะ?”
อ๋าวหรานกรอกตามองบน “ถ้าไม่เหน็บแนมข้าเ้าจะทรมารนมากใช่หรือไหม?”
จิ่งเซียงหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา
จิ่งจื่อตอนนี้มาอยู่ฝั่งเดียวกับจิ่งเซียงแล้ว พูดอย่างจริงจังว่า “จิ่งเซียงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
อ๋าวหรานทำอะไรไม่ได้ สาวน้อยคนนี้อย่างไรเสียก็เป็เพียงเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกจริงๆ ชอบหยอกล้อสนุกสนาน หากอยู่ต่อหน้าคนที่สนิทก็จะพูดเยอะ พูดคุยอยู่กับอ๋าวหรานสองสามคำ สักพักก็หันไปเถียงกับจิ่งจื่อ ท่าทางมีความสุขมาก
อ๋าวหรานที่อายุปูนนี้แล้วหันไปมองจิ่งฝาน เขาตัดสินใจจะพูดกับจิ่งฝานที่อายุมากขึ้นมาสักหน่อย แต่ว่า ก็ไม่รู้ว่าคนคนนี้วันทั้งวันเอาแต่คิดอันใดอยู่ เอาแต่เงียบเป็ส่วนใหญ่ ไม่เหมือนกับในนิยายที่มักจะชอบยิ้มบางๆ อ๋าวหรานอดนึกถึงสัญญาที่เขากับจิ่งเซียงเคยทำไว้ด้วยกันไม่ได้
เขาอดยิ้มสว่างไสวไม่ได้ เป็ร้อยยิ้มที่แฝงความชั่วร้ายแลดูมีลับลมคมในไว้เล็กน้อย จิ่งฝานที่บังเอิญหันมาเห็นนั้นอดไม่ได้ที่จะสะท้านใจ
อ๋าวหราน “เซียงเซียง ยังจำคำสัญญาของเราสองคนได้หรือไม่?”
จิ่งเซียงสงสัย “อันใดหรือ?”
อ๋าวหรานยิ้ม “แกล้งท่านพี่ของเ้าให้เสียน้ำตาอย่างไรเล่า”
จิ่งเซียงเข้าใจในทันใด “จริงด้วย!”
จิ่งจื่อที่อยู่ด้านข้างขำพรืดออกมา “พวกเ้าสองคนกำลังฝันกลางวันกันอยู่สินะ พี่จิ่งฝานเป็เทพเ้าในใจข้า จะร้องไห้ได้อย่างไร”
อ๋าวหรานไม่ยินยอม “เขาเป็เทพในใจเ้า แต่ในชีวิตจริงเขาก็เป็แค่คนคนหนึ่ง ในเมื่อเป็คนก็ต้องรู้สึกโศกเศร้า รู้สึกมีความสุข มีอารมณ์เป็ของตนเอง”
จิ่งเซียงพยักหน้า ถลึงตาใส่จิ่งจื่อ “พี่ชายข้าไม่ใช่หุ่นไม้เสียหน่อย”
จิ่งจื่อถูกสองคนนี้พูดข่มเข้า จึงได้แต่อ้าปากค้าง เสียงเบาลงนิดหน่อยก่อนพูดว่า “อย่างไร ข้าก็ว่าเป็ไปไม่ได้”
“ข้าไม่มีทางร้องหรอก ไม่มีทางตลอดไป”
คนที่ถูกทั้งสามคนนำไปเป็หัวข้อถกเถียงกันจู่ๆ ก็พูดขัดขึ้น ความชัดเจนแน่นอนในน้ำเสียงทำให้คนใ สันหลังเย็นวาบ
จิ่งจื่อได้ใจขึ้นมาในทันใด ใช้เสียงเยาะเย้ยแบบที่เขาชอบทำเป็ประจำพูดว่า “เหอะ เห็นหรือไม่”
จิ่งเซียงพึมพำ พูดด้วยอย่างโกรธๆ ว่า “ท่านพี่ อย่างน้อยท่านก็ช่วยเป็พวกข้าหน่อยสิ เออออตามข้าไป ท่านดูหางของจิ่งจื่อแทบจะกระดิกขึ้นฟ้าแล้ว ได้ใจจะตายอยู่แล้ว”
จิ่งจื่อตอบกลับไปอีกประโยคหนึ่ง ทั้งสองคนเริ่มเถียงกันขึ้นมาอีก
แต่อ๋าวหรานกลับไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนมีอะไรมาขัดอยู่ที่ลำคอ กลืนไม่ลง อุดอยู่ที่ลำคอจนรู้สึกทรมาน
ประโยคนั้นของจิ่งฝานเต็มไปด้วยความแน่ใจ เหมือนคำสาบานของชายผู้เป็ผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง แต่อ๋าวหรานกลับรู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกปวดใจ ประหลาดมาก ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน คนตรงหน้าสูงกว่าเขาไปหนึ่ง่ศีรษะ หันข้างมองไป เห็นเขารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้างดงามราวรูปสลักชั้นยอด หล่อเหลาจนทำให้คนละสายตาออกไปไม่ได้ มุมปากเหมือนจะมีรอยยิ้ม แต่อ๋าวหรานกลับมองเห็นความโดดเดี่ยวและเศร้าหมองนั้นชัดเจน
ทั้งด้านนอกและด้านในหน้าต่างล้วนแล้วแต่คึกคักรื่นเริง มีเพียงที่เขาที่เดียวที่หนาวเหน็บ ไม่เข้ากันบรรยากาศโดยรอบเลยแม้แต่น้อย
อ๋าวหรานรู้สึกเหมือนหัวใจโดนมีดกรีด เจ็บจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ แต่ทว่าความรู้สึกนี้กลับเกิดขึ้นเพียงแวบเดียว ราวกับคิดไปเองอย่างไรอย่างนั้น
อ๋าวหรานอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ว่าอายุมากแล้ว ชอบคิดอะไรไร้สาระ ชอบคิดอะไรหลุดโลกไปกันใหญ่แล้ว
แต่เขาก็ยังอดไม่อยู่ ยื่นมือไปวางบนไหล่ของจิ่งฝาน ร่างใต้มือสั่นไหวขึ้นกะทันหัน ขณะเดียวกันก็หันศีรษะมาทันใด จ้องมองอ๋าวหราน
อ๋าวหรานยิ้มกว้าง “ทำให้เ้าขำจนร้องไห้คงจะนับนะ”
รอยยิ้มนี้ราวกับแสงตะวันในเดือนแปด ระยิบระยับจับตาเสียยิ่งกว่าท้องนภาอันสว่างไสวนอกหน้าต่าง หากอ๋าวหรานไปส่องกระจก ก็คงจะถูกรอยยิ้มของตัวเองสยบเอาเช่นกัน
จิ่งฝานตกตะลึง
“นายน้อย คุณหนู คุณชาย อาหารมาแล้วขอรับ”
“อาหารจานใหม่วันนี้คือ ปลาอาเป่า ปลานี้มีแค่ที่ทางภาคใต้ของแผ่นดินใหญ่เท่านั้นที่มี เคลื่อนย้ายมาถึงนี่อย่างลำบาก รสดีเป็อย่างยิ่ง คุณชายทั้งหลายชิมดูเถิดขอรับ” หลงจู๊ทำท่าทางเหมือนมอบของล้ำค่าก็มิปาน
อาหารบนโต๊ะมีหลายอย่าง ทั้งน่าทาน ทั้งหอมหวาน พวกเขาวุ่นวายมาตลอด่เช้า กำลังหิวอยู่พอดี มองเห็นอาหารก็ไม่พูดมาก ลงมือกินกันทันที
อ๋าวหรานกินปลา พูดชมว่า “พ่อครัวใหญ่ของตระกูลจิ่งฝีมือไม่เลวทั้งนั้นเลย”
จิ่งเซียงได้ใจ “แน่นอน”
อ๋าวหรานมีความสุข “ต่อไปก็ขออยู่บ้านเ้า ฝากท้องไว้สักหน่อยแล้ว”
จิ่งจื่อกรอกตา “เ้ายังมีหน้ามาพูด ก็อยู่มานานขนาดนี้แล้ว”
อ๋างหรานพูดอย่างจริงจัง “ก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าไม่อายอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน”
จิ่งจื่อ “ดูไม่ออกเลย!”
อ๋าวหราน “อ้อ” แล้วกินปลาต่อ
จิ่งจื่อ “……”
“คุณชายท่านนี้ไม่ทราบว่า จะสามารถให้เกียรติไปนั่งโต๊ะผู้น้อยทางด้านนู้นได้หรือไม่?”
ขณะที่พวกเขากินไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกเสียงหวานๆ นี้ทำให้สั่นสะท้าน เงยหน้ามองออกไป เห็นสตรีนางหนึ่งยื่นอยู่ข้างโต๊ะพวกเขา หน้าอกและสะโพกอวบอิ่ม มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนดูร้อนแรงยิ่ง ดวงหน้ารูปไข่ห่าน คางแหลม ตากลมโตยิ่งนัก หางตาชี้ขึ้น ขนคิ้วงดงามราวเหมือนแพรไหม ดวงตาแวววาวแสนงดงามนั่นหรี่พริ้มลงเล็กน้อย รอยยิ้มยั่วยวน ทำให้คนจิตใจสั่นไหว
อีกทั้งนางยังสวมเสื้อผ้าไม่เหมือนจิ่งเซียง จิ่งเซียงสวมชุดกระโปรงยาวแบบโบราณ ถึงแม้จะไม่ถึงขนาดด้านนอกสามชั้นด้านในสามชั้น แต่ก็ค่อนข้างปกปิดมิดชิด แต่นางกลับสวมผ้าเบาบางสีแดงเข้ม บางเหมือนปีกจักจั่น เกือบจะโปร่งใส ใต้ผ้าเบาบางนั้นมีแค่ชุดสีดำสองชิ้น หนึ่งคือ้าเป็เสื้อเอวลอยตัวเล็ก สายคล้องบ่ามีความกว้างแค่สองนิ้ว ท่อนล่างเป็กางเกงขาสั้นที่คลุมถึงแค่บริเวณก้น ขาอ่อนขาวสองข้างวับวับแวมแวมอยู่ใต้ผ้าบางสีแดง
คนบนโต๊ะทุกคนล้วนเปลี่ยนสีหน้า แต่เปลี่ยนไปแตกต่างกัน
จิ่งเซียงสีหน้าส่วนใหญ่ของนางคือโมโห มีปีศาจมาให้ท่าพี่ชายของนางอีกแล้ว อีกทั้งแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็ปีศาจผู้ช่ำชอง ขนาดนางมองแล้วยังหน้าแดงใจเต้น ไม่รู้ว่าพี่ชายนางจะทนไหวหรือเปล่า
จิ่งจื่อนั้นหน้าแดง หญิงสาวที่เขาเคยเจอมา ที่ถือว่าเย้ายวนที่สุดก็มีแค่จิ่งฉี แต่จิ่งฉีเมื่อเปรียบเทียบกับหญิงสาวตรงหน้าแล้วนั้นเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่ต่างกันไม่ใช่แค่ระดับเดียว อีกทั้งจิ่งฉียังแต่งตัวปกปิดมิดชิดกว่ามาก อย่างมากก็แค่ทำท่าทางออดอ้อน ส่งสายตา ทำเสียงออดอ้อนยังมีลักษณะของสาวน้อยอยู่มาก แต่แม่นางคนนี้เป็ผู้ใหญ่แล้วจริงๆ เป็ผู้ใหญ่และเย้ายวน ราวกับปีศาจสาว
ส่วนอ๋าวหรานนั้น กลับเป็ใ จิ่งฝานจะได้เจอดอกท้อที่นี่ แต่ดอกท้อดอกนั้นคือ เทพธิดาแห่งเทศกาลเฉลิมฉลองดอกจินมู่บาน บริสุทธิ์ดีงาม อีกทั้งสถานที่เจอก็ไม่ใช่ที่นี่ ส่วนแม่นางคนนี้กลับคล้ายกับดอกท้ออีกดอกหนึ่งของจิ่งฝานมากกว่า สังกัดตระกูลทาง นับว่าเป็ปีศาจสาวเลยทีเดียว แต่แม่นางผู้นั้นต้องปรากฏตัวมาในตอนท้ายในอีกสถานที่หนึ่ง ไม่ว่าทั้งเวลาหรือสถานที่ล้วนไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ทว่าถ้าดูจากรูปแบบการแต่งกายแล้วก็เหมือนกับที่ในหนังสือบรรยายไว้
เนื้อเื่เริ่มผิดเพี้ยนมากขึ้นแล้วหรือ? อ๋าวหรานรู้สึกทั้งเป็สุขทั้งทุกข์ใจ