23.
มันคือสิ่งที่ผมเลือกมาเอง
ไม่มีใครบังคับให้ผมมาเรียนคณะนี้ ถึงแม้หลาย ๆ คนจะบอกว่าผมเหมาะกับการเรียนคณะอื่นมากกว่า แต่เพราะผมมีความชอบเกี่ยวกับเื่นี้ ทำให้ผมตัดสินใจมาเรียนโดยไม่นึกเสียดายคะแนนที่สูงลิ่วของตัวเอง แต่พอได้ลองมาเรียนจริง ๆ แล้ว ผมถึงได้รู้ว่าแค่ความชอบอย่างเดียวมันไม่พอจริง ๆ สุดท้ายแล้วมันก็มีปัจจัยอย่างอื่นที่มาก่อนความชอบด้วยเหมือนกัน
ผมกลับไปนอนคิดทบทวนเื่นี้มาทั้งคืน คิดย้อนกลับไปก็พบแต่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ผมพยายามจะไม่โทษตัวเองแบบที่พี่ปรงบอก มันทำให้ผมเห็นเลยว่าตัวเองผิดพลาดอย่างที่เขาบอกจริง ๆ เพราะผมเอาแต่แก้ปัญหาที่ตัวเอง จนสุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดจากอะไร มันถึงได้ผิดพลาดซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนี้
“มึงเลิกทำหน้าแบบนั้นได้ไหม กูเศร้าตามไปด้วยเลยเนี่ย” เสียงของขนุนพูดขึ้นในระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าตึกคณะไปด้วยกัน วันนี้ผมมาเรียนเช้าพร้อมกับขนุน และยังตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไป
“กูก็ทำหน้าปกติ” ผมตอบกลับไป ถึงจะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ปกติก็ตาม ขนุนมันพยายามจะคะยั้นคะยอให้ผมไปปลูกผักรอบใหม่ โดยมันเสนอตัวว่าจะเป็คนปลูกให้ใหม่ทั้งหมด แต่ผมก็ยังไม่ได้ให้คำตอบกับมันไปเลย
“มึงไม่ต้องเครียด เดี๋ยวรอบนี้มึงย้ายที่ปลูกมาปลูกที่แปลงข้าวโพดกูก็ได้ ตอนนี้ภาคกูเขาเก็บเกี่ยวกันหมดแล้ว” ขนุนพูดพร้อมกับยื่นมือมาบีบไหล่ผมเบา ๆ เป็การให้กำลังใจ
“ไม่เป็ไร ย้ายที่ปลูกไม่น่าได้ว่ะ”
“กูถามจริง ๆ นะ มึงไม่รู้สึกเลยเหรอว่ามันไม่ปกติ ขนาดพี่ปรงที่เขาเพิ่งจะมารู้จักกับมึงไม่นาน เขายังมองออกเลยว่ามันมีคนพยายามจะแกล้งมึง มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าจริง ๆ มึงก็ไม่ได้ฝีมือแย่ขนาดนั้น”
“แล้วใครมันจะทำแบบนั้นวะ”
“พวกอีน้อยหน่าไง!”
“กูกับพวกนั้นเพิ่งมีปัญหากันเมื่อไม่นานนี้เอง แต่กูผักไม่ขึ้นมาั้แ่แรก ๆ แล้ว” ผมตอบกลับไป ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะเป็เพราะพวกนั้นเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอก ผมกับพวกนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนอกจากเื่งานกลุ่ม แล้วเราก็ไม่ได้ยุ่งกันอีกแล้วั้แ่ที่ทำงานกลุ่มเสร็จ ผมเลยไม่คิดว่าพวกนั้นจะมาแกล้งผม
“ครั้งแรก ๆ มันอาจจะไม่ใช่พวกมันทำก็จริงนะ แต่ไม่ได้แปลว่าครั้งหลัง ๆ พวกมันไม่ได้ทำปะ ยิ่งครั้งสุดท้ายยิ่งดูเหมือนฝีมือคนทำมากกว่าฝนตกอะ” ขนุนพูดใส่ผมเสียงดังจนผมรู้สึกว่าตอนนี้ขนุนมันกำลังหงุดหงิดอยู่
“กูพยายามจะไม่โทษใคร เพราะยังไงมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา”
“ถ้าสมมติมีคนแกล้งมึงจริง ๆ แล้วแกล้งแบบนี้ทุกครั้งเลย แปลว่าต่อให้มึงจะปลูกผักอีกกี่ล้านรอบ ต่อให้อาจารย์จะให้โอกาสมึงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายมึงก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้ามึงยังโทษตัวเองอยู่” ขนุนพูดก่อนจะถอนหายใจออกมา
คำพูดของมันก็เหมือนกับที่พี่ปรงเคยพูดกับผมเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดตามนะเวลาที่มีคนมาพูดกับผมแบบนี้ และตอนนี้ผมไม่ได้โทษตัวเองแล้วด้วย ส่วนเื่ที่มีคนแกล้งผมหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามจะคิดแล้วว่าตัวเองเคยไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า ซึ่งกลุ่มเดียวที่ผมเคยมีปัญหาด้วยก็คือกลุ่มของน้อยหน่าเท่านั้น
“เอาเป็ว่ากูจะพยายามละกัน” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น
“เออ แล้วก็กลับไปปลูกใหม่ให้มันเสร็จซะ”
“เฮ้อ ไม่รู้ว่ะ”
“กูไม่อยากให้มึงคิดแบบนั้นจริง ๆ นะ อุตส่าห์ได้มีโอกาสเลือกในสิ่งที่ชอบแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะมีอุปสรรคไปบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็สิ่งที่มึงชอบนะเว้ย มึงอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้ตอนที่มันสำเร็จอะ” ขนุนพูดพร้อมกับจ้องตาผม มันพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังในแบบที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็นจากมันเท่าไหร่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมพยักหน้ารับเบา ๆ
“เออ กูยังไม่ได้ถอดใจซะหน่อย”
“ก็มึงดูไม่กระตือรือร้นนี่หว่า กูกลัวมึงไม่ไปปลูก”
“กูแค่เหนื่อยว่ะ”
“กูเข้าใจ ถ้าให้กูไปปลูกเจ็ดแปดรอบมึง กูก็คงเหนื่อยเหมือนกัน แต่ไหน ๆ มึงก็ปลูกมาถึงขนาดนี้แล้วอะ ปลูกอีกสักรอบมันจะไปอะไรไปวะ สู้สิวะมึง!” ขนุนพูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบจนผมหัวเราะออกมา
“ขอบใจ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ขนุนเป็อีกคนที่มักจะทำให้ผมสบายใจได้ทุกครั้งเวลาที่มีเื่อยู่ในใจ ถึงแม้ว่ามันจะชอบหัวร้อนใส่ผมอยู่บ่อย ๆ แต่ผมก็รู้ว่ามันหวังดีกับผมมากจริง ๆ
ขนุนเดินตามผมมาที่ห้องภาคพืชผักด้วยกัน เพราะมันบอกว่าไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนระหว่างที่เรารอไปเรียนตอนสิบเอ็ดโมงเช้า เมื่อพวกเราเดินเข้ามาในห้องแล้วก็พบกับพี่อูนที่กำลังรื้อของเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มมาให้เป็การทักทาย หลังจากนั้นผมหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาพี่ปรง แต่ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเลย ยกเว้นกระเป๋าของเขาที่วางเอาไว้บนโต๊ะ แปลว่าเขาน่าจะมาถึงที่คณะก่อนผม
“พี่อูนทำอะไรอยู่คะ” ขนุนเดินตรงเข้าไปหาพี่อูนที่ยืนจัดของอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เขาหยิบบรรดาอุปกรณ์ในการปลูกออกมาวางกองรวมกันไว้ที่พื้น มันเหมือนว่าเขากำลังจะทำอะไรสักอย่าง
“พี่กำลังเตรียมของปลูกอยู่น่ะ” พี่อูนตอบกลับมาเพียงเท่านั้น เขาหันมายิ้มทักทายผมอีกรอบ ก่อนจะหันกลับไปรื้อหาของในชั้นเหมือนเดิม ส่วนขนุนก็จับนู้นจับนี่ขึ้นมาเล่นด้วยความสงสัย
“พี่อูนจะปลูกอะไรเหรอคะ”
“พี่ไม่ได้ปลูกหรอก”
“อ้าว”
“ไอ้ปรงมันบอกให้พี่เตรียมไว้ให้ทานตะวันน่ะ เห็นมันบอกว่าทานตะวันจะปลูกใหม่วันนี้” พี่อูนตอบกลับมาก่อนจะหันมามองหน้าผมเล็กน้อย ผมจึงพยักหน้ารับนิดหน่อย เดาเอาไว้อยู่แล้วแหละว่าพี่ปรงจะต้องทำแบบนี้
“แล้วพี่ปรงหายไปไหนอะพี่อูน” ผมถามขึ้นบ้าง
“เห็นว่าไปคุยกับอาจารย์นะ”
“คุยเื่อะไรครับ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ มันไม่ได้บอกพี่ไว้เลย พอมาถึงก็บอกให้พี่เตรียมของสำหรับปลูกไว้ให้เรา ส่วนมันก็เดินหายไปตั้งนานแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงพี่ต้องไปเรียนด้วยเนี่ย” พี่อูนพูดพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดู
“พี่อูนไปเรียนเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเตรียมของเอง”
“ไม่เป็ไร ใกล้เสร็จแล้วแหละ”
“พี่อูนเขาเตรียมให้ขนาดนี้แล้ว เย็นนี้มึงต้องปลูกใหม่แล้วแหละ เดี๋ยวกูมาช่วยด้วย” ขนุนหันมาพูดกับผม หลังจากที่มันพยายามจะหว่านล้อมให้ผมปลูกใหม่มาั้แ่เจอหน้าผม พอเห็นว่าพี่อูนก็เตรียมของไว้ให้ผมพร้อมทั้งหมดแล้ว มันก็เลยถือโอกาสมัดมือชกผมซะเลย ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้พูดสักคำว่าผมจะไม่ปลูกก็ตาม
“เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนนะ ฝากบอกไอ้ปรงด้วยว่าพี่ทำตามที่มันสั่งเสร็จแล้ว” พี่อูนหันมาพูดกับผมหลังจากที่เขาทำงานเสร็จแล้ว เขาเดินอ้อมไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่ใกล้ ๆ กับพี่ปรงก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“เดี๋ยวผมบอกพี่ปรงให้ครับ”
“ตอนเย็นเดี๋ยวพี่มาช่วยปลูกนะ”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ หลังจากนั้นพี่อูนก็เดินออกจากห้องไปทันที ภายในห้องจึงเหลือแค่ผมกับขนุนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ผมหันไปมองบรรดาข้าวของที่พี่อูนเตรียมไว้ให้ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมานิดหน่อย พี่ปรงเขารู้จักผมดีกว่าใครเลย เขารู้วิธีบังคับผมให้ทำตามในสิ่งที่เขา้า โดยที่เขาไม่ต้องลงแรงใด ๆ ทั้งสิ้น และผมเองก็ปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้ด้วย
พอพี่อูนเดินหายออกไปจากห้องได้ไม่ถึงห้านาที หลังจากนั้นก็มีคนเปิดประตูและเดินเข้ามาภายในห้อง ตอนแรกผมก็นึกว่าน่าจะเป็พี่ปรง แต่ไม่ใช่ คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่เดินมาทางผมก่อนจะส่งยิ้มมาให้นิดหน่อย ผมก็เลยส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไปเพราะไม่รู้ว่าผมควรจะทำตัวยังไง แต่คนที่ดูพร้อมจะเอาเื่มากที่สุดก็น่าจะเป็ขนุน
“มึงมาทำไม” ขนุนหันไปพูดกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างไปเล็กน้อย น้อยหน่าหน้าเสียไปเลยที่ถูกทักแบบนั้น ผมจึงยืนมือไปแตะขนุนเบา ๆ เพื่อไม่ให้มันใจร้ายกับคนอื่นไปมากกว่านี้
“พี่ปรงโทรมาบอกว่ามีเื่จะคุยด้วย ให้มารอที่ห้องภาค” น้อยหน่าตอบกลับเพียงเท่านั้น เขาไม่กล้าหันไปมองหน้าขนุนตรง ๆ ก็เลยหันมองหน้าผมแทน ซึ่งผมก็พยักหน้ารับและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“แล้วเพื่อนมึงไปไหนหมดล่ะ” ขนุนยังคงถามต่อ
“วันนี้ไม่มา”
“ดี กูจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดเวลาเห็นหน้าเพื่อนมึง” ขนุนตอบกลับไปอย่างประชดประชัน ก่อนจะหันหลังหนีน้อยหน่าทันที พูดตรง ๆ ผมก็แอบสงสารมันอยู่เหมือนกันที่ต้องกลายเป็คนรับทุกอย่าง ในขณะที่คนทำไม่ดีจริง ๆ ก็ลอยตัวไป
น้อยหน่าเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งภายในห้อง โดยเว้นระยะห่างจากโต๊ะที่ผมกับขนุนนั่งอยู่ไปนิดหน่อย ผมพยายามจะหาอะไรขึ้นมาทำเพื่อไม่ให้ตัวเองสนใจกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่น้อยหน่าก็เอาแต่มองมาทางผมเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง พอผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาด้วย น้อยหน่าก็ดันหันหน้าหนีไปทางอื่น จนสุดท้ายผมต้องเอ่ยถามขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ซึ่งน้อยหน่าก็ดูในิดหน่อยที่เห็นว่าผมรู้ตัว น้อยหน่ามองซ้ายมองขวาอย่างเลิกลั่กเหมือนว่ากำลังหาเื่พูด ก่อนที่จะหันมามองหน้าผมและถามขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ถ้าแกมีอะไรให้เราช่วย แกบอกเราได้เลยนะ”
“หมายถึงอะไรเหรอ”
“เื่ที่แกต้องปลูกผักใหม่อะ ถ้าแกอยากให้เราไปช่วย แกบอกเราได้เลยนะ เราพร้อมจะช่วย” น้อยหน่าตอบกลับมาก่อนจะส่งยิ้มมาผม ซึ่งผมก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะขอให้เขามาช่วยอยู่แล้ว
ขนาดงานกลุ่มเขายังไม่ทำเลย
“ขอบใจนะ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น
“แล้วแกรู้หรือยังว่าทำไมอยู่ดี ๆ สแลนมันถึงได้ปิดไปเอง” น้อยหน่ายังคงถามต่อ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ พี่ปรงก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้านิ่ง ๆ เขาสบตากับผมอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนที่จะหันไปมองทางน้อยหน่า
“มาคนเดียวเหรอ” พี่ปรงเอ่ยถามน้อยหน่า เขาเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะที่น้อยหน่านั่งอยู่ ท่าทางและสีหน้าของเขาในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก ๆ จนผมยังแอบรู้สึกว่าเขาน่าจะมีเื่ที่สำคัญที่จะพูด
“เพื่อนหนูเขาไม่ได้มาเรียนกันวันนี้ค่ะ พี่ปรงมีอะไรหรือเปล่า” น้อยหน่าถามกลับ ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมนั่งอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้ยินบทสนทนาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
“พี่ถามแกตรง ๆ นะ แกไม่ได้แกล้งเพื่อนใช่ไหม” พี่ปรงพูดขึ้นโดยไม่สนใจผมกับขนุนที่นั่งอยู่ตรงนี้เลย น้อยหน่าหน้าเหวอไปเลยหลังจากที่ได้ฟังคำถาม ส่วนผมก็มองทั้งสองคนอย่างตั้งใจ เพราะผมรู้สึกเหมือนว่าเขาจะกำลังพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แสดงว่าพี่ปรงเขาก็คงคิดว่าน้อยหน่าแกล้งผม เหมือนที่ขนุนคิดสินะ
“พี่หมายถึงเื่อะไร หนูไม่เข้าใจ”
“พี่ไปคุยกับอาจารย์มาแล้ว อาจารย์เขาบอกว่าให้ช่างมาซ่อมระบบโรงเรือนแล้ว แต่ช่างบอกว่ามันไม่ได้พัง แต่มีคนแอบมาปิดสแลนกันฝน” พี่ปรงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นกอดอก น้อยหน่าเบิกตาโพลงด้วยความใ ซึ่งผมกับขนุนที่ยืนฟังอยู่ตรงนี้ก็ใไม่แพ้กัน
ที่ขนุนกับพี่ปรงพยายามจะบอกผมมาตลอดว่ามีคนแกล้งผมแน่นอน ผมไม่เคยปักใจเชื่อเลยสักครั้งเดียว พอมารับรู้ด้วยตัวเองแบบนี้แล้วก็แอบรู้สึกว่าตัวเองโง่เหมือนกันที่เอาแต่คิดว่าคงไม่มีใครทำแบบนั้นกับผม
“หนูไม่รู้เื่นี้เลยนะพี่ปรง ผักนี้เก็บเกี่ยวไปั้แ่เดือนแรก ๆ แล้ว หลังจากที่ทำงานกลุ่มเสร็จ หนูกับเพื่อนก็ไม่เคยเข้าไปในฟาร์มเลย หนูไม่ได้เป็คนทำนะคะ” น้อยหน่าตอบกลับมาอย่างลนลาน ผมััได้ถึงความกลัวจากสายตาของน้อยหน่า เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ในขณะที่พี่ปรงก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาที่พร้อมจะเอาเื่สุด ๆ
“แต่เมื่อวานมีคนเห็นแกกับเพื่อนออกจากคณะเป็กลุ่มสุดท้ายนะ”
“หนูกับเพื่อนออกจากคณะเป็คนสุดท้ายก็จริง แต่พวกหนูกับเพื่อนไม่ได้อยู่คณะตลอดนะคะ”
“หมายความว่าไง”
“วันนั้นหนูกับเพื่อนอ่านหนังสือกันอยู่ที่ห้องสมุดั้แ่ตอนเที่ยง แล้วก็เพิ่งกลับมาที่คณะตอนหกโมงเย็นเพื่อมาส่งงาน แต่พวกหนูก็ไม่ได้เดินเข้าไปในฟาร์มเลยค่ะ” น้อยหน่าพยายามอธิบายให้พี่ปรงฟัง แต่พี่ปรงก็ยังคงมองหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่มันพูด จนน้อยหน่าต้องถอนหายใจออกมาและพูดขึ้นมาอีกรอบ “หนูไม่ได้ทำจริง ๆ นะคะ”
“…”
“หนูรู้ว่าหนูกับทานตะวันก็มีเื่ที่ไม่ดีต่อกัน แต่หนูก็ไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลยนะ หนูกลับรู้สึกผิดซะด้วยซ้ำ เพราะหนูก็ยอมรับเลยว่าหนูทำตัวแย่จริง ๆ แล้วพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น มันยิ่งทำให้หนูรู้สึกว่าหนูต้องช่วยอะไรสักอย่าง”
“แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าเพื่อนแกไม่ได้ทำ”
“พวกมันไม่ได้ทำหรอกพี่ วันนั้นหนูก็อยู่กับพวกมันทั้งวัน แล้วอีกอย่างเลยนะ พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตู้ควบคุมระบบโรงเรือนอยู่ตรงไหน” น้อยหน่าพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะหันมาสบตากับผมเหมือน้าจะบอกให้ผมเชื่อในสิ่งที่พูด ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดว่าน้อยหน่าเป็คนทำั้แ่แรกอยู่แล้วแหละ
“พี่จะปล่อยแกกับเพื่อนไปก่อน แต่รู้ใช่ไหมว่าถ้าพี่มีหลักฐานมามัดตัวพวกแก พี่เอาจริงแน่” พี่ปรงพูดกดเสียงต่ำจนทำให้น้อยหน่าหน้าเสียไปเลย แม้แต่ผมที่ยืนอยู่ไกล ๆ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว
“หนูจะช่วยพี่หาหลักฐานเอง เพื่อพิสูจน์ว่าหนูไม่ได้ทำจริง ๆ แล้วก็พิสูจน์ว่าหนูไม่เคยคิดร้ายกับทานตะวันเลย” ประโยคสุดท้ายน้อยหน่าพูดพร้อมกับหันมามองหน้าผม ซึ่งผมก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรกลับไป
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้”
“หนูแค่อยากทำด้วยความหวังดี เหมือนที่ทานตะวันเขาทำดีกับหนูมาตลอด”
พูดตามตรงว่าผมไม่ได้รู้สึกโกรธน้อยหน่ากับเพื่อนั้แ่แรก ผมแค่ไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ตอนนี้งานกลุ่มมันจบลงแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับพวกนั้นอีก แล้วผมก็ไม่ได้อยากให้น้อยหน่าจะต้องมารู้สึกผิดหรือชดใช้อะไรให้ผมแบบนี้ด้วย มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดยังไงก็ไม่รู้ ผมพยายามที่จะไม่ยุ่งกับพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ควรพยายามที่จะไม่ยุ่งกับผมเหมือนกัน
น้อยหน่ากับพี่ปรงไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ น้อยหน่าขอตัวไปเรียนเพราะใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว ผมกับขนุนก็ต้องไปด้วยเหมือนกัน แต่ขนุนก็บังคับให้ผมไปคุยกับพี่ปรงก่อน ส่วนมันจะออกไปรอที่ด้านนอก ตอนนี้ภายในห้องจึงเหลือแค่ผมกับพี่ปรงเท่านั้น ผมรอว่าพี่ปรงเขาจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่า แต่เขาก็เอาแต่เงียบจนสุดท้ายผมต้องเป็คนที่พูดขึ้น
“พี่ปรงไปคุยกับอาจารย์เื่เมื่อวานมาเหรอ” ผมถามขึ้นในขณะที่เขาเดินอ้อมมาเปิดกระเป๋าของเขาเหมือนว่าเขากำลังหาของอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับผมเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงไปหาของในกระเป๋าตัวเองต่อ
“พี่ไปคุยกับอาจารย์เื่งาน แล้วอาจารย์ก็พูดเื่นี้ขึ้นมาพอดี”
“อาจารย์ว่ายังไงบ้างครับ”
“ก็ตามที่น้องได้ยินเลย ระบบมันไม่ได้พัง มันมีคนตั้งใจมาปิดสแลนกันฝน เหมือนที่พี่พยายามจะบอกน้องว่ามีคนไม่หวังดีจริง ๆ แต่น้องก็ไม่เชื่อพี่ไง” พี่ปรงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูประชดประชัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกผิดยังไงไม่รู้
“เื่เมื่อวาน…ผมขอโทษนะที่พูดไปแบบนั้น แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่เชื่อพี่”
“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก พี่ไม่ได้โกรธ”
“เหมือนพี่โกรธ”
“พี่แค่ไม่อยากให้น้องคิดแบบนั้น แล้วก็ไม่อยากให้น้องเอาแต่โทษตัวเอง เคยมีใครบอกไหมว่าเวลาที่น้องเอาแต่มองโลกในแง่ดี และการพยายามที่จะมองคนอื่นในแง่ดีเกินไปมันน่าหงุดหงิดมาก”
“การคิดแบบนั้นมันทำให้ผมสบายใจมากกว่า แต่ผมจะพยายามเปลี่ยนความคิดตัวเองนะครับ” ผมขยับเข้าไปหาเขาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยบอกไป ซึ่งพี่ปรงก็ดูเหมือนจะเริ่มใจอ่อน เขาถอนหายใจออกมานิดหน่อย
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้”
“ต้องดิ ผมไม่อยากให้พี่มาคอยกังวลเื่ผม ผมแคร์ความรู้สึกพี่”
“…”
“เพราะพี่สำคัญกับผมมาก ๆ เลยนะ พี่ปรง”