25.
พี่อูนเขาไม่ได้บอกผม
ซึ่งผมก็เข้าใจเหตุผลของเขาดี การที่เขาบอกว่าเขาเดาได้ว่าใครทำ เป็ข้อสันนิฐานที่เขาคิดขึ้นมาเองจากการสังเกตผู้คนรอบ ๆ ตัว เขาเลยขอไม่บอกผมในตอนนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขามั่นใจหรือมีหลักฐานแน่นอนแล้ว เขาจะบอกผมทันที
คำว่าเดาได้ของเขา ทำให้ผมรู้สึกว่าคนที่ทำจะเป็คนที่พวกเราทุกคนรู้จักกันเป็อย่างดี แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าใครที่จะเกลียดผมมากจนทำแบบนั้นกับผมได้ลง และถึงแม้ขนุนจะคะยั้นคะยอให้พี่อูนเขาบอกมากแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมบอก ซึ่งผมคิดว่ามันก็ดีแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่ได้มีหลักฐานที่จะไปกล่าวหาใครได้
หลังจากนั้นผมก็แยกย้ายกับพี่อูนเพื่อไปปลูกผักให้เสร็จ โดยที่มีขนุนกับพี่ปรงมาช่วยด้วย รอบนี้ผมปลูกผักเสร็จไวมาก ๆ จนแอบคิดว่าตัวเองลืมทำขั้นตอนไหนไปหรือเปล่า แต่พี่ปรงบอกว่าเพราะผมปลูกมาหลายครั้งแล้ว ก็เลยสามารถปลูกได้เสร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมก็ภาวนาว่าขอให้รอบนี้ต้นไม้ของผมโตสวยจนสามารถเก็บเกี่ยวส่งอาจารย์ได้ครบทุกต้น และผมก็หวังว่ารอบนี้มันจะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว เพราะอาจารย์อาจจะไม่ให้โอกาสผมเหมือนอย่างครั้งนี้อีกแล้วแน่ ๆ
“ไอ้อูนมันบอกแบบนั้นเหรอ” พี่ปรงเอ่ยถามในระหว่างที่เขากำลังนั่งทำงานของตัวเอง ในขณะที่ผมนอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะอยู่ข้าง ๆ เขา เราสองคนกลับมานั่งพักที่ห้องภาคหลังจากที่ผมจัดการปลูกผักของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เขาพูดเหมือนว่าเขาเหมือนจะรู้ แต่เขาไม่แน่ใจนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบพี่ปรงก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนนี้ผมกำลังนั่งรอเขาทำงานแล้วเราจะไปกินข้าวด้วยกัน ตอนแรกเขาจะบอกให้ผมไปก่อนเพราะงานเขาเยอะมาก ๆ คงทำจนถึงเย็นเลยกว่าจะเสร็จ แต่สุดท้ายถ้าผมไปก่อน ยังไงผมก็ต้องรอกลับพร้อมขนุนอยู่ดี ผมก็เลยนั่งรอเขาไปด้วยเลย
“แล้วมันเดาได้จากอะไร”
“เขาบอกว่าเด็กรุ่นผมมีแค่ไม่กี่คนที่จะเปิดปิดระบบโรงเรือนเป็ แต่จริง ๆ ผมก็ทำเป็นะ” ผมตอบกลับไปก่อนจะนึกย้อนไปถึงตอนที่อาจารย์สอนวิธีใช้ระบบต่าง ๆ ในโรงเรือน ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ให้จับกลุ่มและส่งตัวแทนไป ถ้าจำไม่ผิดก็มีเกือบสิบคนเลยที่ไปเรียนพร้อมผมตอนนั้น แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพี่อูนเขาเดาจากอย่างอื่นอีกหรือเปล่า
“แล้วที่น้อยหน่ามาหาล่ะ มาพูดอีกหรือเปล่า”
“น้อยหน่ามันมาบอกว่าตอนที่มันกับเพื่อนกลับมาส่งงานที่คณะ มันเห็นคนที่ด้านหลังเหมือนพี่อูนอยู่ที่ห้องภาคเป็คนสุดท้าย แต่มันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าใช่พี่อูนหรือเปล่า”
“ไม่น่าใช่ไอ้อูนหรอก”
“ผมก็คิดว่าไม่ใช่เหมือนกัน”
“วันนั้นพี่อยู่กับมันทั้งวันเลย แล้วมันก็ไม่มีเหตุผลไหนที่จะต้องทำแบบนั้นด้วย” พี่ปรงตอบกลับมาก่อนจะหันมาสบตากับผม ซึ่งผมก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
ผมไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลย การที่ผมต้องมานั่งระแวงคนรอบตัวโดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ผมได้ยินมาจากคนอื่นมันเป็เื่จริงหรือเปล่า จนถึงตอนนี้ ผมเลิกสงสัยแล้วว่าใครมันจะเป็คนทำแบบนั้นกันแน่ ยิ่งผมสงสัยก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไว้ใจใครไม่ได้เลย แล้วถ้าสุดท้ายแล้วมันเป็คนใกล้ตัวจริง ๆ ผมคงรู้สึกแย่มากกว่านี้แน่ ๆ
ถ้าครั้งนี้ผมสามารถปลูกผักจนส่งอาจารย์ได้ครบทั้งหมด ผมก็จะไม่พยายามหาคำตอบแล้วว่าใครที่เป็คนทำแบบนั้นกับผม ถึงแม้ว่าพี่ปรงกับขนุนจะคอยพูดอยู่เสมอว่ายังไงก็ต้องหาให้เจอ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต แต่เหมือนผมยิ่งพยายามหามากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น ผมยอมไม่รู้แบบนี้ต่อไปยังจะดีซะกว่า
“ปลูกผักเสร็จแล้วเหรอ ทานตะวัน” ใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องภาคเข้ามาทักผมที่นอนฟุบหน้าลงบนโต๊ะอยู่ ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะพบว่าเป็ลูกพีชที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เสร็จแล้ว” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น
“ขอโทษนะ ไม่ได้ไปช่วยเลยอะ”
“ไม่เป็ไรเลย เราก็ตั้งใจไว้ั้แ่แรกแล้วแหละว่าอยากทำคนเดียว เพราะมันเป็งานของเราอะ” ผมตอบกลับไปก่อนจะส่งยิ้มไปให้คนตรงหน้า ซึ่งลูกพีชก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกัน ่นี้เขาคอยถามผมเื่ปลูกผักรอบใหม่อยู่ตลอดเลย
“แล้วเป็ไง ปลูกเสร็จเรียบร้อยดีใช่ไหม” เขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ก็โอเค รอดูว่าจะโตหรือเปล่า”
“รอบนี้ต้องโตสวยแน่ เชื่อดิ”
“เราก็หวังแบบนั้นนะ”
“ถ้าทานตะวันมีอะไรให้เราช่วย บอกเราได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ลูกพีชพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนที่เขาจะเดินแยกออกไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งผมก็ได้แต่มองตามหลังเขาไปด้วยความงุนงง แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก
ผมรู้สึกแปลก ๆ ที่่นี้ลูกพีชคอยเข้ามาถามไถ่ผมอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เราแทบไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งตอนที่ผมอยู่ในห้องภาคกับพี่ปรงและพี่อูน บางครั้งที่ลูกพีชอยู่ด้วยเหมือนกัน เขาก็ไม่ได้คุยกับผมเลยสักนิด ผมพยายามที่จะคิดว่าเขาอาจจะเป็คนดีที่คอยห่วงใยคนอื่น ๆ แต่มันก็ยังรู้สึกตงิดอยู่ในใจอยู่ดี
แม้แต่พี่ปรงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมก็ยังหันมามองตอนที่ผมคุยกับลูกพีช พอลูกพีชเดินออกไป เขาก็เลื่อนสายตามาสบตากับผมด้วยความสงสัย แต่ผมก็เลือกที่จะส่ายหน้าเบา ๆ พี่ปรงเขาเลยไม่ได้ถามอะไรออกมาและก้มหน้าทำงานของเขาต่อ
หลังจากที่ผมนั่งรอพี่ปรงทำงานอยู่นานเกือบชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ทำงานของตัวเองเสร็จจนได้ ซึ่งเป็จังหวะเดียวกับที่ขนุนกลับมาจากการลงแปลงไปทำงานมาพอดี ขนุนเดินเข้ามาภายในห้องภาคในระหว่างที่ผมกำลังรอพี่ปรงเก็บของใส่กระเป๋า
“ทำงานเสร็จแล้วเหรอคะพี่ปรง” ขนุนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็เอ่ยทักพี่ปรงทันที มันทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ผมก่อนจะยื่นหน้าไปหาพี่ปรง ซึ่งเขาก็พยักหน้าเป็คำตอบ ก่อนจะหันมาคุยกับมัน
“ไปกินข้าวด้วยกันไหม ขนุน” พี่ปรงถามกลับด้วยสีหน้านิ่ง ๆ
“อุ่ย หนูไปด้วยได้เหรอคะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“หนูจะไปเป็ก้างหรือเปล่าคะเนี่ย” ขนุนตอบกลับพร้อมกับหันมายิ้มล้อเลียนใส่ ผมคิดว่าพอเวลาผ่านไปแล้วมันจะเลิกล้อผมเื่นี้สักที กลายเป็ว่ามันล้อหนักกว่าเดิม บางทีก็ลามไปล้อพี่ปรงแบบที่มันกำลังทำอยู่ตอนนี้ด้วย
“ก็เป็นะ เพราะจริง ๆ พี่ก็แค่ชวนเป็มารยาทเท่านั้นแหละ” พี่ปรงตอบกลับไปก่อนจะแสยะยิ้มใส่ขนุน อย่างที่บอกว่าขนุนมันชอบล้อทั้งผมและพี่ปรง แต่พี่ปรงเขาไม่ใช่พวกที่ยอมให้โดนกระทำฝ่ายเดียว เขาค่อนข้างสู้มือเลยทีเดียวล่ะ
“งั้นหนูจะไปค่ะ!” ขนุนตอบกลับด้วยสีหน้าที่กวนประสาทจนผมที่ยืนมองอยู่ก็ยังแอบหมั่นไส้ พี่ปรงเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น ขนุนหันไปมองรอบ ๆ ห้องก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “แล้วนี่พี่อูนไม่อยู่เหรอคะ”
“อูนมันอยู่ห้องเพาะเห็ด”
“พี่ยังทำวิจัยเื่เห็ดกันไม่เสร็จอีกเหรอคะ หนูนึกว่าเลิกปลูกกันไปแล้วนะเนี่ย เห็นว่าเื่เห็ดมันก็เงียบ ๆ ไปแล้วด้วย เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินใครพูดเื่เห็ดวิเศษณ์กันเลยค่ะ”
“ดีแล้วที่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน พี่จะได้ไม่ต้องกลัวใครจะมาขโมยเห็ดพี่อีก” พี่ปรงพูดพร้อมกับเหลือบตามามองผม ซึ่งผมก็เลื่อนใบหน้าหนีสายตาของเขาไปทางอื่น ถึงแม้ว่าเื่มันจะผ่านมานานแล้ว และพี่ปรงก็ไม่ติดใจเอาความอะไรกับเื่ที่ผมไปขโมยเห็ดเขาแล้ว แต่ผมก็ยังอายที่ตัวเองทำแบบนั้นลงไปอยู่ดี
“จริงค่ะ พวกหัวขโมยมันเยอะ” ขนุนตอบกลับพี่ปรงไปเพียงเท่านั้น ซึ่งผมก็แทบอยากจะพูดแทรกใส่มันเลย ก็ที่ผมต้องไปขโมยเห็ดตอนนั้นไม่ใช่เพราะมันเป็คนยุผมหรอกหรือไง
“ว่าแต่ ถามหาอูนทำไมเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”
“อ้อ เปล่าค่ะ พอดีเมื่อกี้หนูเดินสวนกับใครก็ไม่รู้หน้าห้องภาค หนูนึกว่าเป็พี่อูน แต่เรียกแล้วเขาไม่หันก็เลยคิดว่าไม่น่าใช่ค่ะ” ขนุนตอบกลับก่อนจะหัวเราะออกมาแห้ง ๆ
“เขาไม่อยากคุยกับมึงหรือเปล่า” ผมแกล้งตอบกลับไปหลังจากที่ฟังพี่ปรงกับขนุนคุยกันอยู่นาน ซึ่งขนุนมันก็หันมาแยกเขี้ยวใส่ผม ส่วนพี่ปรงก็คิ้วขมวดเหมือนเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ทำไมถึงคิดว่าเป็อูนล่ะ”
“ก็มองจากข้างหลังแล้วมันเหมือนน่ะค่ะ”
“…” พี่ปรงไม่ได้ตอบอะไร แต่เขากลับหันหน้ามาสบตากับผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าสายตาแบบนั้นของเขามันหมายความว่ายังไง ผมจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
“่นี้มีแต่คนเห็นคนอื่นเป็พี่อูนตลอดเลยเนอะ” ก่อนที่ผมจะคิดอะไรออก ขนุนก็พูดย้ำขึ้นมาอีกครั้ง และในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะเข้าใจว่าสายตาของพี่ปรงที่มองมาหาผมเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง
ไม่ใช่แค่ขนุนที่มองเห็นคนอื่นเป็พี่อูน
แต่ก่อนหน้านี้น้อยหน่าก็เพิ่งมาพูดกับผมว่ามันเห็นคนคนหนึ่งที่ด้านหลังคล้ายพี่อูน เดินเข้าออกห้องภาคตอนเย็นของวันนั้น วันที่มีคนแอบไปปิดระบบโรงเรือนจนทำให้ผักของพืชตายกันไปหลายสิบต้น ถึงน้อยหน่าจะบอกว่าคนคนนั้นเหมือนพี่อูนมาก ๆ แต่ผมก็คิดอยู่ในใจว่าไม่น่าเป็ไปได้ที่จะเป็พี่อูน และพี่ปรงเขาก็ได้ยืนยันแล้วว่าวันนั้นพี่อูนไม่ได้อยู่ที่คณะจริง ๆ
หลังจากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ ผมกับพี่ปรงมีเื่ที่ติดอยู่ในใจเหมือนกัน แต่แค่เรายังไม่ได้พูดมันออกมา พวกเราออกจากคณะไปพร้อม ๆ กันเพื่อไปกินข้าวร้านประจำของผมกับพี่ปรง โดยที่มีขนุนไปด้วยเหมือนกัน
ในระหว่างนั้นผมกับพี่ปรงก็ไม่ได้คุยกันถึงเื่ที่เราคิดเหมือนกันเลย จนกระทั่งตอนที่เรากินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขนุนขอแยกตัวไปที่หอเพื่อนเพื่อไปทำโครงงานอะไรสักอย่าง มันเลยฝากพี่ปรงให้ไปส่งผมให้ถึงที่หอ
ผมกับพี่ปรงแยกกับขนุนที่หน้าร้าน หลังจากนั้นเราทั้งสองคนก็เดินกลับไปที่รถของพี่ปรงพร้อม ๆ กันภายใต้ความเงียบที่เข้าปกคลุม พี่ปรงเขาเหมือนมีเื่อะไรให้คิดอยู่ตลอดเวลา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนแทบจะมัดกันเป็ปมอยู่แล้ว ถ้าให้ผมเดา เขาน่าจะคิดถึงเื่ที่ขนุนพูดตอนที่อยู่ในห้องภาคแน่ ๆ
คนที่ขนุนเดินสวนกันไปแล้วมันคิดว่าเป็พี่อูน จะต้องเป็คนเดียวกับที่น้อยหน่าเห็นเมื่อตอนวันเกิดเหตุแน่ ๆ น่าแปลกที่พอผมพยายามจะนึกว่ามีใครบ้างในภาคของผมที่จะตัวสูงเท่า ๆ พี่อูนหรือรูปร่างลักษณะเหมือนกัน ผมก็คิดไม่ออกเลย
“พี่พอจะรู้แล้วแหละว่าไอ้อูนมันหมายถึงใคร” จู่ ๆ พี่ปรงก็พูดขึ้นมาตอนที่เราทั้งสองคนก้าวขึ้นมานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เป็เวลา่งหัวค่ำที่ฟ้าค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ ผมจึงมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเท่าไหร่นัก
“พี่หมายความว่าไง”
“กลับไปที่คณะกันเถอะ”
“…”
“พี่คิดว่าพี่รู้แล้วว่าใครเป็คนทำ”
พี่ปรงเขาพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็จัดการสตาร์ทรถและขับกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยโดยไม่รอให้ผมตอบเลยสักนิดเดียว ผมจึงเลือกที่จะนั่งเงียบ ๆ ตลอดทางและพยายามจะเก็บเอาคำพูดของเขามาคิด ผมไม่แน่ใจว่าทำไมจู่ ๆ พี่ปรงก็ดูเหมือนจะรู้เื่ทุกอย่างขึ้นมาแบบนี้ แต่เขาพูดด้วยความมั่นใจมาก ๆ มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าเขาน่าจะรู้จริง ๆ
“พี่รู้ได้ไงว่าใครเป็คนทำ”
“ก่อนหน้านี้น้องบอกพี่ว่าคนที่เปิดปิดระบบโรงเรือนเป็มีสิบกว่าคนเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับ อาจารย์เขาให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนไป แล้วเขาก็สอนวิธีเปิดปิดระบบต่าง ๆ ผมจำได้ว่าตอนนั้นมีกันประมาณสิบกว่าคนเลย รวมผมด้วย” ผมตอบกลับไป เป็จังหวะเดียวกับที่รถของพี่ปรงย้อนกลับมาจอดที่คณะพอดี
“แสดงว่าคนที่ทำจะต้องเป็หนึ่งในสิบคนนี้แน่ ๆ ถูกไหม”
“ครับ”
“แต่มันมีอีกอย่างหนึ่งที่น้องไม่รู้คือห้องควบคุมระบบโรงเรือนจะปิดตอนห้าโมงเย็น แปลว่าหลังจากห้าโมงเย็นไปแล้ว คนที่ไม่มีกุญแจจะไม่สามารถยุ่งกับระบบของโรงเรือนได้อีก แล้วสแลนกันฝนมันก็ถูกปิด่เย็นมาก ๆ ซึ่งพี่เดาว่าน่าจะประมาณหกโมงเย็นเกือบทุ่ม เพราะฉะนั้นคนที่เป็คนทำเื่ทั้งหมดนี้คือคนที่มีกุญแจ”
ผมพยายามคิดตามคำพูดของพี่ปรงก่อนที่ตัวผมจะเริ่มเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ผมไม่เคยรู้เื่ที่ห้องควบคุมระบบโรงเรือนมีเวลาเปิดปิดมาก่อน เพราะปกติพวกเราทุกคนก็จะเปิดปิดแค่ใน่เวลาเรียนกันเท่านั้น แสดงว่าคนที่เป็คนแกล้งผมกับเพื่อน ๆ คนอื่นก็คือคนที่มีกุญแจห้องนั้นสินะ
“แล้วใครมีกุญแจเหรอครับ” ผมถามกลับไป
“ไอ้อูน”
“…”
“อูนมันมีกุญแจห้องทุกห้องของภาคเรา เป็กุญแจพวงใหญ่ ๆ ที่ห้อยกุญแจทุกดอกรวมกันไว้ เวลาใครจะไปใช้ห้องไหนก็จะมาขอกุญแจจากมันไปเปิด พี่คิดว่าคนที่ทำน่าจะมาขอกุญแจจากไอ้อูนไป”
“แสดงว่าพี่อูนก็น่าจะรู้ั้แ่แรก แต่เขาไม่บอกเราเหรอครับ”
“มันอาจจะยังไม่แน่ใจ”
“แล้วพี่คิดว่าเป็ใคร”
“ตอนที่เรานั่งกันอยู่ที่ห้องภาคก่อนที่ขนุนจะมา เราไม่ได้อยู่กันสองคน”
“…”
“ถ้าคนที่น้อยหน่ากับขนุนเห็นเป็คนเดียวกัน แสดงว่าคนที่เดินออกจากห้องภาคไปก่อนที่ขนุนจะเข้ามา ก็คือคนที่น้อยหน่าเห็นในวันนั้น” พี่ปรงเขาพูดพร้อมกับหันมาสบตากับผม เหมือนเขาอยากให้ผมคิดตามให้ทันเขา
น้อยหน่ากับขนุนเห็นใครบางคนที่มันบอกว่าด้านหลังเหมือนพี่อูน สำหรับน้อยหน่า ผมไม่รู้ว่าวันนั้นมันเจอใคร แต่ถ้าเป็ขนุน ผมพอจะเดาได้ เพราะก่อนที่ขนุนจะเข้ามาที่ห้องภาค นอกจากผมกับพี่ปรงแล้ว ก็มีอีกแค่คนเดียวที่อยู่แถว ๆ นี้พอดี
ลูกพีช
เป็ไปได้หรือเปล่าว่าคนที่ขนุนเจอแล้วคิดว่าเป็พี่อูนคือลูกพีช
ผมกับพี่ปรงเดินลงจากรถพร้อมกันก่อนจะก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินเพื่อเข้าไปภายในตึกคณะ ตอนนี้เป็เวลาหนึ่งทุ่มที่บริเวณรอบข้างมืดหมดแล้ว มีเพียงแค่แสงไฟจากตึกเท่านั้นที่ทำให้เรามองเห็น มีนักศึกษาบางกลุ่มที่อยู่คนละภาคกับผมเดินสวนออกมา ตึกคณะในตอนนี้เลยเงียบมากจนเหมือนจะไม่เหลือใครแล้ว
เราทั้งสองคนเดินเข้ามาโดยไม่ได้คุยอะไรกันเลย พี่ปรงเดินมุ่งหน้าเหมือนจะเดินไปที่ห้องภาค แต่ยังไม่ทันที่เราจะเดินไปถึงไหน จู่ ๆ เราก็มาเจอกับคนสองคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่พอดี ผมไม่เคยรู้สึกว่าความบังเอิญมันน่ากลัวเท่านี้มาก่อน เพราะคนที่เราเจอก็คือพี่อูนที่กำลังยืนคุยกับลูกพีชด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ไอ้ปรง มึงมีอะไรหรือเปล่า” พี่อูนหันมามองหน้าผมเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็หันไปสบตากับพี่ปรงและเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ซึ่งผมก็เอาแต่มองหน้าเขาสลับกับลูกพีชไปมา
ลูกพีชดูในิดหน่อยที่เห็นผมกับพี่ปรงในเวลานี้ พอพี่ปรงเขาเฉลยเื่ต่าง ๆ แล้วผมก็ลองมาสังเกตดี ๆ ผมเพิ่งเห็นว่าวันนี้พี่อูนกับลูกพีชใส่เสื้อสีขาวเหมือนกัน แถมเวลาที่ยืนข้าง ๆ กัน ลูกพีชกับพี่อูนก็สูงเกือบจะเท่ากันเลย เพียงแต่ว่าลูกพีชเตี้ยกว่าเล็กน้อย และอีกอย่างหนึ่งทีเหมือนผมจะลืมไปแล้ว ก็คือพี่อูนกับลูกพีชเขาเป็พี่รหัสน้องรหัสกัน ไม่แปลกที่เขาจะสนิทกันมาก จนทำให้ท่าทางการยืนหรือแม้แต่การพูดของทั้งสองคนดูคล้าย ๆ กัน ผมลืมเื่นี้ไปได้ยังไงกันนะ
“มึงมีอะไรจะบอกกูหรือเปล่า” พี่ปรงพูดออกมาเพียงเท่านั้น
“อะไรวะ กูไม่เข้าใจ”
“งั้นเดี๋ยวกูถามใหม่”
“…”
“ลูกพีช”
“…”
“คนที่แกล้งทานตะวันมาตลอด คือแกใช่ไหม”