หยางหนิงมองออกว่าเหล่าชู่ผีเป็คนที่ค่อนข้างซื่อตรง ถูกคนเ่าั้รุมซ้อมจนมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้ยังสามารถให้อภัยได้ด้วยคำขอขมาเพียงคำเดียว แต่ในเมื่อคนที่ประสบเคราะห์ไม่คิดจะเอาเื่ เขาเองก็ไม่จำเป็ต้องไปข้องเกี่ยวอันใดให้มากความ
หยางหนิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของโหวจื่อ และเมื่อโหวจื่อเห็นว่าหยางหนิงขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันทีก่อนจะรีบหักห้ามอารมณ์เ็ปของตนและเอ่ยขึ้นว่า “ข้า...ข้าได้ขอขมาไปแล้ว เ้าพูดแล้ว...พูดแล้วต้องรักษาคำพูด...!”
ช่างไม่ได้เื่เสียจริงๆ
ตอนทำร้ายคนอื่นก็วางมาดเสียใหญ่โต ตอนนี้ถูกหักแขนเพียงข้างเดียว ความเย่อหยิ่งจองหองก็ได้มลายหายไปราวกับอากาศธาตุแล้ว หยางหนิงเองก็ไม่ได้เอ่ยพล่ามให้มากความอีก เขายื่นมือไปดึงแขนที่ถูกหักของโหวจื่อ โดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรทางด้านโหวจื่อก็ร้องออกมาราวกับถูกเชือดเสียแล้ว
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์...!” เหล่าชู่ผีรีบร้องออกมาอย่างใ ในขณะที่ยาจกคนอื่นๆ เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบหมุนตัววิ่งจากไปแล้ว
“หยุดร้องโหยหวนเสียที” หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่างหมดความอดทน “ข้าจะต่อแขนให้เ้า หากยังร้องอีกข้าจะทำลายแขนข้างนี้ทิ้งเสีย”
ตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของโหวจื่อก็รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ตอนที่เริ่มฝึกทหารพิเศษได้ไม่นานนัก เื่ที่เขาโดนหักแขนก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกว่านั่นเป็เหตุการณ์ที่ย่ำแย่ราวกับโลกจะสลายเช่นนี้
โหวจื่ออย่างไรเสียก็ยังเป็โหวจื่อ นับว่าเชื่อฟังอยู่ไม่น้อย เมื่อหยางหนิงเอ่ยเช่นนี้เสียงร้องโหยหวนก็หยุดลงทันที จากนั้นหยางหนิงก็ขยับขึ้นลงไปมาสองครั้ง โดยหน้าผากของโหวจื่อมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นจำนวนมาก สีหน้าก็เ็ปอย่างยิ่ง ลำคอก็เปล่งเสียงร้องอย่างเ็ปออกมาอีกครั้ง ในขณะที่หยางหนิงได้ดึงมือของตนกลับไปแล้ว
“เ้าลองดูว่ายังขยับได้หรือไม่” หยางหนิงได้หมุนตัวกลับไปและนั่งลงบนกองหญ้าแห้งที่อยู่มุมห้องเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
โหวจื่อมีท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังคงขยับแขนของตนเองไปมาเล็กน้อย แม้ว่ายังคงมีความเจ็บหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ว่าแขนของเขาก็ถือว่าสามารถขยับได้ตามใจปรารถนาแล้ว
ยาจกคนอื่นๆ ที่เดิมคิดจะหลบหนี เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ล้วนแต่ก้าวถอยกลับมา ทว่าพวกเขากลับเห็นโหวจื่อคุกเข่าลงแทบเท้าหยางหนิงพร้อมกับน้ำเสียงที่มีความตื่นเต้นดีใจเป็อย่างมาก “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ จากนี้ไป...เ้าเป็ลูกพี่ใหญ่ของพวกเราแล้ว ต่อไปพวกเราจะเชื่อฟังแต่เ้า หากเ้าสั่งให้พวกเราไปทางตะวันออก พวกเราจะไม่มีทางเดินไปทางตะวันตกโดยเด็ดขาด...!”
หยางหนิงเกิดอาการใอยู่ไม่น้อย การเปลี่ยนแปลงของโหวจื่อเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขาไม่ทันตั้งตัว
และสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือการที่ยาจกคนอื่นๆ เมื่อเห็นโหวจื่อทำเช่นนี้ พวกเขาก็วิ่งรุดกันมาด้านหน้าพร้อมกับคุกเข่าเรียงกันอยู่เบื้องหน้าของหยางหนิงและเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ต่อไปเ้าก็คือลูกพี่ใหญ่ของศาลเ้าแล้ว พวกเราจะเชื่อฟังคำสั่งของเ้า”
หยางหนิงยกมือขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนกัน ให้ข้าทำความเข้าใจสักครู่” ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยออกมาว่า “ที่นี่คือเมืองฮุ่ยเจ๋อ และพวกเ้าล้วนแต่เป็ศิษย์ของพรรคกระยาจก...!”
“เ้าเองก็ด้วย!” โหวจื่อยืนยันจะให้หยางหนิงอยู่ระดับเดียวกับพวกเขา
หยางหนิงถลึงตาใส่โหวจื่อครั้งหนึ่ง เขาไม่ชอบให้คนมาเอ่ยขัดคำพูดของเขา “ตอนนี้อยู่ในสมัยใดกันแน่? และฮ่องเต้เป็ผู้ใดกัน?”
คนทั้งหลายหันมาเหลือบมองกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าคำถามที่หยางหนิงเอ่ยออกมาจะเป็ทางการถึงเพียงนี้
“สมัย? เื่นี้...เมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นอยู่ในเขตแดนของแคว้นฉู่ พวกเราน่าจะ...น่าจะอยู่ในสมัยฉู่” โหวจื่อเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางระมัดระวัง “ฮ่องเต้เป็ผู้ใดนั้นพวกเรา...พวกเราไม่รู้”
บนหน้าผากของหยางหนิงมีเหงื่อเย็นเม็ดหนึ่งผุดขึ้นมา ทว่าเมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็สมเหตุสมผลยิ่งนัก หากว่าตอนนี้คือสมัยโบราณจริงๆ เช่นนั้นการส่งข่าวสารก็คงจะล้าสมัยเป็อย่างมาก และฮ่องเต้เองก็ทำตัวลึกลับมาโดยตลอด คงไม่มีทางที่จะมาปรากฏตัวขึ้นบนโทรทัศน์หรืออะไรประเภทนั้น เพราะฉะนั้นพวกชาวบ้านก็ไม่แน่ว่าจะรู้ว่าผู้ใดเป็องค์เหนือหัวจริงๆ
เขาเอ่ยต่ออีกหลายประโยค ฟังจากคำบรรยายของเ้าพวกนี้แล้วก็ทำให้พอจะเข้าใจเื่โดยรวมได้คร่าวๆ
ตัวเขามีนามว่าเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ อย่างน้อยในสมัยเช่นนี้ก็มีชื่อที่แปลกประหลาดเช่นนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่นับว่าสงบสุขเท่าใดนัก ทางตอนเหนือของเมืองหวยหนาน แคว้นฉู่
การที่เมืองนี้ไม่นับว่าสงบสุขนักก็เป็เพราะว่าถัดไปทางด้านเหนืออีกร้อยกว่าลี้นั้นก็จะถึงเมืองหวยฉุ่ยแล้ว และการที่เมืองหวยฉุ่ยไม่ค่อยสงบสุขนักก็เป็เพราะว่าพื้นที่สองฝั่งของหวยฉุ่ยมีาต่อเนื่องมาเป็เวลาหลายปีแล้ว
โดยแคว้นฉู่ได้ยึดครองแผ่นดินทางฝั่งใต้ของหวยฉุ่ย แต่ว่าทางเหนือของหวยฉุ่ยนั้นกลับเป็แผ่นดินของแคว้นฮั่น โดยแคว้นทั้งสองยึดพื้นที่กันคนละฝั่งและได้ทำการสู้รบกันมาเป็เวลานาน
อ้างอิงจากข่าวสารที่ได้มาจากเ้าพวกที่ไม่น่าเชื่อถือเหล่านี้แล้ว แม้ว่าแคว้นฉู่จะครองทางตอนใต้ของหวยฉุ่ยเอาไว้ แต่ว่าหวยฉุ่ยทางตอนเหนือก็ทำการควบคุมเมืองทั้งสองไว้มาโดยตลอด ราวกับเป็ดาบแหลมคมที่จ่อเข้ากลางตำแหน่งเอวของแคว้นฮั่น การข่มขู่เช่นนี้ทำให้แคว้นฮั่นไม่อาจอยู่อย่างสบายใจได้ ดังนั้นเมื่อสามปีก่อน แคว้นฮั่นจึงได้ส่งทหารกว่าสองแสนนายนำทัพลงมาทางตอนใต้
การสู้รบดำเนินไปเป็เวลากว่าสองปี โดยทั้งสองฝั่งของหวยฉุ่ยนั้นมีฝุ่นควันปกคลุมอยู่ทั่วพื้นที่และบริเวณโดยรอบก็มีสภาพผุพัง ชาวบ้านของทั้งสองฝั่งเองก็บ้านแตกสาแหรกขาด ต่างก็ทำการหลบหนีกลับบ้านเก่าเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับภัยพิบัติในครั้งนี้ ทำให้ทุกที่กลายเป็สถานที่หลบภัยของพวกเขา
และเมืองฮุ่ยเจ๋อที่มีระยะห่างจากหวยฉุ่ยไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้นี้ก็ได้กลายเป็หนึ่งในสถานที่หลบภัยไปโดยธรรมชาติ โชคยังดีที่แม้ว่าชาวแคว้นฮั่นจะเคยบุกมาถึงฝั่งของหวยฉุ่ยตอนใต้ แต่ก่อนที่ทหารจะบุกมาถึงเมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นก็ได้ถูกโจมตีกลับไปแล้ว ทำให้เมืองหุ่ยเจ๋อมิได้ประสบเคราะห์จากการสู้รบ
ทว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ แคว้นทั้งสองก็ได้ยุติาลงแล้ว ทำให้าของหวยฉุ่ยที่ยืดเยื้อมาเป็เวลาเกือบสามปีได้ยุติลงเสียที
แม้ว่าาจะสงบลง แต่ว่าผู้ลี้ภัยที่หลบหนีมายังเมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นกลับไม่ได้เดินทางกลับไปในทันที ทำให้ตอนนี้เมืองเล็กๆ เช่นนี้มีประชากรอัดแน่นจนล้นหลาม
หยางหนิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาจได้ข้ามภพมา และคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้กลายเป็ศิษย์พรรคกระยาจกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
เขาที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะธรรมดา และด้วยความมุมานะก็ได้กลายเป็หนึ่งในเ้าหน้าที่กองกำลังติดอาวุธที่ผ่านการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด หลังจากที่ถอนตัวออกจากหน่วยแล้ว เขาก็เลือกที่จะเดินไปในเส้นทางสายธุรกิจ จากที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยก็พยายามจนมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่พอสมควร
และในขณะที่เขากำลังจะได้ลิ้มรสความหอมหวานที่ได้มาอย่างยากลำบากนั้น เขาก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลและพบว่าจากนักธรุกิจที่มีเงินหลายสิบล้านกลับกลายมาเป็ยาจก
และที่ยุ่งยากก็คือการที่เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้ที่มีชื่อว่าเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ผู้นี้เท่าใดนัก แม้ว่าในสมองจะมีเศษภาพของความทรงจำหลงเหลืออยู่บ้าง ทว่าเพียงแค่นี้ไม่อาจทำให้เข้าใจอะไรขึ้นมาได้
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ด้วยฝีมือเช่นนี้ของเ้า อีกหน่อยพรรคกระยาจกจะต้องประสบความสำเร็จเป็แน่” เมื่อโหวจื่อเห็นถึงฝีมือของเสี่ยวเตียวเอ๋อร์แล้ว เวลานี้ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฝีมือของเ้าสามารถนับได้ว่าเป็หนึ่งในยอดฝีมือแล้ว!”
หยางหนิงเพียงคิดอยากจะถามโหวจื่อว่ามียางอายบ้างหรือไม่ แม้ว่าหยางหนิงจะไม่ปฏิเสธว่าตนมีวรยุทธ์อยู่บ้าง ทว่าการที่เขาสามารถอัดพวกไร้ประโยชน์เหล่านี้ให้ล้มลงได้ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็ยอดฝีมือนั้น ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าโหวจื่อนับตนเองว่าอยู่ในระดับใดกันแน่ หากเขาหยางหนิงเป็ยอดฝีมือแล้ว เช่นนั้นเ้าพวกไร้ประโยชน์พวกนี้ก็ถือว่าเป็ผู้มีวรยุทธ์เก่งกาจงั้นหรือ?
“อยู่ในพรรคกระยาจกจะสามารถประสบความสำเร็จได้?” หยางหนิงที่เผชิญหน้ากับเื่แปลกใหม่เหล่านี้ก็ถ่อมตัวลงพร้อมเอ่ยถาม “แล้วมันจะเป็อะไรได้เล่า?”
“ยังคงเป็ยาจก!” คำตอบของโหวจื่อทำให้หยางหนิงเกือบคิดที่จะลงมืออีกครั้ง “แต่ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็ลูกพี่ใหญ่ของเมืองฮุ่ยเจ๋อได้!”
หยางหนิงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ในเมื่อเป็ยาจก เช่นนั้นพวกเราก็ต้องมีการแบ่งพื้นที่ปกครองใช่หรือไม่? จริงสิ หัวหน้าพรรคกระยาจกคงมิใช่ว่าจะมีแต่คนแซ่เฉียวมาโดยตลอดกระมัง?”
ยังไม่ทันที่โหวจื่อจะได้อ้าปาก คนที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งก็แย่งพูดขึ้นมา “พวกเราเป็หนึ่งในหน่วยย่อย...ของพื้นที่ปกครองอี้หั่วเฉอ...ซึ่งเป็หนึ่งในยี่สิบแปดพื้นที่ปกครอง!” เวลานี้คนผู้นั้นก็ไม่สนใจแววตาร้อนรุนไปด้วยโทสะที่โหวจื่อส่งมา เขาเพียงหวังอยากให้หยางหนิงมีความรู้สึกที่ดีต่อตน “หัวหน้าพรรคไม่ได้แซ่เฉียว เหมือนจะ...เหมือนจะแซ่เซี่ยง!”
“เช่นนั้นพวกเ้ารู้จักไม้ตีสุนัขหรือไม่?” หยางหนิงรู้สึกสนใจขึ้นมา “สิบแปดฝ่ามือพิชิตัคงเคยได้ยินมาบ้างสินะ?”
ยาจกหลายคนหันมามองหน้ากันก่อนจะพากันส่ายศีรษะ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่หยางหนิงเอ่ยขึ้น
“ไม้ตีสุนัขมิใช่สมบัติของพรรคกระยาจกหรอกหรือ?” หยางหนิงเอ่ยขึ้น “พวกเ้าไม่เคยเห็นไม้ตีสุนัขในมือของประมุขพรรคเซี่ยงหรอกหรือ?”
“ประมุขพรรคเซี่ยง?” โหวจื่อรีบเอ่ยตอบ “พวกเราเป็เพียงหน่วยย่อยของเขตเมืองเล็ก ๆ เป็หนึ่งในสมาชิกภายใต้พื้นที่ปกครองอี้หั่วเฉอ แม้แต่หัวหน้าพื้นที่พวกเรายังไม่เคยพบมาก่อน จะเคยพบกับประมุขพรรคเซี่ยงได้จากที่ใดกัน? อีกทั้งข้ายังได้ยินคนพูดกันว่าประมุขพรรคเซี่ยงนั้นจะพบแต่คนที่มีตำแหน่งสูง พวกเราทั้งหลายไม่มีทางมีโอกาสได้พบหรอก”
หยางหนิงยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น ได้เป็หนึ่งในสมาชิกพรรคกระยาจกก็ถือว่าแย่แล้ว แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้เขายังถือเป็คนที่มีระดับรากหญ้าในระดับชั้นของพรรคกระยาจกอีกด้วย
เดิมยาจกก็ถือว่าเป็ชนชั้นล่างของสังคมแล้ว ตอนนี้กลับกลายเป็ว่าเขาเป็หนึ่งในชนชั้นล่างของชนชั้นล่างอีกที
เหล่าชู่ผีที่อยู่ด้านข้างโดยไม่เอ่ยอะไรออกมานั้น เวลานี้กลับเดินขยับเข้ามาใกล้โดยที่ในมือมีถุงเล็กเพิ่มขึ้นมาก่อนจะยื่นมาให้กับหยางหนิง “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ นี่เป็เงิน...เงินที่แลกมาจากป้ายหยกชิ้นนั้น ข้าได้ไปหาหมอและซื้อยาสมุนไพรมาพอสมควรแล้ว ที่เหลือเหล่านี้เ้าเก็บมันไว้ให้ดี”
ตอนนี้คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเพิกเฉยกับเหล่าชู่ผีอีก ทุกคนต่างก็รีบหลีกทางให้เขาอย่างรวดเร็ว
หยางหนิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ป้ายหยก?”
เห็นได้ชัดว่าเหล่าชู่ผีรู้ว่าตอนนี้สมองของหยางหนิงพร่าเลือนอยู่เล็กน้อยจึงรีบอธิบาย “ตอนที่เ้าสลบไปนั้น แม่นางเสี่ยวเตี๋ยได้มาเยี่ยมเ้า เมื่อเห็นว่าเ้าป่วยหนักจึงทิ้งป้ายหยกไว้อันหนึ่ง ข้าเห็นว่าป้ายหยกนั้นดูเหมือนจะมีความสำคัญกับนางมาก ทว่าเพื่อช่วยเ้าแล้วนางก็ยังคงดึงมันออกมา ข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่นจึงได้แต่ต้องรับมันเอาไว้ก่อน”
“เสี่ยวเตี๋ย?” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้วสมองของหยางหนิงกลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง ด้านหลังศีรษะรู้สึกเ็ปอยู่เล็กน้อย ขณะที่ในสมองก็ปรากฏภาพความทรงจำที่เลือนรางขึ้น โดยในภาพความทรงจำนั้นมีแม่นางรูปโฉมงดงามสะอาดสะอ้านอายุสิบกว่าปีปรากฏขึ้น พร้อมกับสมองที่รู้สึกร้อนระอุทำให้หยางหนิงต้องยกมือขึ้นกดขมับทั้งสองข้างของตนเอาไว้
เขาไม่ใช่คนโง่ การตอบสนองที่แปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้หยางหนิงนึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่ง แม้ว่าเขาจะยึดร่างของคนที่ชื่อเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ผู้นี้เอาไว้ แต่ว่าความทรงจำของเสี่ยวเตี๋ยเอ๋อร์กลับไม่ได้ถูกตัวเขากลืนกินไปจนหมด หากเอ่ยถึงสิ่งใดหรือผู้คนที่กระตุ้นอารมณ์ขึ้นมา จิตใต้สำนึกของเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ก็จะปรากฏขึ้นมาในสมองทันที
เหล่าชู่ผีเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติของหยางหนิง จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นและเอ่ยขึ้นพร้อมถอดถอนหายใจ “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เ้าเพิ่งจะหายจากอาการป่วย มิสู้...มิสู้พักผ่อนเพิ่มเสียหน่อยเล่า? คนอื่นเ้าจะลืมก็ได้ แต่ว่าแม่นางเสี่ยวเตี๋ยนั้น ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็ห้ามลืมโดยเด็ดขาด หากไม่ใช่เพราะนาง เกรงว่าตอนนี้เ้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
หยางหนิงยิ่งมีความสงสัยเพิ่มมากขึ้น ถ้าตามที่เหล่าชู่ผีกล่าวไว้ เช่นนั้นแม่นางที่ชื่อว่าเสี่ยวเตี๋ยผู้นั้นดูเหมือนจะถือเป็ผู้มีพระคุณของเขาอีกด้วย
ด้านนอกมีพายุและฝนเทกระหน่ำ ทำให้หยางหนิงในตอนนี้รู้สึกร่างกายหนาวเย็นอยู่บ้าง จึงหันไปเอ่ยกับโหวจื่อ “ที่นี่มีน้ำหรือไม่? เอาน้ำมาให้ข้าล้างหน้าเสียหน่อย”
เขา้าน้ำเย็นล้างหน้า ให้ตนเองมีสติขึ้นมา
โหวจื่อนิ่งค้างไปก่อนจะเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นของหยางหนิง จึงรีบเอ่ยออกมาอย่างหวั่นวิตก “มีๆ ข้าจะไปเอามาให้โดยเร็ว...!” ก่อนจะหันไปเอ่ยกับคนอื่นๆ “รีบไปช่วยกันเร็ว!”
เมื่อรอจนคนทั้งหลายออกไปจากประตูแล้ว หยางหนิงถึงจะหันไปถามเหล่าชู่ผี “ข้าป่วยหนักไปครั้งหนึ่งหรือ?”
“ป่วยเป็เวลาถึงสิบวัน” เหล่าชู่ผีเอ่ยถอนหายใจพร้อมเอ่ยต่อ “พวกเราไม่มีเงินไปหาหมอรักษา จึงได้แต่มองดูอยู่เฉยๆ มองดูเ้าที่ใกล้จะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว หลายวันก่อนแม่นางเสี่ยวเตี๋ยเดินทางมาที่นี่ในกลางดึก นางร้องไห้อยู่เนิ่นนานจากนั้นจึงดึงป้ายหยกออกมา และให้ข้าเอาไปแลกเป็เงินเพื่อหาหมอรักษาเ้า เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะป้ายหยกอันนั้น เกรงว่าตอนนี้เ้าคงจะตายไปแล้ว”
“เสี่ยวเตี๋ย...เสี่ยวเตี๋ยร้องไห้เป็เวลาเนิ่นนาน?” หยางหนิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมเอ่ยต่อ “นางตัดใจเห็นข้าตายไม่ได้? แต่ว่า...แต่ว่านางเป็ใครกันแน่ ทำไม...ทำไมข้าถึงนึกอะไรไม่ออกเลย?”