กูเฟยเยี่ยนไม่กลัวเื่อื่นแต่กลัวว่าเถ้าแก่จะถ่วงเวลาพวกเขา
นางไม่คิดเล็กคิดน้อยว่าตนเองผิดหรือไม่ ทันทีที่นางเอ่ยออกมาก็ทำการขอโทษก่อน “เถ้าแก่ เื่เมื่อวานนี้ข้าขอโทษด้วยจริงๆ ! เป็ความผิดของข้าทั้งหมด”
หลังจากที่กูเฟยเยี่ยนยอมรับความผิดพลาดแล้ว เถ้าแก่ก็ด่าทอไม่ไหว ไหนจะเผชิญหน้ากับอากัปกิริยายอมรับผิดด้วยความนอบน้อมและจริงใจเช่นนี้อีก
ในทีแรกเถ้าแก่ยังอยากจะด่าทอนางต่อ แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็สงบสติอารมณ์ลงมาเล็กน้อย
กูเฟยเยี่ยนจึบรีบร้อนนำห่อยาสมุนไพรขนาดใหญ่ที่จัดเตรียมไว้เมื่อคืนวานนี้มาประเคนให้ “นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงความรู้สึกเสียใจ หวังว่าท่านจะใจกว้างไม่โกรธข้าแล้ว”
เถ้าแก่ไม่ขยับเขยื้อน กูเฟยเยี่ยนจึงจงใจเปิดห่อสมุนไพรออกมา สมุนไพรที่อยู่ด้านในนั้นอย่าว่าแต่เถ้าแก่เลย เพราะแม้แต่จวินจิ่วเฉินยังตกตะลึง ภายในห่อยาสมุนไพรนี้ล้วนเป็สมุนไพรล้ำค่าและมีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่ว่าจะเป็ เหอโส่ววู เขากวางอ่อน ม้าน้ำ ถั่งเช่า หลินจือ ชะมด และบัวหิมะ ซึ่งกล่าวได้ว่าสมุนไพรล้ำค่าที่สามารถพูดชื่อออกมาได้ล้วนมีทั้งหมด
จวินจิ่วเฉินไม่เชื่อว่ากูเฟยเยี่ยนจะพกสิ่งของมากมายขนาดนี้ใน่เวลาที่ออกเดินทางมาด้านนอก เขามองไปที่หวางเป่าติงน้อยบนเอวของนาง ทางด้านของเถ้าแก่นั้นไม่คิดอะไรมาก ดวงตาของเขาเปล่งประกายความแวววาวออกมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว!
อันที่จริงเขาไม่สามารถทำอะไรคนที่หัวหน้าาุโแห่งหุบเขาเสินหนงแนะนำมาด้วยตนเองได้ เขาก็แค่เก็บอารมณ์ไม่อยู่อยากจะด่าทอกูเฟยเยี่ยนต่อ แต่ถ้าหากต้องเลือกระหว่างการด่าทอกับสมุนไพร แน่นอนว่าเขาจะเลือกอย่างหลังมากกว่า!
“เหอะๆ เห็นแก่หน้าของหัวหน้าาุโ เื่นี้ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเ้า! ”
เถ้าแก่พูดแล้วก็รับห่อยาสมุนไพรไปทันที
กูเฟยเยี่ยนลอบถอนหายใจออกมาแล้วรีบเอ่ยถาม “เช่นนั้นพวกเราจะเดินทางเข้าเขาไปพบแพทย์กู้เมื่อใด? ”
เถ้าแก่ไม่กลั่นแกล้งนาง เขาหันไปมองสีท้องฟ้าแล้วเอ่ยว่า “หากว่าอีกครึ่งชั่วยามองค์ชายสามแห่งอาณาจักรว่านจิ้นกลับมา พวกเราก็จะเข้าไปในเขาวันนี้ แต่หากว่าเขาไม่กลับมาก็ทำได้เพียงรอวันพรุ่งนี้”
ความรังเกียจที่กูเฟยเยี่ยนมีให้กับไป๋หลี่ิชวนเพิ่มขึ้นถึงสามส่วน นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะฉวยโอกาสนี้กระซิบแ่เบา “เถ้าแก่ ใครเป็คนแนะนำเขากัน? ”
เถ้าแก่เหลือบมองนางแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
กูเฟยเยี่ยนเจตนายั่วอารมณ์ “ศักดิ์ศรีของหัวหน้าาุโแห่งหุบเขาเสินหนงยังใหญ่เทียบกับคนคนนั้นไม่ได้หรือ? ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ควรมีสิทธิพิเศษไม่ใช่หรือ? ”
เถ้าแก่มองแวบเดียวก็รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของกูเฟยเยี่ยน เขาไม่มากความเพียงแค่ให้นางเป็เด็กดีคอยไปก่อน
หลังจากที่เถ้าแก่ออกไปกูเฟยเยี่ยนจึงพูดแ่เบา “ศีลธรรมจอมปลอม! ”
“เปิ่นหวางสงสัยมาโดยตลอดว่าทักษะสมุนไพรของไป๋หลี่ิชวนนั้นเรียนรู้มาจากที่ใด”
ในตอนนี้เองที่กูเฟยเยี่ยนตระหนักได้ว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์น่าละอายเมื่อวานกับคำพูดที่นางแอบฟังทำให้นางไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง
นางกล่าวว่า “ไป๋หลี่ิชวนเคยพูดไว้ว่ามีท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าเป็เื่จริงหรือเท็จเพคะ”
“ท่านอาจารย์? ”
จวินจิ่วเฉินรู้สึกประหลาดใจ ไป๋หลี่ิชวนเป็ทายาทสายตรงลำดับที่สามของราชวงศ์แห่งอาณาจักรว่านจิ้น หลงระเริง เย่อหยิ่ง ฟุ่มเฟือย ทำตัวเหลวไหล และมั่วโลกีย์จนเป็ที่เลื่องลือไปทั่วดินแดนเสวียนคง ทว่าจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่าเขามีอาจารย์
หากเขามีอาจารย์จริง เป็ไปได้หรือไม่ว่าเป็อาจารย์ที่ไม่มีใครรู้จัก?
หากไม่มีอาจารย์แล้วทักษะยาสมุนไพรกับทักษะยาพิษของเขาที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับกูเฟยเยี่ยนได้นั้นมาจากที่ใดกัน?
การเรียนรู้ทักษะสมุนไพรกับทักษะทางการแพทย์ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในหนึ่งวัน สิ่งเหล่านี้มีเพียงพร์อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการเรียนรู้อย่างหนักนานหลายปีด้วย
ที่จริงแล้วความคิดของกูเฟยเยี่ยนคล้ายคลึงกับความคิดของจวินจิ่วเฉิน เพียงแต่นางไม่กล้าพูดมากเพราะกลัวว่าเมื่อพูดมากแล้วจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะสงสัยมาถึงทักษะยาสมุนไพรของนาง
ทันทีที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นล่างก็เห็นไป๋หลี่ิชวนเดินเข้ามา
ไป๋หลี่ิชวนเลิกคิ้วพิจารณาพวกเขาแวบหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะพูดกูเฟยเยี่ยนก็ะโเรียกเด็กในร้านทันที “ไปตามเถ้าแก่ของพวกเ้ามา บอกเขาว่าออกเดินทางได้แล้ว! ”
ไป๋หลี่ิชวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ดูท่าว่าเ้าจะยอมรับผิดแล้ว”
กูเฟยเยี่ยนอาฆาตแค้นในใจแล้วทำใจแข็งเรียนรู้จากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย ที่ถามอะไรไปก็ไม่ตอบสักคำและไม่สนใจไยดีเขา!
ทันทีที่เถ้าแก่มาถึงแล้วเห็นว่าคนครบแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาไปควบคุมเรือไม้ลำเล็กเพื่อพาพวกเขาเข้าไปในูเา
เถ้าแก่ควบคุมอยู่ด้านท้ายเรือ กูเฟยเยี่ยนขึ้นเรือเป็คนแรกจึงแย่งตำแหน่งหัวเรือแล้วรีบกวักมือเรียกจวินจิ่วเฉิน “เตี้ยนเซี่ย ตรงนี้! ”
ั์ตาของจวินจิ่วเฉินปรากฏถึงความจำใจแต่ก็เดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างของกูเฟยเยี่ยน ไป๋หลี่ิชวนมองพวกเขาแวบหนึ่งพลันยิ้มเยาะเหยียดหยาม ก่อนจะวิ่งไปอยู่เป็เพื่อนเถ้าแก่ที่ท้ายเรือ
เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่เขาเป็เส้นทาง ทางน้ำเช่นเคย เรือของพวกเขาแล่นไปตามแม่น้ำสายหลักอย่างเยนอวิ๋นเจี้ยน เรือของเถ้าแก่แล่นอย่างรวดเร็วไม่เหมือนกับเรือท่องเที่ยวที่แล่นอยู่บนผิวน้ำอย่างเชื่องช้า ไม่ช้าเรือลำเล็กก็แล่นออกจากเมือง
ชายฝั่งทั้งสองข้างไม่ใช่บ้านเรือนที่สร้างอยู่ริมน้ำอีกต่อไป แต่เป็ป่าไผ่สีเขียวมรกต โดยที่สีเขียวมรกตเหล่านี้สะท้อนน้ำที่ใสไปถึงก้นแม่น้ำให้กลายเป็สีเขียวขจี
เมื่อผ่านป่าไผ่ไปก็จะเป็การเข้ามาในป่าเขาที่แท้จริง ยิ่งเข้าไปลึกเพียงใดความเขียวขจีของชายฝั่งทั้งสองข้างก็เพิ่มมากขึ้น เหล่าต้นไม้เขียวชอุ่มค่อยๆ บดบังดวงอาทิตย์จนทำให้แม่น้ำทั้งสายแปรเปลี่ยนมาเป็ความมืดสลัว
กูเฟยเยี่ยนมองบริเวณโดยรอบด้วยความคิดที่ว่าจะเป็เื่ดีหากมาสถานที่แห่งนี้ตอน่ฤดูร้อนอบอ้าว เพราะสถานที่แห่งนี้ร่มเย็นเหมาะกับที่พักตากอากาศมากที่สุด!
แต่อย่างไรก็ตามจวินจิ่วเฉินกับไป๋หลี่ิชวนเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว ผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้จะมีลางสังหรณ์ที่เฉียบแหลม สถานที่แห่งนี้มีการซุ่มสังหารไม่น้อยเลย อันตรายอย่างยิ่ง หากไม่มีเรือนำทางของเถ้าแก่ เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้
จวินจิ่วเฉินอดสงสัยไม่ได้ว่าแพทย์กู้ท่านนี้เป็คนแบบไหนกันแน่
ต้นไม้บริเวณโดยรอบเขียวขจีมากขึ้นเรื่อยๆ แสงสว่างก็ค่อยๆ มืดลง เถ้าแก่จึงค่อยๆ ลดความเร็วของเรือลง หลังจากนั้นเรือลำเล็กก็แล่นเข้าไปหยุดอยู่ในความมืดมิดที่ยื่นนิ้วมือทั้งห้าออกมาก็มองไม่เห็น
ไป๋หลี่ิชวนจับมือเถ้าแก่พลางเอ่ยถามเ็าทันที “เกิดอะไรขึ้น? ”
จวินจิ่วเฉินไม่พูดจาแต่วินาทีนั้นเขาก็ได้ดึงแขนกูเฟยเยี่ยนไว้เพื่อให้แน่ใจว่านางอยู่ข้างกายเขา ท่อนแขนของกูเฟยเยี่ยนแข็งทื่อและไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้ว่านางจะเขินอาย แต่ก็ไม่มีเวลามาสนใจมากนักเพราะต้องระมัดระวังตัว
เถ้าแก่ไม่ได้ตอบคำถามไป๋หลี่ิชวน ไป๋หลี่ิชวนจึงพูดอีกครั้ง “เหตุใดจึงไม่ไปต่อ? ”
เถ้าแก่จึงพูดด้วยความไม่พอใจ “หุบปาก ในเมื่อเ้าเชื่อคนที่แนะนำเ้ามาก็ควรที่จะเชื่อข้า! หากเ้าไม่เชื่อก็กลับไปตอนนี้เลย! ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ไป๋หลี่ิชวนจึงหุบปากลง ในส่วนของบริเวณโดยรอบนั้นจมลึกในความเงียบสงบอีกครั้ง ความเงียบสงบนี้ไม่แม้แต่จะมีเสียงเรียกร้องของนกกับแมลง
ในขณะนี้เองเถ้าแก่ก็หยิบไม้พายมาเคาะผิวน้ำเบาๆ “ปัง ปัง ปัง” ไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็ท่วงทำนองคล้ายกับหนึ่งบทเพลง
นี่คือสัญญาณลับชัดๆ จวินจิ่วเฉินกับไป๋หลี่ิชวนสังเกตเห็นได้ชัดว่าไอสังหารที่ซุ่มโจมตีบริเวณโดยรอบค่อยๆ สลายหายไป
ผ่านไปครู่หนึ่งเถ้าแก่ก็พายเรืออีกครั้งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
พวกเขาแล่นผ่านความมืดมิดมาได้อย่างราบรื่น เมื่อผ่านป่าไม้มาแม่น้ำก็ขยายใหญ่ขึ้น สิ่งที่พวกเขาพบเห็นคือพระราชวังโบราณเรียบง่ายและลึกลับที่ก่อตั้งอยู่บนูเาริมฝั่งไม่ไกล มีขนาดเล็กใหญ่สูงต่ำปนเปกันไป เพียงแต่ไม่พบเห็นใครสักคนและไม่พบเห็นแสงไฟ
กูเฟยเยี่ยนมองไปมองมาก็ปรากฏถึงความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวโดยไม่รู้ตัว “เถ้าแก่ นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวตระกูลกู้ซ่อนตัวหรือ? ปัจจุบันนี้…มีเพียงแพทย์กู้อาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวหรือ? ”
เถ้าแก่ควบคุมเรือไปด้วยตอบไปด้วย “ใช่แล้ว อีกสักครู่นี้พวกเ้าขึ้นไปแล้วห้ามเดินสะเปะสะปะ ตามข้าไปก็พอ”
ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงพิณดังมาจากตำหนักในพระราชวัง…