เหล่าชู่ผีอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นโบกไปมาอยู่บริเวณสายตาของหยางหนิง
หยางหนิงจึงทำเพียงแค่เอ่ยตักเตือนอย่างนอบน้อม “เหล่าชู่ผี ข้าเพียงลืมเื่ราวไปบางส่วนแต่ไม่ใช่คนตาบอด ดวงตายังมองเห็นได้อยู่...เ้าช่วยข้าทบทวนความทรงจำหน่อยได้หรือไม่?”
เหล่าชู่ผียิ้มฝืนออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อครึ่งปีก่อนเ้าได้พาแม่นางเสี่ยวเตี๋ยหลบหนีมาจนถึงเมืองแห่งนี้ เ้าเคยบอกกับข้าว่าพวกเ้าพบกันตอนที่ประสบภัยพิบัติ นางถูกคนกลั่นแกล้ง เ้าเลยช่วยนางเอาไว้ครั้งหนึ่ง นับั้แ่นั้นมาพวกเ้าก็อยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือกันเหมือนพี่น้อง”
“ครึ่งปีก่อนได้หลบหนีมาจนถึงเมืองฮุ่ยเจ๋อ?” หยางหนิงหรี่ตาของตนลงเล็กน้อย จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก เมื่อเหล่าชู่ผีเอ่ยเช่นนี้ออกมา ในสมองของเขาก็มีเศษภาพความทรงจำบางส่วนปรากฏขึ้นมาจริงๆ แม้ว่าจะเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่กลับปรากฏภาพที่เกี่ยวข้องกับสาวน้อยผู้หนึ่งขึ้นมาจริงๆ อีกทั้งหน้าตาของสาวน้อยผู้นั้นยังค่อนข้างจะชัดเจนด้วย
“เช่นนั้นเ้ายังจำเื่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เ้ามาเมืองฮุ่ยเจ๋อแล้วได้บ้างหรือไม่?” เหล่าชู่ผีเห็นหยางหนิงมีท่าทางสับสน จึงเริ่มเป็กังวลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หยางหนิงอยากจะครุ่นคิด แต่ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับอาการป่วยที่เพิ่งหายดีได้ไม่นานหรือไม่ เพราะเมื่อเขาเริ่มใช้ความคิด ท้ายทอยก็รู้สึกร้อนระอุและมึนงงราวกลับจะสลบลงไปได้
“เสี่ยวเตี๋ยตอนนี้อยู่ที่ใด?” หยางหนิงรู้มาจากปากของเหล่าชู่ผีว่าการที่ตนสามารถมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้นั้นสาเหตุมาจากเสี่ยวเตี๋ย และเ้าของร่างกายนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเสี่ยวเตี๋ยอีกด้วย
เหล่าชู่ผีถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างกลัดกลุ้ม “เ้าจำไม่ได้จริงๆ ด้วย นางอยู่กับฮวามามามาโดยตลอด ตลอดครึ่งปีมานี้เ้ามักจะไปหานาง เื่ที่เกี่ยวข้องกับนางก็ล้วนแต่เป็เ้าที่มาบอกเล่าให้ข้าฟังทั้งนั้น”
“ฮวามามา?” หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ “ฮวามามาผู้นี้เป็ใครมาจากไหนกัน?”
เหล่าชู่ผียังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ด้านหลังก็มีเสียงของโหวจื่อดังขึ้น “ฮวามามานั้นเป็แม่ม่ายที่มีสามีเป็เ้าเมืองแซ่ฮวา ฮึๆ ในเมืองแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้ามีปัญหากับนาง”
ตอนนี้เองโหวจื่อก็เดินเข้ามา โดยด้านหลังมียาจกคนหนึ่งถือถังไม้พุพังถังหนึ่งที่มีน้ำอยู่ด้านในก่อนจะวางมันลงด้านข้างหยางหนิง
หยางหนิงม้วนแขนเสื้อของตนขึ้น ร่างกายของเขารู้สึกคัน ไม่สบายเนื้อสบายตัวเท่าไรนัก เขาขยับเข้าไปใกล้ถังไม้และตอนที่จะยื่นมือลงไปล้างหน้านั้น มือทั้งสองก็ไม่ได้ยื่นออกไปแต่กลับนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นชัดถึงใบหน้าที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำนั่นก็ยังคงเกิดอาการตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
ใบหน้านั้นสกปรกเลอะเทอะไม่ต่างจากคนอื่น แต่ก็สามารถมองออกว่าใบหน้านี้มีความงดงามอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังดูอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปีเท่านั้น โครงหน้ามีความผอมเรียวอยู่เล็กน้อย ทว่าคิ้วสองข้างที่กระดกขึ้นเป็ทรงดาบ ก็ทำให้ความงดงามนี้ดูแฝงไปด้วยความหล่อเหลาอยู่ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าทรงผมเหมือนเดอะบีเทิลส์ของพวกโหวจื่อนั้นดูมีเอกลักษณ์ดี ทว่าเวลานี้เขากลับพบว่าทรงผมของตัวเองก็ยุ่งเหยิงเละเทะมากเช่นกัน อย่างน้อยเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็หน้าตาของยาจกอย่างแท้จริง
หยางหนิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มฝืนพลางส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็เริ่มล้างหน้าของตัวเองโดยการกวักน้ำเย็นใส่หน้า อย่างน้อยก็ทำให้มีสติขึ้นมาได้บ้าง จากนั้นจึงค่อยถามต่อ “แม่ม่ายของเ้าเมืองฮวา? หรือว่าเสี่ยวเตี๋ยไปทำงานเป็สาวใช้ที่จวนของเ้าเมืองฮวางั้นหรือ?”
เหล่าชู่ผีมีสีหน้าเป็กังวลและเอ่ยตอบ “วันนั้นตอนกลางคืนหลังจากที่แม่นางเสี่ยวเตี๋ยจากไปแล้ว นางยังพูดว่าหากมีโอกาสก็จะมาพบเ้า แต่ว่านี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แม่นางเสี่ยวเตี๋ยกลับไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย วันนั้นตอนกลางคืนนางยังแอบออกมาจากจวนสกุลฮวาเองด้วย หลังจากกลับไปแล้วก็ไม่รู้ว่าถูกพบเข้าหรือไม่ ช่างน่ากังวลใจยิ่งนัก”
“เสี่ยวเตี๋ยมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แน่นอนว่าข้าต้องตอบแทนนางให้ดี” หยางหนิงนั้นเป็คนที่แยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะนึกถึงเื่ที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวเตี๋ยได้ไม่มากนัก แต่ว่าแม่นางคนนี้ก็ช่วยเขาเอาไว้ ทำให้ในใจยังมีความรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก “จริงสิ จวนของเ้าเมืองฮวาอยู่ที่ใดกันแน่ รอจนฝนหยุดตกแล้ว ข้าคิดจะไปพบเสี่ยวเตี๋ยเสียหน่อย”
โหวจื่อเอ่ยถามออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย “เ้าจำไม่ได้ว่าจวนสกุลฮวาอยู่ที่ใด? เ้ามักจะไปที่นั่นประจำนะ”
หยางหนิงส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ยถาม “เ้ารู้หรือไม่?”
โหวจื่อรีบเอ่ยตอบ “ฮวามามาอาศัยอยู่ที่ตรอกคนตาย ห่างจากที่นี่ออกไปสักระยะหนึ่ง หลังจากฝนหยุดตกแล้ว ข้าจะนำเ้าไปที่แห่งนั้น ทว่า...ทว่าพวกเราไม่สามารถเข้าไปในเวลากลางวันได้ หากจะเข้าไปก็มีแต่ต้องแอบลอบเข้าไปในเวลากลางคืนเท่านั้น”
“ตรอกคนตาย?” หยางหนิงลอบคิดว่าชื่อนี้แฝงไปด้วยความมืดมนบางอย่าง คงไม่ถึงขั้นที่ทั้งตรอกเป็กิจการค้าขายโรงศพหรือกระดาษเผาให้คนตายกระมัง?
“ความจริงแล้วตรอกเส้นนั้นเดิมไม่ได้มีชื่อ แต่เพราะว่าจวนสกุลฮวาอาศัยอยู่ในตรอกนั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป” โหวจื่อเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประหนึ่งรอบรู้ในทุกสิ่ง “เมื่อปีก่อนหนีชิวที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมืองได้พนันกับคนอื่นเอาไว้ โดยลอบเข้าไปในตรอกคนตายตอนกลางวัน ทำให้ถูกคนโยนออกมา อีกทั้งร่างกายยังเต็มไปด้วยาแและถูกตีจนกระดูกหักไปหลายท่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดีเลย” ในแววตาก็ปรากฎความเคียดแค้นขึ้นจางๆ “นับั้แ่นั้นมา พวกเราต่างก็เรียกตรอกทางเดินนั้นว่าตรอกคนตาย”
หยางหนิงยิ้มเย็นออกมาและเอ่ยขึ้น “เป็ฝีมือของจวนสกุลฮวา?”
“ในอดีตนั้นเ้าเมืองฮวาถือว่าเป็คนมีชื่อเสียงของเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้” โหวจื่อเอ่ยขึ้น “ที่ตรอกคนตายนั้น มีจวนพวกเขาอยู่เพียงหลังเดียว หากไม่ใช่พวกเขาแล้วจะเป็ฝีมือใครได้อีก?” โหวจื่อเอ่ยออกมาอย่างมีโทสะ “ฮวามามาก็เป็พวกลักกินขโมยกิน จะทำอะไรก็จำต้องหลบๆ ซ่อนๆ แน่นอนว่านางคงไม่อยากให้ใครเข้าใกล้จวนของนางง่ายๆ เป็แน่”
“ลักกินขโมยกิน?” หยางหนิงรู้สึกไม่คุ้นหูกับคำๆ นี้เลย จึงถามด้วยความสงสัย “ลักกินขโมยกินที่พูดถึงคืออะไรงั้นหรือ?”
“มันไม่ได้หมายถึงสิ่งของ แต่หมายถึงการแอบทำอะไรที่ไม่อาจให้คนพบเห็นได้” โหวจื่อยิ้มที่แปลกๆ “มันก็หมายถึงอนุภรรยาของตระกูลขุนนางผู้ดีมีความกล้ามากพอที่จะรับทำงานลับๆ ยามที่สถานะในจวนย่ำแย่จนยากจะดูแลต่อไปได้...คนประเภทนี้แหละที่เรียกว่าพวกลักกินขโมยกิน”
หยางหนิงนิ่งค้างไป “เ้าพูดว่ารับงาน หมายความว่า...?” ทว่าในใจกลับสามารถเข้าใจได้แล้ว
“โบราณว่าไว้ การเป็ภรรยาหลวงไม่สู้เป็ภรรยาน้อย การเป็ภรรยาน้อยไม่สู้การเป็ขโมย พวกบุรุษเสเพลทั้งหลายต่างก็คิดว่าการที่สามารถหยอกเล่นกับสาวใช้ของจวนตระกูลผู้ดีเ่าั้ได้ถือว่าเป็รสนิยมที่ดีที่สุด” เมื่อโหวจื่อเอ่ยถึงหัวข้อนี้ น้ำลายของเขาก็ไหลออกมา แววตาเป็ประกายระยิบระยับ เขาหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมเอ่ยต่อ “อีกทั้งสตรีเ่าั้ล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็อย่างดี ไม่ว่าจะเป็หน้าตาหรือว่าการประพฤติตัวก็ล้วนเหนือกว่าสตรีหอนางโลมทั่วไปถึงสามส่วน ทั้งยังรอบรู้เป็งานเป็การ ไม่มีข้อเสียแม้แต่ข้อเดียว อีกทั้งพวกลักกินขโมยกินก็ล้วนไม่ใช่สาวนางโลมที่แท้จริง การบิดเขินไปมานั้นจึงถูกอกถูกใจบุรุษเป็อย่างมาก” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ภายในดวงตาของโหวจื่อเองก็ปรากฏเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำขึ้นมา
หยางหนิงถอนหายใจออกมา คิดไม่ถึงว่าจะมีกิจการเช่นนี้อยู่ด้วย
โหวจื่อเอ่ยต่อ “เ้าเมืองฮวานั้นอายุยังน้อยแต่กลับป่วยหนักทำให้เสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว ตอนที่เ้าเมืองฮวามีชีวิตอยู่นั้น บ่าวรับใช้หนุ่มสาวก็มีประมาณสิบกว่าคนแล้ว เมื่อเขาเสียชีวิตลงก็ไม่มีรายได้เข้ามา ทำให้จวนแทบจะอยู่ต่อไม่ได้ ฮูหยินฮวาจึงลอบนำสาวใช้เหล่านี้มาเริ่มทำกิจการลักกินขโมยกิน...!” และยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ “เมืองแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มาก ต่อให้ฮูหยินฮวาลอบทำอย่างลับๆ แต่ว่าข่าวคราวก็มักจะเล็ดลอดออกมา สุดท้ายแล้วทุกคนก็รู้กันโดยทั่ว ในทางลับแล้วทุกคนถึงเรียกนางว่าฮวามามา สตรีผู้นั้นอายุเกินสามสิบปีแล้ว อายุก็ปูนนี้แล้ว ข้าได้ยินมาว่านางเอาสาวใช้ในจวนมารับงานเช่นนี้แทน...!”
เมื่อหยางหนิงฟังมาจนถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็จมดิ่งลงไปในทันที พลางครุ่นคิดในใจว่าหากเสี่ยวเตี๋ยอาศัยอยู่ในจวนเช่นนี้ มิใช่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายมากกว่าดีหรอกหรือ?
ตกดึก สายลมและฟ้าฝนด้านนอกยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้แต่น้อย หยางหนิงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ในใจของเขารู้ดีว่าอากาศเป็เช่นนี้ ต่อให้เขารู้สึกเป็ห่วงเสี่ยวเตี๋ยมากเพียงใดก็ไม่สามารถออกจากประตูนี้ไปได้
ทุกอย่างที่สามารถทำได้มีเพียงแค่รอให้ฝนหยุดก่อนแล้วจึงค่อยวางแผนกันใหม่
หลังจากอดทนเฝ้ารอมาเป็เวลาเนิ่นนาน คนอื่นๆ ก็เริ่มมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน หยางหนิงจึงบอกให้พวกเขาไปพักผ่อนกันก่อน ที่ศาลเ้าแห่งนี้มีห้องข้างโถงใหญ่อยู่สองห้อง ตอนนี้หยางหนิงอาศัยอยู่ในห้องพักด้านข้างห้องหนึ่งแล้ว โดยที่ห้องด้านข้างนี้มีไว้ให้หยางหนิงและเหล่าชู่ผีอาศัย ส่วนคนที่เหลือต่างก็ออกไปพักด้านนอกห้อง
หลังจากที่หยางหนิงนอนลงไปแล้ว ในใจของเขากลับกำลังคิดถึงทางออกในอนาคตของตน
อาชีพศิษย์พรรคกระยาจกที่มีเกียรติถึงเพียงนี้ หยางหนิงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตนเท่าใดนัก ในเมื่อการมาโลกใบนี้ถือเป็เื่จริงแล้วยังไม่สามารถแก้ไขได้อีก เช่นนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือการปรับตัวให้เข้ากับความเป็อยู่ของโลกใบนี้แทน
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจก็คือการที่ยุคสมัยนี้ไม่ใช่ยุคสมัยใดๆ ของประวัติศาสตร์ในความทรงจำของตน มิฉะนั้นเขาอาจจะคาดเดาอนาคตได้ และใช้ข้อได้เปรียบของการรู้อนาคตมาทำเื่ราวที่ยิ่งใหญ่ได้มากมาย
เขาเคยทำธุรกิจมาก่อนที่จะข้ามภพมา ทำให้เขารู้ว่าตัวเขาไม่สามารถทำเื่ใหญ่โตให้สำเร็จในยุคสมัยนี้ได้ด้วยความรู้ด้านธุรกิจที่สั่งสมมา ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเงินทองติดตัวแม้แต่สลึงเดียว ต่อให้คิดอยากจะทำธุรกิจก็ไม่มีเงินลงทุนให้ใช้แม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังไม่รู้สถานการณ์ของตลาดในตอนนี้เลยสักนิด ดังนั้นมันจึงเป็ไปไม่ได้เลยที่เขาจะเริ่มต้นทำธุรกิจภายใน่เวลานี้
หลังจากพลิกตัวไปมาเป็เวลานานในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับไป บางทีอาจเป็เพราะร่างกายเพิ่งหายป่วยได้ไม่นานจึงเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก ทำให้ตกดึกคืนนั้นได้นอนหลับอย่างสนิท
วันต่อมาในขณะที่เขากำลังนอนอยู่นั้นก็ถูกเหล่าชู่ผีปลุกให้ตื่น เขาพบว่าเขานอนหลับจนถึงตอนเที่ยงวันแล้ว พายุฝนได้หยุดลงเป็ที่เรียบร้อย หยางหนิงลุกขึ้นและเดินออกมา หลังฝนหยุดตกแล้ว อากาศที่มีกลิ่นของเศษดินปะปนอยู่กับกลิ่นของใบหญ้าซึ่งลอยเข้าไปในจมูกทำให้รู้สึกปลอดโปร่งยิ่งนัก หยางหนิงสูดอากาศเหล่านี้เข้าไปลึกๆ อยู่หลายครั้งก่อนที่ร่างกายจะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมา
เขามองสำรวจบริเวณโดยรอบถึงพบว่าบริเวณที่ตั้งของศาลเ้านี้ค่อนข้างจะห่างไกลจากตัวเมือง บริเวณโดยรอบมีบ้านเรือนอยู่เพียงไม่กี่หลัง ทว่าด้านหน้าไกลออกไปไม่มากนักกลับมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง
ด้านข้างบ่อน้ำมีต้นหลิวเก่าแก่อยู่หลายต้น โดยที่ก้านหลิวห้อยลงไปในผิวน้ำ ทำให้ใบหลิวแตะลงบนผิวน้ำเบาๆ เมื่อลมพัดผ่านอย่างแ่เบาก็ทำให้ก้านหลิวโบกสะบัดเล็กน้อยราวกับหญิงงามที่กำลังร่ายระบำอยู่
“เ้าพวกนั้นไปไหนเสียแล้ว?” เมื่อเห็นว่าภายในศาลเ้าไม่มีร่องรอยของพวกโหวจื่อ หยางหนิงจึงเอ่ยถามเหล่าชู่ผีที่ยืนอยู่ข้างกายตน
เหล่าชู่ผีเอ่ยตอบ “พวกเขาออกไปก่อนแล้ว บอกว่าเ้าเพิ่งหายจากอาการป่วยได้ไม่นาน จึงขอไปเอาของเล็กน้อยมาเฉลิมฉลองเสียหน่อย”
หยางหนิงหัวเราะพลางตอบ “พวกเขาใจดีถึงเพียงนั้น?”
เหล่าชู่ผีกลับคิดว่าหยางหนิงนั้นเข้าใจในความคิดของคนเ่าั้ จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เ้ารู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ก็ดีแล้ว พวกเขาให้เ้ามาเป็ลูกพี่ใหญ่ของศาลเ้าแห่งนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขาไม่ได้หวังดีอะไร”
เดิมหยางหนิงแค่เอ่ยออกมาโดยไม่คิดอะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเหล่าชู่ผีจะเอ่ยเช่นนี้ออกมาจึงรู้สึกได้ว่ามีเื่บางอย่างผิดปกติ พร้อมถามต่อ “เหล่าชู่ผี หรือว่าพวกเขามีจิตใจคิดร้ายจริงๆ?”
“จิตใจคิดร้าย?” เหล่าชู่ผีส่ายศีรษะ “มันก็ไม่ใช่จิตใจคิดร้ายอะไร เพียงแต่ว่าไม่ใช่ปรารถนาดีเท่านั้น เมืองแห่งนี้มียาจกอยู่หลายร้อยคน แม้ว่าทุกคนล้วนแต่เป็ศิษย์พรรคกระยาจก แต่ว่าในเมืองแห่งนี้ต่างฝ่ายต่างดึงพรรคพวกเป็ของตน เื่ต่อสู้ชิงดีกันนั้นถือเป็เื่ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยนัก”
“หลายร้อยคน?” หยางหนิงคิดไม่ถึงว่าพรรคกระยาจกที่เมืองหุ่ยเจ๋อแห่งนี้จะมีอำนาจแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
เหล่าชู่ผีถอดถอนหายใจพร้อมเอ่ยต่อ “โหวจื่อเดิมก็ไม่ใช่คนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวเท่าใดนัก แต่ก่อนเ้าไม่ได้แสดงฝีมือออกมา เขาก็มักจะชอบไปข้างนอกและก่อเื่อยู่เสมอ วันนี้เมื่อเขารู้ว่าเ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ การที่นับเ้าเป็ลูกพี่ก็เพื่อที่จะยืมชื่อของเ้าให้ได้ต่อสู้กับศิษย์พรรคกระยาจกคนอื่นได้ง่ายๆ เตียวเอ๋อร์ ฟังข้านะ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ต่อให้เ้ามีความสามารถแต่อย่าถูกพวกโหวจื่อนั้นทำให้เดือดร้อนไปด้วย อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจะดีกว่านะ”
เขาพูดออกมาอย่างจริงใจ เห็นได้ชัดว่านี่เป็คำเตือนด้วยความหวังดีต่อหยางหนิงจริงๆ