24.
ผมลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็การปลูกรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ในเมื่ออาจารย์ยังให้โอกาสผมในการแก้ตัวอยู่ ผมก็จะพยายามจนถึงที่สุด ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะไม่สำเร็จจริง ๆ ผมก็ยอมรับในผลของมัน
พี่ปรงเตรียมของทุกอย่างไว้ให้ผมเรียบร้อยโดยที่ผมไม่ได้บอกเขาสักคำเลยว่าผมจะปลูกผักใหม่วันนี้ แต่ในเมื่อเขามัดมือชกผมขนาดนี้แล้ว ผมก็เลยตั้งใจไว้ว่าจะปลูกใหม่ตอนเย็นวันนี้เลย แถมขนุนกับพี่อูนยังมาพูดกับผมอีกว่าวันนี้จะมาช่วยผมปลูกผักด้วย เหมือนทุกคนนัดกันมาเพื่อหว่านล้อมให้ผมปลูกวันนี้ให้ได้
“วันนี้ปลูกผักรอบใหม่หรือเปล่า” ในขณะที่ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋าหลังจากที่เรียนเสร็จแล้ว จู่ ๆ ลูกพีชก็เดินเข้ามาทักผมด้วยหน้าตายิ้มแย้ม เขาเป็คนที่ร้อยของวันนี้แล้วที่เข้ามาทักผมแบบนี้
“ใช่ ๆ น่าจะปลูกเย็นนี้เลยอะ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ั้แ่ที่ผมเข้าห้องเรียนมา เพื่อนหลาย ๆ คนในคณะก็เอาแต่ทักผมเื่ปลูกผักรอบใหม่พร้อมกับปิดท้ายด้วยการบอกว่าสู้ ๆ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่ชอบการถูกพูดถึง แต่พอเห็นว่าคนอื่นใจดีกับผมแบบนั้น มันก็ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา ถึงแม้เพื่อนบางคนจะพูดไปตามมารยาทก็เถอะ
“เย็นนี้เราว่างนะ ให้เราไปช่วยไหม”
“ไม่เป็ไรหรอก ไม่อยากรบกวน”
“ไม่ได้ ๆ ทานตะวันยังเคยมาช่วยเราตอนงานแฟร์เลย” ลูกพีชพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ใจจริงผมไม่อยากให้ใครมาช่วยเลย เพราะมันเป็งานของผมเอง แต่ผมก็ปฏิเสธคนไม่เก่งจริง ๆ
“เอาแบบนั้นเหรอ”
“เดี๋ยวเราไปช่วย”
“ขอบใจมากนะ แต่ถ้ามีธุระหรือมีอะไรต้องไปทำก็ไม่ต้องมาช่วยกันได้นะ เราเกรงใจมาก ๆ เลยอะ”
“ไม่เป็ไร ถือว่าช่วย ๆ กัน” ลูกพีชพูดพร้อมกับเดินมาตบไหล่ผมเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเดินนำออกจากห้องไปก่อน ผมได้แต่มองตามหลังเขาไปจนกระทั่งเขาหายลับไปจากสายตา
ผมเจอลูกพีชบ่อย ๆ ในห้องภาค เพราะเขามักจะนั่งทำงานอยู่ในนั้น บางครั้งก็เจอเขามากับพี่อูน เพราะเขาสองคนเป็พี่รหัสน้องรหัสกัน เราไม่ได้คุยกันบ่อยเท่าไหร่นัก เพราะบางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาเป็คนเข้าถึงยาก แต่บางครั้งเขาก็จะเป็ฝ่ายเข้ามาทักผมก่อน อย่างที่ผมบอกว่าเขาเป็คนที่เพื่อนในคณะจะชอบเข้าหาเขามาก ๆ เพราะเขาเป็คนเรียนเก่ง ฉลาด แต่สำหรับผมแล้ว บางครั้งเขาก็ดูเหมือนจะเป็มิตร แต่บางครั้งก็เหมือนจะไม่
“มึงสนิทกับเขาเหรอ” ขนุนเอ่ยถามผมหลังจากที่เราเดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมกัน เป็ครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ขนุนถามผมแบบนี้ ทุกครั้งที่ลูกพีชเข้ามาคุยกับผม ขนุนจะถามผมแบบนี้ตลอด
“ไม่นะ แต่่นี้เจอกันบ่อย” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ผมไม่กล้าคิดไปเองหรอกว่าตัวเองสนิทกับใคร ผมกับลูกพีชก็แค่มีโอกาสได้เจอหน้ากันบ่อย แต่ก็ไม่ได้คุยกันบ่อยขนาดนั้น
“ทำไมเขาถึงจะมาช่วยมึงวะ”
“เขาสงสารกูมั้ง”
“ไม่รู้ดิ กูว่าเขาแปลก ๆ อะ เหมือนจะนิสัยดี แต่ก็ไม่” ขนุนพูดพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนเป็ปม ขนุนมันเป็พวกตัดสินคนจากความรู้สึกแรกที่ตัวเองรู้สึก ซึ่งบางครั้งความรู้สึกของมันก็ผิด
“เขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนนั้นนะ กูเห็นเขาช่วยงานรุ่นพี่ที่ห้องภาคประจำเลย เขาอาจจะแค่เป็คนใจดีก็ได้นะ” ผมตอบกลับไปในขณะที่เราทั้งสองคนกำลังเดินไปที่ห้องภาคของผมเพื่อไปเอาของ
วันนี้ผมนัดพี่ปรงปลูกผักไว้ตอนสี่โมงเย็น เพราะเขากับพี่อูนมีเรียนจนถึงประมาณบ่ายสาม แต่ผมก็กะว่าจะไปทำรอก่อน จะได้ทำเสร็จไว ๆ แล้วอีกอย่างคือผมอยากพยายามทำด้วยตัวเองให้มากที่สุด ไม่อยากรบกวนคนอื่นมาก ถ้าสุดท้ายแล้วงานมันจะออกมาไม่ดี ผมก็อยากให้มันเป็เพราะผมที่ไม่ดีเอง ไม่อยากให้คนอื่นต้องมารู้สึกผิดไปด้วย
“เวลากูเข้าไปในห้องภาคมึงทีไร เขาชอบมองเหมือนไม่พอใจกูอะ กูเลยรู้สึกว่าเขานิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ขนุนตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ เพราะขนุนมันเป็คนนอกภาคล่ะมั้ง ก็เลยถูกมองแปลก ๆ เวลาเข้ามาห้องภาคของผม
อย่างที่ผมบอกว่าบางครั้งผมก็รู้สึกได้ว่าลูกพีชเขาไม่ได้เป็มิตรขนาดนั้น ผมเคยพยายามจะยิ้มให้เขา แต่เขาก็เมินผมไปเฉย ๆ หรือบางครั้งเขาก็มองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่ง ๆ เหมือนคนไม่รู้จักกันแต่ผมก็ไม่อยากจะตัดสินเขาจากคำพูดของขนุน
“เขาอาจจะแค่สงสัยว่าทำไมคนนอกถึงเข้าได้ไรงี้มั้ง อย่าไปคิดมาก” ผมตอบกลับไปในตอนที่เราทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องภาคของผมพร้อมกัน ถึงแม้ว่าขนุนมันจะชอบมาบ่นว่าไม่ชอบเวลาคนในภาคผมมองด้วยสายตาแปลก ๆ เวลาที่มันเข้ามาในห้องภาคพืชผัก แต่ถามว่ามันสนใจไหม ก็คงไม่ เพราะมันก็เดินเข้าเดินออกเหมือนเดิม
“มึงนี่มองโลกในแง่ดีอีกละ”
“มึงลองทำบ้างดิ มึงอาจจะสบายใจมากกว่าที่มาคอยจับผิดคนอื่นแบบนี้ก็ได้นะ” ผมตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะออกมานิดหน่อย ถึงแม้หลายคนจะพูดว่าหงุดหงิดที่ผมเอาแต่มองโลกในแง่ดี แต่ผมว่าจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
การต้องมารับรู้ว่าคนรอบตัวเรานิสัยแย่ยังไงจากปากของคนอื่น ก็มีแต่จะทำให้เราคิดลบกับคนคนนั้นโดยที่เรายังไม่เคยได้ลองทำความรู้จักเลยด้วยซ้ำ บางทีเราอาจจะพลาดการได้รู้จักกับคนดี ๆ ก็ได้ ผมถึงพยายามจะไม่ตัดสินใคร ถ้าผมยังไม่เคยเจอกับตัว สุดท้ายแล้วถ้าเขาจะแย่แบบนั้นจริง ๆ อย่างน้อยผมก็กล้าพูดได้เต็มปากว่าผมเจอมากับตัว
“มึงว่ากูเหรอ?!” ขนุนยืนท้าวเอวตรงหน้าผมก่อนจะถามออกมาเสียงดัง ซึ่งผมก็ยักไหล่แทนคำตอบ ก่อนจะเดินหนีมันไปอีกทางเพื่อไปเช็คของที่พี่ปรงเตรียมไว้ ปล่อยให้ขนุนมันยืนหัวร้อนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
ผมเดินไปเดินมาเพื่อตรวจเช็คของที่จะนำลงไปลูกผักรอบใหม่ ผมแทบไม่ต้องเตรียมอะไรเพิ่มเลย เพราะพี่ปรงกับพี่อูนเขาเตรียมไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว ผมมีหน้าที่แค่ขนลงไปข้างล่างเท่านั้น ส่วนขนุนที่งอนตุ๊บป่องก็เอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะเงียบ ๆ ผมถามอะไรก็แกล้งเชิดหน้าหนี จนผมเผลอหลุดหัวเราะออกมา และนั่นก็ทำให้มันยิ่งงอนเข้าไปใหญ่
“มึงมาทำไมอีก” ในระหว่างที่ผมกำลังเดินวนไปวนมาอยู่รอบห้อง จู่ ๆ ขนุนก็พูดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ ผู้หญิงผมสีชมพูคนนั้นเดินเข้ามาภายในห้องก่อนจะมองมาที่ผม
“กูอยากพิสูจน์ว่ากูไม่ได้ทำจริงๆ” น้อยหน่าหันไปพูดกับขนุน ก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้ามาหาผมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดว่าน้อยหน่าเป็คนทำั้แ่แรกอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่น้อยหน่าจะต้องทำแบบนั้นกับผม
“ถ้ามึงไม่ได้ทำจริง ๆ อะ มึงไม่จำเป็ต้องพิสูจน์อะไรเลยเว้ย” ขนุนเดินตามมายืนข้าง ๆ ผมก่อนจะพูดกับน้อยหน่าด้วยเสียงที่ดังขึ้น จนทำให้คนตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย แม้แต่ผมก็ยังใกับเสียงของมันเลย
“แล้วจะให้กูอยู่เฉย ๆ ได้เหรอ กูโดนเข้าใจผิดนะ”
“มึงไม่ได้เป็คนทำ ไม่ได้หมายความว่าเพื่อนมึงจะทำไม่ได้นะ”
“ขนุน มึงพอเถอะ” ผมยกมือขึ้นห้ามขนุนที่พร้อมจะเอาเื่น้อยหน่าเต็มที่ อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้คิดว่าเื่นี้เป็ความผิดของน้อยหน่าั้แ่แรกอยู่แล้ว ส่วนขนุนมันก็หัวร้อนมากเกินไป เื่นี้ไม่ใช่เื่อะไรของมันที่ต้องมาเดือดร้อนแทน
ที่พี่ปรงมาบอกว่ามีคนตั้งใจแกล้งผมจริง ๆ อันนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อเขานะ แต่ผมแค่ไม่อยากไปโทษใครมั่วซั่ว ถึงผมกับน้อยหน่าจะเคยมีปัญหากันจริง ๆ แต่น้อยหน่าก็ดูไม่ใช่คนที่กล้าจะทำอะไรแบบนั้น ผมเลยไม่อยากให้ขนุนมันออกตัวแรงแทนผมขนาดนั้น เพราะถ้าสุดท้ายแล้วคนที่ทำไม่ใช่น้อยหน่าจริง ๆ ขนุนก็จะถูกคนอื่นมองว่ามันไปใส่ร้ายเพื่อน
“ช่างมันเถอะน้อยหน่า เราเชื่อว่าแกไม่ได้เป็คนทำจริง ๆ” ผมเอ่ยบอกเพื่อตัดปัญหา เพราะไม่งั้นขนุนมันก็คงไม่ยอมลงง่าย ๆ แน่นอน ส่วนน้อยหน่าก็ดูเหมือนว่าอยากจะโชว์หลักฐานให้ผมเชื่อให้ได้จริง ๆ
“แต่เรารู้นะ ว่าใครที่เป็คนทำ” น้อยหน่าตอบกลับมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมกับขนุนหันมองหน้ากันทันที เพราะน้อยหน่าพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้ผมคิดว่าเธอคงไม่ได้มาพูดเพื่อเอาตัวรอดอย่างเดียว
“ใคร” ขนุนถามกลับไปทันที
“วันนั้นไม่ได้มีแค่กลุ่มกูที่อยู่คณะกันจนเย็น”
“…”
“ตอนที่กูกลับมาส่งงานเสร็จ กูเห็นใครก็ไม่รู้เดินออกจากห้องภาคของเราไป แต่ตอนนั้นกูคิดว่าน่าจะเป็พวกรุ่นพี่ ก็เลยไม่ได้สนใจว่าเป็ใคร” คราวนี้น้อยหน่าหันมาพูดกับผม ซึ่งผมก็พยายามคิดตามจากคำพูดนั้น ถ้าบอกว่าเดินออกจากห้องภาคของผม แสดงว่าก็ต้องเป็คนในภาคเดียวกัน แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่รุ่นพี่หรอก
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าคนที่มึงเห็นเป็คนทำ” ขนุนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ก็เพราะนอกจากกลุ่มกู กับคนที่กูเห็นว่าเดินออกจากห้องภาค ในคณะก็ไม่เหลือคนอื่นแล้วนะ แล้วตอนที่กูเดินออกมา สแลนกันฝนมันยังเปิดอยู่” น้อยหน่าพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมกับขนุนดู บนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏเป็รูปถ่ายของขนุนกับเพื่อน ซึ่งถ่ายอยู่ตรงบริเวณลานจอดรถของคณะ แต่เพราะลานจอดรถอยู่ติดกับบริเวณฟาร์ม ทำให้ในภาพสามารถมองเห็นโรงเรือนที่ผมและเพื่อนใช้ปลูกผักได้อย่างชัดเจน และผมก็พบว่าในรูปนั้น สแลนกันฝนมันยังเปิดอยู่จริง ๆ
ในภาพที่ขนุนเอามาให้ผมดู เหมือนจะเป็่เวลาเย็น ๆ ที่ยังพอมีแสดงสว่างอยู่บ้าง แต่ท้องฟ้ามืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆฝน วันนั้นมีประกาศเตือนฝนตกหนักจากทางคณะ ทำให้ภายในตึกคณะเงียบเร็วกว่าปกติ ผมเองก็เป็คนหนึ่งที่กลับหอั้แ่่บ่าย ๆ เย็น ๆ เลย เพราะผมกลัวว่าฝนจะตกหนักจนกลับไม่ได้
“มึงบอกว่าเป็รุ่นพี่เหรอ น้อยหน่า”
“ตอนนั้นกูคิดว่าเป็รุ่นพี่ แต่เพื่อนกูบอกว่ามองจากหน้าหลังแล้วคุ้น ๆ เหมือนจะเป็…” น้อยหน่าเหลือบตามามองหน้าผมเล็กน้อย เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังลังเลว่าจะตอบคำถามดีหรือเปล่า น้อยหน่าทำเหมือนว่า ถ้าพูดชื่อนั้นออกมาแล้ว ผมจะต้องรู้สึกแย่มากแน่ ๆ ก็เลยทำเหมือนว่าจะไม่พูดมันออกมา
ไม่ว่าคนที่ทำจะเป็ใคร และเขามีเหตุผลอะไร ถ้าเหตุผลมันดีพอและพอจะเข้าใจได้ ผมก็พร้อมจะเข้าใจเขามาก ๆ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็คนใกล้ตัวผมมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผมคิดว่าคงไม่มีเหตุผลอะไรที่พอจะฟังขึ้นทั้งนั้น
“ใคร?” ขนุนที่ยังคงใจร้อนเหมือนเดิมรีบถามกลับไปเสียงดัง
“พี่อูน”
“เพื่อนมึงมั่วหรือเปล่า”
“ปกติเวลาพวกกูซ้อมหลีดกันจนมืดจนค่ำ ก็มักจะเจอพี่อูนนี่แหละที่คอยตรวจเช็คความเรียบร้อยในคณะ เขาจะกลับเป็คนสุดท้ายตลอด คือเมื่อวานกูก็ไม่ได้รู้สึกว่าคนที่กูเห็นคือพี่อูนหรอกนะ แต่เพื่อนกูบอกว่าใช่”
“กูว่านะ เพื่อนมึงนั่นแหละเป็คนทำ แล้วมาโทษคนอื่น” ขนุนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอก มันไม่เชื่อในสิ่งที่น้อยหน่าพูด ผมเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ไม่มีทางที่พี่อูนจะเป็คนทำ เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำแบบนั้นเลย
“กูก็ไม่ได้คิดว่าเป็พี่อูนหรอก แต่บางทีพี่อูนอาจจะรู้ก็ได้นะว่าใครทำ”
“มึงหมายความว่าไง”
“ก็เขาเป็คนที่ดูแลความเรียบร้อยของภาค ถ้ามีอะไรที่มันผิดปกติ เขาก็ต้องรู้ดิ”
“แล้ววันนั้นน้อยหน่าเจอพี่อูนหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามขึ้นบ้าง หลังจากที่ฟังทั้งสองคนคุยกันมานานหลายนาที อย่างที่บอกว่าผมไม่เชื่อว่าพี่อูนจะเป็คนทำ แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงคล้อยตามคำพูดของน้อยหน่าที่บอกว่าพี่อูนจะรู้เื่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในคณะ เพราะปกติเขาก็รู้แทบจะทุกอย่างจริง ๆ
“ไม่ได้เจอตอนเย็น แต่เจอตอนกลางวัน”
“พี่อูนเขาอาจจะกลับบ้านเร็วก็ได้นะ”
“ทานตะวันก็ลองไปถามเขาดูสิ เขาอาจจะรู้ก็ได้นะว่าใครเป็คนทำ” น้อยหน่าพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนที่เ้าตัวจะเดินหายออกจากห้องภาคพร้อมกับเสียงกร่นด่าของขนุนที่ลอยตามหลังไป
“มึง พี่อูนไม่ได้เป็คนทำหรอก อีพวกนี้มันใส่ร้ายเขา” ขนุนหันมาพูดกับผมหลังจากที่ภายในห้องเหลือแค่ผมกับมันสองคน ผมเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะตัวที่ผมชอบนั่งเป็ประจำ ก่อนที่ขนุนจะเดินตามมานั่งข้าง ๆ
“กูก็ไม่ได้คิดว่าพี่อูนเป็คนทำ”
“กูว่าพวกมันนั่นแหละทำ”
“เอาจริงปะ ตอนนี้กูแค่รู้สึกว่ากูไม่ได้อยากรู้แล้วอะว่าใครเป็คนทำ คิดไปก็มีแต่จะทำให้ปวดหัว” ผมตอบกลับไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เื่นี้มันวนเวียนอยู่ในหัวของผมมานานจนผมรู้สึกเบื่อแล้ว
“ไม่ได้นะเว้ย เราต้องจับคนร้ายให้ได้”
“จับคนร้ายอะไรกัน” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับมา จู่ ๆ พี่อูนก็ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้ม เขาเดินเข้ามาภายในห้องภาคพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะเรียนเสร็จ
“พี่อูนสวัสดีค่ะ” ขนุนหันไปพูดกับพี่อูน ก่อนที่พี่อูนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกันกับผมและขนุน แต่เขานั่งฝั่งตรงข้ามผมพอดิบพอดี ทำให้ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
“สรุปว่าจับคนร้ายอะไรกัน บอกพี่บ้าง” พี่อูนถามย้ำ
“ก็เื่คนที่แอบมาปิดสแลนกันฝนนั่นแหละค่ะ อีน้อยหน่ามัน…”
“ขนุน” ผมหันไปยกมือห้ามขนุนก่อนที่มันจะได้พูดอะไรออกไป แต่เหมือนว่าพี่อูนจะได้ยินอย่างชัดเจน และเขากำลังสงสัยว่าขนุนกำลังจะพูดอะไรกันแน่ ทำไมผมถึงต้องห้ามมัน เขาหรี่ตามองผมและขนุนสลับกันไปมาจนขนุนมันเลิกลั่ก
“น้อยหน่าทำไมเหรอ”
“คือ”
“ขนุน อย่ามีความลับกับพี่นะ” พี่อูนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง รอยยิ้มของเขาไม่ได้ทำให้ขนุนมันรู้สึกกดดันน้อยลงเลย ยิ่งเขาพูดดีมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เราลำบากใจมากเท่านั้น
“น้อยหน่ามันบอกว่าเมื่อวานมันเจอพี่อยู่ที่ตึกเป็คนสุดท้าย”
“อ่าฮะ แล้วไง”
“มันคิดว่าพี่อาจจะเป็คนทำ”
“หมายถึง คิดว่าพี่เป็คนปิดสแลนกันฝนเหรอ? ทำไมน้อยหน่าถึงคิดแบบนั้นล่ะ” พี่อูนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ปกติ เขาไม่ได้ยิ้มเหมือนตอนแรก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจ
“จริง ๆ หนูก็บอกมันไปแล้วแหละว่าพี่ไม่ได้ทำ แต่มันบอกว่าพี่อาจจะรู้ว่าใครเป็คนทำ” ขนุนยังคงตอบกลับคำถามของพี่อูนไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมทำได้เพียงแค่คอยสังเกตสีหน้าของพี่อูนว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่
“ทำไมพี่ต้องรู้ด้วย” พี่อูนพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาแห้ง ๆ รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนไป แววตาที่ไม่มั่นใจของเขาทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ถึงแม้ว่าเขาจะตอบกลับมาแบบขำ ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังปิดบังบางอย่างอยู่
กับพี่อูน แค่รอยยิ้มที่แปลกไปจากเดิมนิดเดียว ผมก็รู้แล้วว่าเขาไม่ปกติ มันอาจจะดูเวอร์ แต่ผมเป็แฟนคลับอันดับหนึ่งของรอยยิ้มเขา รอยยิ้มที่ผมเฝ้ามองมาตลอด พี่อูนเป็คนที่จะใช้รอยยิ้มในการกลบเกลื่อนทุกอย่าง เวลาที่เขาไม่พอใจ หรือเวลาที่เขารู้สึกไม่ดี เขาจะยิ้มกว้างกว่าปกติ หรือเวลาที่เขา้าจะปิดบังอะไรบางอย่าง เขาจะยิ้มออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“มันคงคิดว่าพี่เป็ภารโรงมั้งคะ” ขนุนตอบกลับไปเพียงเท่านั้น
“จริง ๆ แล้วพี่รู้หรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่ฟังทั้งขนุนและพี่อูนคุยกันอยู่นาน ผมจ้องตาเขาจนเหมือนว่าผมกำลังหาเื่ ซึ่งพี่อูนก็พอเดาได้ว่าตอนนี้ผมกำลังจริงจังอยู่
“…” พี่อูนเงียบไป เขาเผลอเม้มปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะโดนสายตาของผมกดดันหรือเปล่า
“พี่รู้หรือเปล่าครับ ว่าใครเป็คนทำ พี่อูน”
“ครับ”
“หมายความว่าไงครับ”
“พี่ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครทำ”
“…”
“แต่พี่พอจะเดาได้ว่าใครทำ”