“เกิดเื่ขึ้นหรือ?” ซูเฟยซื่อมุ่นคิ้ว ซูจิ้งโหยวอยู่ในพระตำหนักเสียนโหย่วของนางเองจะเกิดเื่อะไรได้? นางไม่ได้ทำร้ายใครก็ดีแค่ไหนแล้ว
“เมื่อคืนเกิดเื่นั้นขึ้น พระสนมก็ละอายใจสำนึกผิดมาตลอด คิดว่าเป็นางที่ไม่ได้ดูแลพระตำหนักเสียนโหย่วให้ดี พลิกร่างไปมานอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ใครจะคาดคิดว่าจู่ๆ อาการปวดศีรษะกำเริบหมดสติไป ตอนนี้เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็เรียกร้อง้าพบคุณหนูสามให้ได้ คิดขออภัยต่อคุณหนูสามต่อหน้าเ้าค่ะ” ข้าราชบริพารในพระตำหนักเร่งกล่าวจนแทบลืมหายใจ
ในใจซูเฟยซื่อเกิดความสงสัยขึ้น หากกล่าวว่าซูจิ้งโหยวนอนไม่หลับเพราะเื่เมื่อคืน นางเชื่อ แต่กล่าวว่าเพราะซูจิ้งโหยวละอายแก่ใจจนอาการปวดศีรษะกำเริบนั้น...
ซูจิ้งโหยวมีอาการปวดศีรษะั้แ่เมื่อไร ทำไมกระทั่งนางยังไม่รู้เล่า?
แววตาเ็ากวาดผ่านใบหน้าของข้าราชบริพารในพระตำหนัก เพียงเห็นหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นถี่ยิบ เห็นได้ชัดว่ารีบรุดมา “อาการปวดศีรษะของพี่ใหญ่กำเริบ เ้าไปรีบไปเชิญหมอหลวงมาหาข้าที?”
ข้าราชบริพารในพระตำหนักอึ้งไปแล้ว รีบรับคำว่า “ได้ให้คนไปเชิญหมอหลวงแล้ว แล้วยังส่งคนไปเชิญนายหญิงกับคุณหนูหลายคนมาด้วย บ่าวจึงมาเชิญคุณหนูสามโดยเฉพาะเ้าค่ะ”
“อ้อ? เมื่อครู่เ้าไม่ใช่บอกว่าพี่ใหญ่เพียงคิดพบข้าเท่านั้นหรือ?” ซูเฟยซื่อจงใจปั่นหัวข้าราชบริพารในพระตำหนัก เพื่อคาดเดาความคิดของอีกฝ่าย
ดูไปแล้วเหมือนอาการปวดศีรษะกำเริบของซูจิ้งโหยวเป็เท็จ แต่ที่นางคิดจัดการตนถึงจะเป็เื่จริง
“นี่...” ข้าราชบริพารในพระตำหนักจนด้วยความคิด ร้อนใจจนเหงื่อผุดพราย
“เอาเถิด ข้าไปกับเ้า” ซูเฟยซื่อสวมเสื้อคลุมอย่างไม่เร่งร้อน
รู้ว่ามีผีอยู่ข้างหน้า นางต้องไปดูด้วย มิฉะนั้นซูจิ้งโหยวต้องใช้เื่นี้ก่อเหตุ ต่อว่านางเ็าไร้หัวใจ กระทั่งพี่สาวมีอาการปวดศีรษะกำเริบล้วนไม่สนใจ
เมื่อได้ยินวาจานี้ ข้าราชบริพารในพระตำหนักพลันโล่งอก รีบนำทางไปด้านหน้า
ซางจื่อคิดติดตามไป แต่ถูกซูเฟยซื่อรั้งไว้
ในเมื่อเป็การจัดเตรียมของซูจิ้งโหยว ถ้าเช่นนั้นนางต้องหวังว่าเฟยซื่อจะไปคนเดียว
จังหวะฝีก้าวของข้าราชบริพารในพระตำหนักเร่งเร็วจี๋ ไม่ช้าก็ออกจากพระตำหนักเสียนโหย่ว ซูเฟยซื่อมองเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านมา ดูเหมือนจู่ๆ จะคิดบางอย่างได้ ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงอย่างดุดัน
ถ้าจำไม่ผิด เส้นทางนี้ควรเป็เส้นทางนำไปสู่ตำหนักเย็น ที่ตำหนักเย็นนั่นเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน ต่อให้มีคนส่งเสียงะโก็ถูกเหมารวมว่าเป็พระสนมที่โดนคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นจนเป็บ้า เป็สถานที่ดีในการลงมือจริงๆ ไม่รู้ว่าซูจิ้งโหยวสรรหาวิธีใดมาจัดการนางอีก
“กงกงท่านนี้ เรายังต้องเดินนานเท่าไรจึงจะถึง?” ซูเฟยซื่อมองไปรอบๆ ด้วยความกลัว “ทำไมรู้สึกเหมือนเรายิ่งเดินยิ่งเปล่าเปลี่ยวเล่า?”
ข้าราชบริพารในพระตำหนักยิ้มเ็าดูถูกคราหนึ่ง ชี้ไปด้านหน้า “ไม่ไกลแล้ว คุณหนูสาม อย่าร้อนใจเลยเ้าค่ะ”
ร้อนใจ ไม่ร้อนใจได้อย่างไร นางยังคิดดูว่าซูจิ้งโหยวสามารถเล่นลูกไม้ใหม่ๆ อะไรอีก
“เรามาถึงแล้ว คุณหนูสามรีบเข้าไปเถิดเ้าค่ะ” ข้าราชบริพารในพระตำหนักกล่าวจบก็ผลักซูเฟยซื่อเข้าไปในห้องทันที
ก่อนที่ซูเฟยซื่อจะได้สติตอบสนอง เพียงได้ยินเสียงประตูปิดดังปังเสียงหนึ่ง นางเอื้อมมือตบไม่กี่ครั้ง ตามที่คาดไว้ นางถูกคนข้างนอกขังไว้แล้ว
ถึงจะรู้ว่าะโร้องไปก็ไม่มีใครมา แต่นางยังแกล้งทำท่าทีะโอีกสองครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ข้าราชบริพารในพระตำหนักนึกสงสัย ได้ยินเสียงร้องของนาง ข้าราชบริพารในพระตำหนักจึงกลับไปรับรางวัลด้วยความปรีดา
ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างนอกประตูค่อยๆ ห่างออกไป ซูเฟยซื่อตวัดริมฝีปากยิ้มคราหนึ่ง กวาดสายตามองบริเวณรอบๆ พิจารณาห้องนี้
เป็เพียงห้องธรรมดา นอกจากเครื่องเรือนที่ควรมีแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก นางเงี่ยหูฟังอยู่สักพัก ไม่พบว่าในห้องมีผู้อื่นด้วย นี่...
ซูจิ้งโหยวคงไม่ใช่แค่เชิญนางมาที่นี่เฉยๆ แน่ แต่ห้องนี้ผิดปกติที่ตรงไหน นางมองไม่ออกแม้แต่น้อย
จู่ๆ สายตาของซูเฟยซื่อก็เหลือบไปเห็นกระถางธูปใบหนึ่งที่มุมห้อง กระถางธูปขนาดกะทัดรัดประณีตสวยงาม ไม่มีอะไรพิเศษ มีเพียงจุดสีแดงที่ปลายธูปและควันสีเขียวลอยเบาบางอยู่ในอากาศ ทว่านางกลับไม่ได้กลิ่นหอมอย่างที่ควรจะมี
ที่จุดไว้ในกระถางธูปไม่ใช่ธูปหอม แล้วจะเป็อะไรได้?
หรือจะเป็ควันพิษ!
ซูเฟยซื่อรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูก หาหน้าต่างที่ซ่อนอยู่ในตำแหน่งค่อนข้างลึกลับบานหนึ่ง ดึงปิ่นปักผมออกมา ใช้ด้านแหลมสอดเข้าไปในรูกุญแจ ทั้งเคาะทั้งบิดอยู่สักพักก็สะเดาะกลอนออกมาได้
ตอนนี้นางไม่รู้ว่าแผนของซูจิ้งโหยวเป็อะไร ดังนั้นจึงมิอาจทำกระดาษบนหน้าต่างขาดเป็รูใหญ่จนผิดสังเกต
แต่นางไม่สามารถสูดควันพิษเข้าไปจริงๆ ได้แต่เปิดช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง แล้วตะแคงหายใจผ่านตะเข็บช่องเล็ก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งเข้ามาจากข้างนอก สิ้นเสียงปลดกุญแจ ซูเฟยซื่อปิดหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ล้มลงกับพื้นทำทีเป็ถูกควันพิษรมจนสลบไป
ที่น่าแปลกคนผู้นั้นหลังจากปลดล็อกกุญแจเสร็จ กลับไม่ได้เข้ามา แต่วิ่งออกไปเสียอย่างนั้น
หรือว่ามีใครคิดช่วยนาง? คนของอวี้เสวียนจีหรือ?
ไม่รอให้ซูเฟยซื่อคิดมาก มีเสียงฝีเท้าคนหนึ่งดังมาจากนอกประตูอีก ไม่เหมือนเสียงฝีเท้าที่เพิ่งรีบร้อนจากไปเมื่อครู่ ครั้งนี้เดินสบายๆ ไร้วินัย อีกทั้งฝีเท้ายังดูไม่มั่นคงนัก
ในใจซูเฟยซื่อสงสัย ลอบมองผ่านช่องเล็กๆ ของหน้าต่างออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ได้เห็นครานี้ เจตนาสังหารในดวงตาพลันลุกโชน
เป็ใบหน้าที่ค่อนข้างคล้ายซ่งหลิงซิวบางส่วน ซีอ๋อง น้องชายของซ่งหลิงซิว
ชาติที่แล้วนางก็เคยติดต่อกับซีอ๋องอยู่หลายครั้ง ทว่าต่อให้ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ซีอ๋องเป็คนแบบไหน นางย่อมรู้ชัดเจน เพราะชื่อเสียงของซีอ๋องกระฉ่อนลือไปทั่วเมืองหลวงตั้งนานแล้ว
ซีอ๋องเป็ผู้ที่ไร้ความสามารถที่สุดในบรรดาอ๋องทั้งหมด แต่เขาเป็ยอดท่ามกลางกลุ่มสารเลว ทั้งเป็นักข่มขืน ปล้นสะดม ทำมาทุกอย่าง ฝีมือยังวิปริตสุดขีด ได้ยินว่าเมียน้อยในจวนถูกทรมานจนสารรูปไม่เป็ผู้เป็คน
ไม่ได้เป็เื่บังเอิญว่าซีอ๋องปรากฏตัวที่นี่ ท่าทางของเขาเหมือนดื่มสุรามาไม่น้อย
ตำหนักเย็นห่างไกลเปล่าเปลี่ยว ท่านอ๋องที่ร่ำสุราจนเมามาย ยังมีหญิงสาวที่ถูกยาสลบคนหนึ่ง
สามสิ่งนี้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ซูจิ้งโหยวคิดวางแผนอะไรก็เดาไม่ยากแล้ว
ซูเฟยซื่อรีบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอย่างรวดเร็ว ร่างนางผอมบาง ชาติที่แล้วผ่านการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพมาก่อน คนธรรมดาจึงไม่ทันได้สังเกต
ซีอ๋องโงนเงนเปิดประตู เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง จึงอดไม่ได้ะโด่ากราดเสียงดังยกใหญ่ “คนล่ะ? พระสนมโหยวนี่กล้าดียังไงมาหลอกข้า ยังบอกว่ามีสาวงามซ่อนอยู่ในตำหนักเย็น นี่ยังไม่เห็นผู้หญิงแม้แต่คนเดียว”
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเดินมานานจนรู้สึกเหนื่อยล้า ซีอ๋องก็หาเก้าอี้นั่งลงเสียเลย
เวลานี้ซูเฟยซื่อจึงนึกขึ้นได้ว่ากระถางธูปยังไม่ดับทิ้งไป แต่ตำแหน่งที่ซีอ๋องนั่งก็อยู่ข้างๆ กระถางธูป พอดีช่วยทดสอบให้นางว่าที่แท้สิ่งที่กำลังเผาในกระถางธูปเป็สิ่งใด
จากนั้นไม่นาน ซูเฟยซื่อก็พบว่าท่าทางของซีอ๋องผิดปกติไป เพียงเห็นหน้าเขายิ่งมายิ่งแดง ลมหายใจถี่กระชั้น สองมือกระชากเสื้อผ้าบนร่างอย่างบ้าคลั่ง พร่ำะโว่าร้อนไม่หยุด
ร้อน? คืออะไรที่ทำให้คนรู้สึกร้อน? หรือว่าที่กำลังเผาในกระถางธูปไม่ใช่ควันพิษ แต่เป็ยาปลุกกำหนัด
ซูจิ้งโหยวช่างโหดร้าย นางไม่เพียงให้ซีอ๋องทำลายความบริสุทธิ์ของนาง แต่ยังให้ทุกคนคิดว่าเป็นางที่ยั่วยวนซีอ๋อง ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวสูญสิ้น กระทั่งชื่อเสียงและเกียรติยศไม่เหลือหลอ ยังมีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหรือ?