“ฮ่าฮ่าท่านประมุขพูดถูกแล้วละ มามา เรามาดื่มฉลองให้กับโล่ระดับนิลกาฬที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้าุโหลินกันอีกสักจอกดีกว่า”
ได้ยินอย่างนั้นผู้คนก็ยกจอกเหล้าขึ้นฉลองอีกครั้งอย่างครึกครื้น
แต่คงไม่มีใครรู้หรอกว่าการที่หลินหยางเลือกใช้วิธีนี้ในการสร้างโล่ขึ้นมานั้นเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็เพราะว่า ทักษะด้านการช่างจริงๆ ของเขามันยังอ่อนด้อยเกินไป
ถึงในหัวเขาจะมีสุดยอดเคล็ดวิชาทักษะการช่างที่ะเืฟ้าะเืดินของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วอยู่ก็ตามแต่จริงๆ ตัวเขานั้นไม่มีประสบการณ์ด้านการช่างเลยแม้แต่น้อยทั้งการเลือกวัตถุดิบต่างๆ การสกัด รวมไปถึงการหลอมรวมนั้น เขาไม่สามารถเข้าไปดูจากความทรงจำของหลี่หั่วได้เขาเลยเลือกตัวเลือกที่จะเป็ฝ่ายป้องกันก่อนเพื่อที่จะได้สามารถใช้วิธีแบบนี้สร้างโล่นั่นขึ้นมาเพื่อเอาชนะซ่างกวันเฟยได้
และแน่นอนว่านี่เป็ความลับที่หลินหยางไม่ได้บอกใคร
หลังจากเหตุการณ์นี้ไปฐานะของเขาในตระกูลเวินตอนนี้เป็รองเพียงแค่เวินติ่งเทียนเท่านั้น แต่เขารู้ว่าหลังจากวันนี้ไป ยังมีบททดสอบที่แท้จริงรอคอยตระกูลเวินอยู่...
ภาพที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้านี้เป็เพียงแค่่เวลาแหงความสุขสั้นๆก่อนที่ลมพายุอันดำมืดจะสาดซัดเข้ามาเท่านั้น
กลางดึกคืนเดียวกันนั้นเอง
หลังจากผ่านเหตุการณ์การก่อกวนที่เลี่ยนเทียนเฮ่าไปแล้วสองตระกูลใหญ่ที่เพิ่งเสียเชิงให้ตระกูลเวินไปรีบจัดประชุมหารืออย่างเร่งด่วนทันที
ภายในห้องประชุม ณคฤหาสน์ตระกูลเฉิน
เฉินเย่เซิงและโอวหยางกงนั่งหันหน้าเข้าหากันทั้งสองถือถ้วยชาหอมเอาไว้ในมือ ค่อยๆ จิบชากันโดยที่ไม่มีใครเอ่ยคำพูดอะไรออกมา
และอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันก็คือคนที่เกือบจะได้เสียแขนไปแล้วอย่างซ่างกวันเฟยนั่นเองนักการช่างหนุ่มมากพร์ผู้นี้ตอนนี้กำลังมีสีหน้าที่ดำคร่ำเครียดราวกับว่าจะมีหมึกดำถูกกลั่นออกมาจากหน้าของเขาแล้วและก็แน่นอนว่าเื่ที่ทำให้เขาโมโหจนยากจะสงบใจได้ขนาดนี้ก็คือความพ่ายแพ้ของเขาเมื่อเช้านี้นี่เอง
บรรยากาศภายในห้องนั้นมันหนักอึ้งเหลือคณาเฉินเย่เซิงถือถ้วยชาขึ้นมาบังดวงตาที่มีแววตาอันแสนมืดหม่นและเ็ามุมปากเขามีรายยิ้มบางๆ ที่ดูเย็นะเื คล้ายกับงูเห่าที่เต็มไปด้วยพิษร้ายที่กำลังคิดหาวิธีว่าจะใช้เขี้ยวพิษของมันกัดขย้ำใส่เวินติ่งเทียนอย่างไรดี
ฝั่งตรงข้ามกันนั้น
โอวหยางกงที่เห็นท่าทางแบบนั้นของเฉินเย่เซิงแล้วเขาวางถ้วยชาลง แล้วยกมือทำท่าคำนับ “พี่น้องเฉินเพิ่งเสียท่ามาไม่นานแต่กลับยังสามารถใจเย็นอยู่ได้ขนาดนี้ข้าน้อยรู้สึกนับถือท่านจากใจจริง”
“ฮ่ะฮ่ะพี่น้องโอวหยางเกรงใจไปแล้ว ท่านเองก็เพิ่งโดนพวกมันไล่ออกมาขนาดนั้นแต่ตอนนี้ท่านก็ยังมานั่งดื่มชาแบบสบายๆ กับข้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ?”
“หึหึ”
แววตาอันแสนเ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกของทั้งสองสบตากันพลางแสยะยิ้มอย่างเ็า
ด้วยระดับความเ้าเล่ห์เพทุบายของเฉินเย่เซิงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะผู้ที่ถูกจับเป็ตัวประกันอย่างซ่างกวันเฟยนั้นเป็บุคคลสำคัญที่ต้องดูแลเป็อย่างดีแล้วมีหรือที่เขาจะถูกเด็กตัวน้อยๆ คนหนึ่งปั่นหัวแบบนี้ได้!!
ส่วนโอวหยางกงในวันนี้นั้นนับว่าเขาเสียเชิงไปจริงๆ แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเขาแล้วอะไรที่เสียไปเขาจะต้องทวงมันคืนกลับมาให้มากกว่าเดิมเป็ร้อยเป็พันเท่า!
เวินติ่งเทียน เ้าเป็คนเริ่มเองนะ!
โอวหยางกงเริ่มเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า“พี่น้องเฉิน ไม่ทราบว่าท่านวางแผนจะจัดการพวกตระกูลเวินและเ้าเด็กน้อยหลินอี้นั่นอย่างไรหรือ?”
โอวหยางกงผู้ทรงเกียรติคนนี้ถูกพวกตระกูลเวินขับไล่ออกจากคฤหาสน์แล้วไม่พอ ยังถูกล้อเลียนว่าเ้าอ้วนโอวหยางต่อหน้าคนจำนวนมากอีกเขาจะไม่ยอมทนถูกกลั่นแกล้งอยู่เฉยๆ แน่ แค่คิดถึงหน้าของเวินติ่งเทียนและเ้าหนูหลินอี้นั่นแล้วฟันกรามเขาก็รู้สึกปวดตุ๊บๆ ขึ้นมา
เฉินเย่เซิงตอบกลับว่า “ฟังจากที่พี่น้องโอวหยางว่าไว้เื่ที่ท่านถูกพวกตระกูลเวินรังแก เ้าหลินอี้นี่ก็เกี่ยวข้องด้วยสินะ...ดูท่าทางแล้ว เ้าหลินอี้ที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้นี่ น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับพวกตระกูลเวินเอาไว้ไม่น้อยเลย...”
โอวหยางกงหนังตากระตุกเขาพอจะสามารถคาดเดาความหมายของเฉินเย่เซิงได้แล้ว “พี่น้องเฉินหรือว่าท่านจะ...”
เขาทำท่าทางเหมือนกำลังเอามีดตัดคอ
เฉินเย่เซิงแสยะยิ้มอย่างเ็า“แต่เดิมแล้วพวกตระกูลเวินควรจะหมดสิ้นหนทางรอดไปแล้ว กิจการของเลี่ยนเทียนเฮ่าของพวกมันไม่ว่าจะกิจการการผลิตหินแร่หรือจะพวกร้านค้าสาขาย่อยของพวกมันข้าก็เริ่มเข้าไปแทรกแซงพวกมันแล้ว ขอแค่รอให้ผ่านเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาไปหลังจากที่คุณชายซ่างกวันสามารถโค่นพวกนักการช่างของเลี่ยนเทียนเฮ่าได้หมดแล้วก็สามารถเข้ายึดตลาดงานช่างได้ทั้งหมดทันที... แต่ตอนนี้พวกมันได้หลินอี้มาเพิ่มเป็พวกแค่คนเดียวก็สามารถสร้างปัญหาได้ขนาดนี้ถ้าไม่กำจัดเ้านั่นั้แ่เนิ่นๆ ละก็ ข้าก็คงยากที่จะสงบใจได้แล้วละ...”
พอกล่าวจบเขาก็หันไปหาซ่างกวันเฟยที่นั่งทำหน้าเ็าอยู่ข้างๆโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วจึงกล่าวต่อว่า “เื่นี้เกรงว่าต้องขอให้คุณชายซ่างกวันช่วยเหลือด้วยแล้วละ ด้วยพลังขององครักษ์ทั้งสี่คนของท่านนั่นรวมกับเหล่ายอดฝีมือระดับเซียนเทียนของพวกเราตระกูลเฉินแล้วต่อให้พวกตระกูลเวินมันจะส่งยอดฝีมือทั้งหมดของมันมา ก็ไม่อาจปกป้องชีวิตของไอ้หลินอี้นั่นได้แน่!”
ซ่างกวันเฟยไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเหมือนกับว่าเขาจะยังเก็บกดอยู่กับความพ่ายแพ้ในการประลองยุทธภัณฑ์อยู่
เฉินเย้เซิงรู้ว่าคุณชายท่านนี้คงจะยังอยากแก้มือในการประลองยุทธภัณฑ์กับไอ้หลินอี้นั่นอยู่จึงพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “คุณชายซ่างกวัน พวกเราต้องให้ความสำคัญกับงานใหญ่ก่อนหลังจากจบงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาแล้วพวกเราก็จะรีบจัดการฆ่าล้างบางพวกตระกูลเวินทิ้งให้หมดเสีย พอถึงเวลานั้นแล้วครึ่งหนึ่งของตลาดงานช่างของทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นก็จะตกเป็ของครอบครัวตระกูลซ่างกวันท่านแล้วซึ่งมันสำคัญกว่าการแพ้ชนะนั่นเยอะ...”
“หึ!!” ในที่สุดซ่างกวันเฟยก็พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาทีหนึ่งแล้วหันตัวเดินออกไปนอกห้องในตอนที่กำลังจะเดินพ้นออกจากห้องแล้วก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าอยากให้ไอ้หลินอี้นั่นต้องตายแบบทรมานที่สุด!!”
เฉินเย่เซิงแสยะยิ้มออกมา“ตามที่ท่านปรารถนา”
คำพูดเพียงสี่คำแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและความมุ่งร้ายอันเปี่ยมล้น
หลังจากซ่างกวันเฟยจากไปแล้วโอวหยางกงเองก็แสยะยิ้มเยือกเย็นตามขึ้นมาทันที “ในเมื่อพี่น้องเฉินมีแผนอยู่ในใจแล้วถ้าอย่างนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากท่านแล้วกัน วันนี้ข้าคงไม่รบกวนท่านแล้ว ลาก่อน”
เฉินเย่เซิงเดินไปส่งโอวหยางกงออกจากคฤหาสน์แล้วจึงเดินกลับมาที่ห้องประชุมอีกครั้ง ภายในห้องมีเงาร่างที่ดูลึกลับราวกับภูตผีที่ยืนรออยู่ในนั้นมานานแล้ว
รูปร่างของคนๆ นี้มีลักษณะผอมแห้งหน้าตาดูซื่อสัตย์ใจดี ถ้าคนนอกมาเห็นเขายืนอยู่กับเฉินเย่เซิงแล้วคงจะมองว่าพวกเขาเป็นายบ่าวที่ดูสง่าและทรงภูมิเพียงแต่ในลูกตาสีดำสนิทคู่นั้นของเขาตอนนี้มันกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันป่าเถื่อน
เขาก็คือหัวหน้าผู้ดูแลคฤหาสน์ตระกูลเฉินในขณะเดียวกันก็เป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นกลาง ผู้ครองตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลเฉินเฉินผิง
เฉินผิงเข้าไปต้อนรับเฉินเย่เซิงที่กำลังเดินกลับเข้ามาในขณะเดียวกันก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นายท่านขอรับเวินติ่งเทียนมันสนิทชิดเชื้อกับพวกทหารในราชสำนักเป็อย่างมากเกรงว่าเราคงจะไม่สามารถจัดการมันในเมืองอวิ๋นเฉิงได้...”
เฉินเย่เซิงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ดื่มชาหอมที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าไปอีกคำหลังจากนั่งคิดไปพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ส่งข้อความไปหาเฉินเฉาเกอให้มันหาทางขอความช่วยเหลือจากฝ่ายที่ดูแลกิจการภายในอีกครั้ง ให้เขาช่วยล่อหลินอี้นี่ออกจากเมืองเสียส่วนเื่หลังจากนั้นก็ฝากเ้าจัดการต่อด้วย...”
“ขอรับข้าน้อยจะต้องไม่ปล่อยให้มันได้ตายดีแน่!” เงาร่างนั้นผงกหัวรับ ราวกับว่าเห็นหลินอี้เป็เพียงแค่ศพเดินได้เท่านั้น
บนโลกนี้มักจะมีเื่บังเอิญเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกันก่อนหน้านี้ เฉินผิงเพิ่งจะสังหารหลินหยางแล้วจุดไฟเผาศพทิ้งเพื่อปิดปากไปไม่นานนี้เองใครจะคิดว่าผ่านไปแค่ไม่กี่วัน เฉินผิงผู้นี้ก็ถูกเฉินเย่เซิงสั่งให้ไปสังหารหลินหยางทิ้งอีกครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้หลินหยางจะสามารถรอดพ้นจากเขี้ยวเล็บของพ่อบ้านเฉินได้หรือไม่!
และหลังจากที่เหตุการณ์การก่อกวนที่เลี่ยนเทียนเฮ่าจบลงตระกูลเวินและหลินอี้ก็ตกเป็หัวข้อหลักในการสนทนาของประชาชนเมืองอวิ๋นเฉิงในทันที
และด้วยเหตุการณ์นี้เองทำให้ตระกูลเวินราวกับก้าวขึ้นเป็ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองนี้อย่างไรอย่างนั้นไม่ว่าจะคนของตระกูลเฉินหรือตระกูลโอวหยางเวลาที่พวกเขาพบเจอกับตระกูลเวินก็เหมือนกับว่าจะมีความรู้สึกยำเกรงจนต้องถอยหนี บรรยากาศภายในเมืองอวิ๋นเฉิงเองก็ดูจะกลับสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งทั้งหลินหยางและเวินติ่งเทียนต่างก็รู้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ตระกูลเวินคงจะถูกทั้งสองตระกูลใหญ่ที่เหลือร่วมมือกันเพื่อล้างแค้นแน่ แต่คนอย่างเวินติ่งเทียนมีหรือที่จะยอมปล่อยให้ศัตรูมาทำร้ายได้ง่ายๆและด้วยเคล็ดลับและเทคนิคด้านการช่างสุดอัศจรรย์ที่หลินหยางมอบให้มันก็มากพอที่จะใช้โต้ตอบทุกการกระทำที่ประสงค์ร้ายของศัตรูได้แล้ว
ส่วนหลินหยางเองก็กำลังจะเริ่มเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในบ้านพักที่เวินติ่งเทียนจัดเตรียมเอาไว้ให้
การเก็บตัวครั้งนี้หลินหยางคิดไว้ว่าน่าจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งหรืออย่างมากสุดสามเดือนและก่อนเริ่มการเก็บตัวนั้น หลินหยางได้ขอให้เวินติ่งเทียนช่วยจัดหาของให้ตามที่เขียนเอาไว้ในใบรายชื่อที่เขาเขียนขึ้นซึ่งใบรายชื่อที่ว่านั้นแม้แต่คนระดับเวินติ่งเทียนเห็นแล้วยังหนาว
เริ่มจาก ผลึกิญญาหนึ่งพันชั่ง...
ศิลาเมฆดวงดารา สองพันชั่ง...
โลหะเหมันต์ ห้าร้อยชั่ง...
เหล็กนิลจากฟากฟ้าหนึ่งหมื่นชั่ง...
เป็ต้น
วัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็วัตถุดิบระดับสามที่เอาไว้ใช้สร้างอาวุธิญญาโดยเฉพาะปริมาณของวัตถุดิบแต่ละอย่างล้วนมีจำนวนมหาศาลจนน่าใจหาย โดยเฉพาะเหล็กนิลจากฟากฟ้านั่นขนาดจะเท่ากับูเาลูกเล็กๆลูกหนึ่งอยู่แล้ว มูลค่าน่าจะสูงกว่าหนึ่งล้าน
แต่เวินติ่งเทียนพอดูใบรายชื่อนั้นเสร็จแล้วก็โบกมือเรียกลูกน้องให้จัดหามาให้ทันทีในเวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็สามารถจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดให้หลินหยางได้แล้วซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดนั้นล้วนถูกเก็บรวมเอาไว้ในแหวนพระสุเมรุหนึ่งวงโดยเขาเป็คนที่มอบให้กับหลินหยางด้วยมือตัวเอง
เวินติ่งเทียนไม่ได้ถามคำถามอะไรเลยสักคำหลินหยางเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟังเลยเช่นกัน
หลักจากที่ทั้งสองคนร่วมมือกันเล่นงานเฉินเย่เซิงในวันนั้นแล้วความเชื่อใจระหว่างทั้งสองก็ดูจะเพิ่มมากขึ้นเป็พิเศษซึ่งมันสร้างความสะดวกสบายให้กับหลินหยางเป็อย่างมาก
หลังจากที่ได้ของที่้าแล้วหลินหยางก็เริ่มเก็บตัวอยู่ในห้องงานช่างภายในบ้านพักของเขาทันที
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกแค่กะพริบตาก็ผ่านมาแล้วครึ่งเดือน
่เช้าของวันหนึ่งหลินหยางค่อยๆ ลืมตาขึ้นภายในห้องงานช่าง
ภายในเตาหลอมที่อยู่รอบๆตัวเขามีไฟเพลิงิญญาสีแดงเข้มกำลังลุกโชนอยู่มันคือเพลิงิญญาระดับสามที่ตระกูลเวินไปเอามาจาก ‘หุบเขาเพลิงอนันต์’ ที่อยู่บริเวณใต้สุดของอาณาจักรเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้นมีอุณหภูมิที่สูงถึงสามพันกว่าองศาเป็เพลิงิญญาที่มีคุณภาพสูงที่สุดของอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นนี้แล้ว
่ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้หลินหยางราวกับว่าเป็เพื่อนสนิทกับเพลิงิญญาไปแล้วเข้าฝึกปรืออยู่กับมันอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะสามารถยกระดับขอบเขตด้านวรยุทธ์ของตัวเองให้ก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่งได้
หลินหยางยกตัวลุกขึ้นยืนแล้วจึงดับเพลิงิญญาที่กำลังลุกโชนอยู่ในเตาหลอมทิ้งในขณะเดียวกันก็ยกหมัดขึ้นมาเพื่อวัดระดับพลังของตัวเอง จากนั้นมุกปากของเขาก็ยกขึ้นเป็รอยยิ้ม“เพลิงิญญาระดับสามนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วยพละกำลังของกายเนื้อตอนนี้อยู่ที่ประมาณหนึ่งพันห้าร้อยชั่งแล้ว!!”
ก่อนที่หลินหยางจะเริ่มเก็บตัวฝึกวิชานั้นระดับพลังของเขาอยู่ที่ชุ่ยถี่ขั้นกลางเท่านั้นเองพละกำลังของกายเนื้ออยู่ที่เจ็ดร้อยชั่งแต่ตอนนี้ระดับพลังของเขาก้าวไปสู่ระดับชุ่ยถี่ขั้นท้ายเรียบร้อยแล้วในเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น
และนั่นเป็ผลมาจากเพลิงิญญาระดับสามนั่นเองปริมาณของพลังธาตุไฟที่แฝงอยู่ในนั้นมีมากกว่ายาเพลิงเมฆาหลายเท่า ซึ่งมันถือเป็อาหารเสริมชั้นยอดที่หอมหวานมากที่สุดสำหรับหลินหยางที่มีร่างสถิตภูตอัคคีอยู่มันทำให้ระดับพลังของหลินหยางนั้นพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วได้ขนาดนี้
“ฝึกอีกแค่ไม่กี่วันพละกำลังของเราก็จะสูงถึงสองพันช่างและก้าวเข้าสู่ระดับชุ่ยถี่ขั้นสูงสุดและเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว แค่ใช้วิชาพลังเทพอัคคีที่ตอนนี้ฝึกถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้วข้าก็จะสามารถััรับรู้ถึงพลังฟ้าดินได้ ทะลวงชีพจรแล้วพุ่งทะยานเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ได้ในครั้งเดียว”
หลินหยางวาดภาพกำหนดการของตัวเองเอาไว้ในหัวได้อย่างชัดเจน
เส้นทางการฝึกฝนวิชาของเขายังไม่สามารถหยุดอยู่แค่นี้ได้เพราะว่าตรงหน้าเขายังมีเ้าเฉินเฉาเกอนั่นยืนขวางเอาไว้อยู่
เ้าหมอนั่นที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีภายในวังหลวงของอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นนี่ไม่รู้ว่าระดับพลังของมันตอนนี้ก้าวหน้าไปถึงระดับไหนแล้วหากหลินหยางคิดที่จะลากมันลงมาอยู่แทบเท้าของเขาแล้วละก็เขาจำเป็ที่จะต้องเพิ่มพลังให้สูงมากกว่านี้อีก
และแผนการล้างแค้นของหลินหยางนั้นไม่มีทางเป็แบบในนิทานวังหลังสุดน้ำเน่านั่นแน่ๆ เขาไม่คิดที่จะไปพบหน้ากับองค์จักรพรรดิหลินเฮายวนแล้วพูดประโยคน้ำเน่าอย่าง เสด็จพ่อ ท่านยังจำหน้าลูกชายของท่านได้อยู่หรือไม่อะไรทำนองนี้เด็ดขาด
เขาที่ได้รับสืบทอดความทรงจำมาจากจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วแล้วนั้นถ้าหากพูดกันตรงๆ แล้วละก็ อาณาจักรเล็กๆ อย่างอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาั้แ่แรกแล้ว
ส่วนเื่บุญคุณความแค้นครั้งนี้เขาจะใช้วิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาบดขยี้เ้าพ่อลูกตระกูลเฉินนั่นให้ราบคาบเลย
ดังนั้น ใน่นี้สิ่งที่หลินหยางทำจึงมีเพียงแค่การฝึกฝนและการสร้างของสิ่งหนึ่ง
แค่ของสิ่งเดียวเท่านั้นก็มากพอที่จะสามารถทำให้เขาและตระกูลเวินทรงพลังมากขึ้นอย่างหาที่เปรียบมิได้
ขอแค่มีสมบัติชิ้นนี้เขาก็มีเครื่องรับประกันที่แข็งแกร่งและมั่นคงในแผนการแก้แค้นของเขาแล้วหรือมันอาจจะถึงขั้นช่วยให้ตระกูลเวินแข็งแกร่งจนสามารถผงาดขึ้นมามีระดับเทียบเท่ากับพวกราชสำนักของอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นเลยก็เป็ได้
หลินหยางค่อยๆ เลื่อนสายตาไปที่แท่นตีอาวุธที่มีถุงมือที่เขาทำเอาไว้จนเริ่มเป็รูปเป็ร่างแล้ววางอยู่บนนั้น