“เอ๊ะ?! นั่นหวู่เสี่ยวไม่ใช่หรือ?” เมื่อฝูงชนได้เห็นหน้าของชายหนุ่มที่ถูกโยนออกมาชัดๆ ก็พากันส่งเสียงตื่นใขึ้นมา
หวู่เสี่ยวแข็งแกร่งกว่าเฟิงเฉียนหลายเท่า นอกจากนี้เขายังมีชื่อเสียงในเมืองหยางโจวไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกหลินเฟิงเตะออกมาข้างนอก ประหนึ่งเตะขยะก็ไม่ปาน นี่เป็ผลจากการทำตัวกร่างใส่หลินเฟิง
“คนคนนี้เป็ใครกันนะ ช่างแข็งแกร่งมาก!!!”
เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของหลินเฟิงกับตาตัวเองแล้ว พวกเขาก็อยากจะรู้ว่าชายหนุ่มปริศนาคนนี้เป็ใคร และทำไมพวกเขาถึงไม่รู้ว่าในเมืองหยางโจวมีชายหนุ่มที่มีพร์ล้ำเลิศคนนี้อยู่ด้วย???
แต่ถ้าทุกคนได้รู้ว่าชายหนุ่มปริศนาที่แสนโอหังคนนี้ เป็คนเดียวกับไอ้ขยะที่ถูกตระกูลหลินขับไล่ออกจากตระกูลล่ะก็ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
อีก 6 คนที่อยู่ในห้องโถงทั้งหมด ต่างถูกการลงมือที่โเี้ของหลินเฟิงข่มขวัญจนไม่กล้าพูดแย้งอะไรออกมา ไอ้หมอนี่มันบ้ามาก!!!
“มีใครอยากแสดงความคิดเห็นอะไรไหม?” หลินเฟิงหันกลับมาถาม สายตาอันเ็ากวาดมองไปยัง 6 คนที่เหลือ ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ละคนพากันปิดปากเงียบ
“หึๆ” ชิวหลันหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเดินไปยืนข้างๆ หลินเฟิง แล้วกวาดสายตามองไปยังฝูงชนด้านนอก สุดท้ายสายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของเฟิงเฉียนที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไกล
“เฟิงเฉียน ยังเหลือที่ว่างอีกหนึ่งที่ มันเป็ของเ้า”
เฟิงเฉียนตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาเหลือบตามองไปที่หลินเฟิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ชิวหลัน ก่อนจะพยักหน้า “ได้”
“ส่วนเ้าตามข้ามา” ชิวหลันหันมาพูดกับหลินเฟิง แล้วเดินนำไปที่ด้านหลังของห้องโถง
หลินเฟิงไม่ปฏิเสธ เขาเดินตามชิวหลันไปที่ด้านหลังของห้องโถง ที่นี่เป็เพียงอาคารเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีห้องอยู่แค่สองสามห้อง แต่ละห้องดูโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ยังเงียบสงบมาก นับว่าเป็สถานที่ที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“เ้าพร้อมจะเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้หรือไม่?”
เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของโต๊ะหิน ชิวหลันก็หันหน้ากลับมาถามหลินเฟิง
ดวงตาของหลินเฟิงสั่นระริกเล็กน้อย ขณะมองไปที่ชิวหลันอย่างครุ่นคิด “พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เ้าน่าจะบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาแล้วใช่ไหม?” ชิวหลันส่งยิ้มให้หลินเฟิง แล้วพูดต่อไปว่า “อายุแค่ 16 ปีแต่กลับสามารถบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาได้ พร์ของเ้าไม่ธรรมดาเลยนี่ แต่ข้าคิดว่าอาศัยแค่การบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถต่อกรกับตระกูลหลินและตระกูลน่าหลันได้หรอก”
ชิวหลันมองเื่ราวทั้งหมดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนาง ชิวหลันกล่าวต่อไปว่า “ขยะจากตระกูลหลินคนหนึ่ง กลับสามารถบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาได้ในตอนอายุ 16 ปี พร์ของเ้าโดดเด่นยิ่งกว่าเหล่าอัจฉริยะที่โอ้อวดตัวเองไปทั่วเมืองเสียอีก หลินเฟิง ข้ายอมรับเลยว่าหลายๆ คนมองเ้าผิดไป แม้แต่ข้าก็ด้วย แต่ทว่าเ้าคงรู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้มีคนไม่น้อยที่อยากจะให้เ้าตาย”
หลินเฟิงมองชิวหลันด้วยสายตาประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้รู้เื่ราวไม่น้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าชิวหลันจะไม่ใช่รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นในเมืองหยางโจวธรรมดาๆ อย่างที่นางแสดงออกมาแน่ๆ
“ฟังจากที่เ้าพูดแล้ว ข้าควรจะทำยังไง?” หลินเฟิงไม่ยอมเผยไต๋ออกมาง่ายๆ
“หากไม่ถือสา เ้าช่วยรอข้าสักครู่ได้ไหม?” ชิวหลันยิ้มบางๆ ออกมา ท่าทางของนางในตอนนี้ดูแตกต่างไปจากปกติ นางดูมีจริตจะก้านมากขึ้น เดิมทีชิวหลันก็นับว่าเป็สาวงามคนหนึ่ง ยิ่งรอยยิ้มหวานๆ ที่แฝงไปด้วยความเขินอาย คงทำให้หัวใจของชายหนุ่มหลายคนละลายแน่ๆ เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์ของนางกับภาพลักษณ์ค่อนข้างจะไม่สอดคล้องกันเท่าไร
“ได้สิ” หลินเฟิงพยักหน้า
ชิวหลันเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ผ่านไปสักพักก็เดินออกมา ในมือของนางถือบางอย่างเอาไว้ เมื่อพระอาทิตย์ส่องลงมากระทบกับ ‘สิ่งนี้’ มันก็จะเกิดแสงสว่างสีเงินขึ้นมา
“ความยาวของมัน น่าจะพอดีกับหน้าของเ้า”
ชิวหลันส่งของในมือให้กับหลินเฟิง มันคือหน้ากากสีขาวเงินอันหนึ่ง ความยาวของมันสามารถปกปิดใบหน้าได้ครึ่งหนึ่ง และยังเจาะรูสำหรับดวงตาอีกด้วย
หลินเฟิงรับหน้ากากที่ชิวหลันส่งมาให้ ก่อนจะสวมไว้บนหน้า ซึ่งหน้ากากนี้มีขนาดพอเหมาะกับใบหน้าของหลินเฟิงเป็อย่างมาก
หลังจากที่หลินเฟิงสวมหน้ากากนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาดูลึกลับมากขึ้น
ชายที่สวมชุดสีขาว ด้านหลังแบกดาบยาวเอาไว้ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สงบนิ่ง ส่วนดวงตาที่โผล่พ้นออกมาจากหน้ากากดูใสบริสุทธิ์ และเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่มั่นคง ภาพตรงหน้าทำเอาชิวหลันตกตะลึงไปชั่วขณะ
“หลังจบงานชุมนุม เ้าคงทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ในเมืองหยางโจวหลงรักแบบหัวปักหัวปำแน่ๆ” ชิวหลันพูดหยอกล้อขึ้นมา ซึ่งนางก็ไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยสักนิด ทุกคนล้วนชอบคนที่แข็งแกร่งกว่าทั้งนั้น และหน้าตาของหลินเฟิงเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ยิ่งมีหน้ากากสีขาวเงินอันนี้ปกปิดใบหน้าไว้ ก็ยิ่งทำให้เขากลายเป็ที่สนใจของใครหลายๆ คน ประกอบกับความแข็งแกร่งของเขาด้วยแล้ว คงไม่มีหญิงสาวคนไหนกล้าปฏิเสธหลินเฟิงแน่ เหตุผลเพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันรุนแรงในเมืองหยางโจวแล้ว
“ตระกูลหลินคงไม่นึกไม่ฝันว่าคนที่พวกเขาขับไล่ออกจากตระกูลนั้น จะเป็คนที่แย่งรัศมีของหลินเชียนไป” ชิวหลันแอบคิดในใจอย่างเงียบงัน นางเชื่อว่าดาวเด่นของงานชุมนุมในครั้งนี้ไม่ใช่หลินเชียนและก็ไม่ใช่หลินเฟิงเช่นกัน
…
เช้าวันต่อมา ชาวเมืองหยางโจวก็ไปรวมตัวกันที่คฤหาสน์ของท่านเ้าเมือง
คฤหาสน์ของท่านเ้าเมืองตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหยางโจว คฤหาสน์ที่สูงตระหง่านแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา ประตูคฤหาสน์สร้างมาจากเหล็กและสูงกว่า 5 เมตร
ถนนสายหลักที่กว้างขวางทอดยาวไปถึงหน้าคฤหาสน์ วันนี้คฤหาสน์ของท่านเ้าเมืองเปิดให้เข้าออกได้อิสระ เพราะว่าวันนี้เป็วันงานชุมนุมประจำปีของเมืองหยางโจว ซึ่งเป็งานใหญ่งานหนึ่งของเมือง และทุกคนสามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นด้วยสายตาของตัวเอง ทั้งยังมีโอกาสได้เห็นบุคคลสำคัญๆ ของตระกูลใหญ่แห่งเมืองหยางโจวอีกด้วย
หลินเฟิงในตอนนี้อยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้ว
หลินเฟิงที่สวมหน้ากากสีเงินกับคนอื่นๆ อีก 6 คน เดินตามหลังชิวหลันไป ฝูงชนหลีกทางให้ และพากันกระซิบกระซาบชี้ไม้ชี้มือมาทางหลินเฟิงและคนอื่นๆ ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา ซึ่งพวกเขารู้ว่าอีกไม่นาน ทั้ง 8 คนนี้ก็จะได้ขึ้นไปปรากฏตัวอยู่บนเวทีประลองแล้ว เมื่อได้รับความสนใจจากคนอื่นๆ 6 คนที่เหลือเริ่มรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ถ้าหากพวกเขาได้รับความสนใจจากท่านเ้าเมือง อนาคตของพวกเขาจะต้องสดใสอย่างแน่นอน สำหรับพวกเขาแล้วการที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญา ก็เป็เื่ของเวลา
“คฤหาสน์ของท่านเ้าเมือง มีขนาดเท่าพระราชวังในโลกก่อนไม่มีผิด” หลินเฟิงมองรอบๆ คฤหาสน์อย่างเงียบๆ ในทวีปเก้า์นั้นยิ่งมีพลังแข็งแกร่งมากเท่าไร ก็ยิ่งมีคนนับหน้าถือตามากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็ธรรมดาที่สิ่งก่อสร้างต่างๆ จะยิ่งใหญ่และงามสง่าขนาดนี้
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่คฤหาสน์ ก็เหมือนทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเป็อีกฉากหนึ่ง ลานอันกว้างใหญ่แห่งนี้สามารถบรรจุคนได้มากกว่าหนึ่งแสนคน ซึ่งในยามปกติลานแห่งนี้จะถูกใช้ในการฝึกทหารส่วนตัวของท่านเ้าเมือง
แต่ตอนนี้ลานอันกว้างใหญ่ได้จัดตั้งเวทีประลองขึ้นมา 5 เวที ซึ่งเวทีประลองมีลักษณะเป็สี่เหลี่ยมและตั้งไว้สี่ทิศ ซึ่งตรงกลางจะเป็เวทีประลองหลัก
ในขณะเดียวกันรอบๆ เวทีทั้ง 5 ไม่ว่าจะเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ล้วนมีอัฒจันทร์ยกสูงขึ้นมา ซึ่งมันสูงกว่าเวทีประลองเสียอีก อัฒจันทร์ทั้ง 4 ทิศนี้เป็สิ่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับ 4 ตระกูลใหญ่
บนอัฒจันทร์ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทิศใต้ มีคนขึ้นไปนั่งจนเต็มหมดแล้ว ซึ่งพวกเขาก็คือคนจากตระกูลกู่ ตระกูลหลินและตระกูลเหวิน และด้านหน้าสุดของสามตระกูลใหญ่จะมีรุ่นเยาว์ 8 คนของแต่ละตระกูล
“พวกเ้าดูอัฒจันทร์ทางทิศใต้สิ พวกเขาเป็คนจากตระกูลหลิน คนที่นั่งอยู่ตรงกลางคือหลินป้าต้าว ข้าได้ยินมาว่าเขาสามารถทำลายการบ่มเพาะของหลินไห่ได้ นอกจากนี้ยังขับไล่สองพ่อลูกสวะออกจากตระกูลหลินอีกด้วย” คนส่วนใหญ่พากันจ้องมองไปที่ตระกูลหลินและเริ่มซุบซิบนินทากันขึ้นมา แน่นอนว่าข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลหลิน ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองหยางโจวใน่นี้ ในตอนแรกหลายๆ คนก็ไม่เชื่อข่าวลือที่ถูกปล่อยออกมาสักเท่าไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับการยืนยันแล้วว่า ข่าวลือทั้งหมดเป็เื่จริง ไม่อย่างนั้นคนที่จะนั่งอยู่ตรงกลางก็ต้องเป็หลินไห่
“นั่นไง หลินเชียน... นางงดงามมาก แต่ท่าทางเ็าไปหน่อย ข้าเคยได้ยินมาว่า นางบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาได้แล้ว พร์ของนางช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าหากข้าได้นางเป็ภรรยาล่ะก็ คงมีความสุขมากๆ แน่”
“ถุย!!! เลิกฝันได้แล้ว พูดพล่อยๆ แบบนี้เดี๋ยวก็โดนคนตระกูลหลินกระทืบเอาหรอก”
“ฮ่าๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง เอ๊ะ ดูนั่นสิ!!! คนของท่านเ้าเมืองมาถึงแล้ว นั่นคือท่านเ้าเมืองน่าหลันซยงกับองค์หญิงน่าหลันเฟิงนี่น่า อ่า… องค์หญิงน่าหลันเฟิงนุ่มนวลกว่าหลินเชียนเยอะเลย นอกจากนี้นางยังบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาแล้วด้วย ท่าทางงานชุมนุมปีนี้จะต้องสนุกมากแน่ๆ”
ฝูงชนพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ตอนนี้คนของตระกูลน่าหลันก็มาถึงแล้ว
น่าหลันซยงเป็คนที่มีชื่อเสียงมาก รูปร่างของเขาสูงใหญ่และมีหน้าตาที่น่าเกรงขาม เพียงแค่มองแวบแรกก็รับรู้ได้ถึงความสง่างามและบารมีของเขา
หลังจากที่กวาดสายตามองทุกคน น่าหลันซยงก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “วันนี้ การที่ทุกคนมารวมตัวกันในคฤหาสน์น่าหลันของข้า นับได้ว่าเป็เกียรติมากสำหรับข้า แต่ข้าจะขอเตือนไว้ก่อนว่า หากใครกล้าก่อกวนงานชุมนุมในวันนี้ ก็อย่าหาว่าข้า น่าหลันซยง ไม่เกรงใจ”
ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ที่นี่คือคฤหาสน์ของท่านเ้าเมือง หากพวกเขาคิดจะก่อกวน อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีฝีมือพอตัวจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้
“ดี ข้าจะไม่พูดอะไรมาก ข้ารู้ว่าทุกคนคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาดูชายชราอย่างข้า ดังนั้นขอเชิญอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเมืองหยางโจวทั้งหมดขึ้นมาบนเวที” น่าหลันซยงพูดจบก็นั่งลงทันที เขาพยักหน้าทักทายผู้นำตระกูลคนอื่นๆ จากนั้นก็หันหน้าไปยังเวทีประลอง รุ่นเยาว์อัจฉริยะของ 4 ตระกูลใหญ่ก็พากันเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง
และในเวลาเดียวกัน ชิวหลัน หลินเฟิงและคนอื่นๆ ก็ก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีเช่นกัน
