ถุงมือข้างนี้มีขนาดยาวประมาณ40 เิเ ใส่ครอบคลุมั้แ่บริเวณข้อศอกไปจนถึงฝ่ามือ เป็ถุงมือสีดำที่มีน้ำหนักมากพื้นผิวมันดูเรียบเนียน เวลาััโดยตรงก็จะรู้สึกเย็นะเืราวก้อนน้ำแข็งโดยตัวถุงมือมันกำลังเปล่งประกายแวววับอยู่ภายในห้องการช่างที่มืดสนิท
บนตัวถุงมือถูกสลักไว้ด้วยสัญลักษณ์อักขระโบราณโดยท่อนบนของถุงมือนั้นถูกสลักเป็ลายยาวไปถึงบริเวณข้อศอกแล้วแตกออกราวกับว่ามันจะยังสามารถเชื่อมต่อไปยังส่วนอื่นได้ส่วนท่อนปลายหรือบริเวณฝ่ามือนั้น จะถูกสลักรวมไว้ตรงหลังมือโดยอักขระเหล่านี้ล้อมอยู่โดยรอบของผลึกิญญาต้นกำเนิดเม็ดหนึ่งที่มีขนาดประมาณห้าเิเ
และเมื่อมันมีผลึกิญญาต้นกำเนิดเป็ส่วนประกอบแล้วนั่นก็หมายความว่าถุงมือชิ้นนี้อย่างต่ำที่สุดก็ต้องเป็ยุทธภัณฑ์ระดับิญญาซึ่งสิ่งนี้ก็คือผลของความพยายาม่ครึ่งเดือนมานี้ของหลินหยาง
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นหลินหยางได้ฝึกฝนความสามารถจากนักการช่างอ่อนหัดไร้ประสบการณ์จนเติบโตกลายเป็นักการช่างที่สามารถทำงานด้วยตัวเองคนเดียวได้แล้วซึ่งความเร็วระดับนี้ถือว่ามหัศจรรย์มากๆ สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับหลินหยางที่ได้รับสืบทอดความทรงจำของจักรพรรดิฟ้าท่านนั้นมาแล้วนี่ก็เหมือนเป็เพียงแค่การดึงความสามารถเก่าออกมาใช้ให้เคยชินเท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าใน่ขั้นตอนแรกๆของการสร้างถุงมือชิ้นนี้นั้น หลินหยางอาจจะยังจำเป็ต้องใช้เวลามากถึงหนึ่งเดือนในการผ่านมันมาแต่ความเร็วหลังจากนี้จะมีแต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่เกินสามเดือนสุดยอดอาวุธระดับิญญาที่สามารถสั่นะเืไปทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นชิ้นนี้ก็จะได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน
แต่ในจังหวะที่หลินหยางกำลังจะเริ่มสร้างอาวุธชิ้นนี้ต่อนั้นก็ได้ยินเสียงะโเรียกที่ดังมาจากด้านนอกของพ่อบ้านตระกูลเวินอย่างเวินชงดังขึ้น
“ผู้าุโหลินผู้าุโหลิน?”
“มีอะไรหรือ?”หลินหยางขมวดคิ้วสงสัย
“ท่านประมุขใช้ให้ข้ามาเชิญท่านไปพบที่ห้องคว้าเมฆาหน่อยนายท่านมีเื่จะปรึกษาด้วยขอรับ”
หืม?
หลินหยางแอบแปลกใจเล็กน้อย
เวินติ่งเทียนน่าจะรู้ว่าตัวเขากำลังเก็บตัวฝึกวิชาอยู่เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วแต่ก็ยังมารบกวนอีกแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็เื่ที่สำคัญมากๆแน่
หลินหยางจึงพยักหน้าตอบกลับไปว่า“ท่านพ่อบ้านเวินโปรดไปแจ้งท่านประมุขให้หน่อยว่าหลินอี้จะรีบตามไปทีหลัง”
ได้ยินดังนั้นแล้วเวินชงก็ขอตัวกลับไปส่วนหลินหยางก็เก็บของทั้งหมดในห้องการช่างแห่งนี้ลงในแหวนพระสุเมรุ เขาไม่อยากให้ใครรู้เื่ของอาวุธที่กำลังสร้างอยู่จนกว่ามันจะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
หลังจากที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วหลินหยางก็เดินออกจากห้องการช่างของเขา แล้วมุ่งหน้าสู้ห้องคว้าเมฆา
ครึ่งชั่วยามต่อมา
กองทัพเล็กๆ ทั้งหมดหนึ่งร้อยคนก็พากันเดินออกจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเวินด้วยท่าทางแข็งแรงและหนักแน่นโดยมุ่งหน้าไปยังทางออกไปนอกเมืองอวิ๋นเฉิงแห่งนี้
โดยกองทัพเหล่านี้ล้วนเป็เหล่านักรบที่เวินติ่งเทียนเลือกมาแต่ละคนล้วนดูสง่าผ่าเผยและยังมีสี่ที่ปรึกษาผู้าุโยืนคุมรถม้าอันหรูหราสวยงามที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของกองทัพนี้
ภายในรถม้านั้นมีเพียงเวินติ่งเทียนและหลินหยางนั่งกันอยู่สองคนเท่านั้น
โดยทั้งสองกำลังสนทนากันด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบกันโดยหลินหยางกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเป็อย่างที่ท่านประมุขว่าไว้ละก็ การเดินทางครั้งนี้คงจะไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงแล้ว”
เวินติ่งเทียนยิ้มตอบ “ฮ่าฮ่า หลินอี้เ้าอายุยังน้อย แต่กลับขี้ระแวงกว่าตาเฒ่าอย่างข้าเยอะเลยนะ”
หลังจากเหตุการณ์การก่อกวนครั้งนั้นผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างเวินติ่งเทียนกับหลินหยางก็เริ่มสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้นเรื่อยๆใน่ครึ่งเดือนมานี้จนเดี๋ยวนี้เวินติ่งเทียนไม่ได้เรียกหลินหยางว่าผู้าุโหลินแล้ว
หลินหยางยิ้มขึ้น “เ้าเฉินเย่เซิงนั่นมันพิษเยอะยิ่งกว่าอสรพิษเสียอีกอีกทั้ง่นี้ก็มีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นด้วย อย่างไรก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน”
เวินติ่งเทียนผงกหัวเข้าใจ“วางใจเถอะ ครั้งนี้พวกเราถูกเชิญให้ไปพบกับฝ่ายดูแลกิจการภายในของราชสำนักและท่านแม่ทัพตู้แห่งกองกำลังพิทักษ์เมืองประจำเมืองอวิ๋นเฉิงซึ่งแม่ทัพตู้ผู้นี้เป็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของข้าเอง รับรองว่าไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอนข้าได้ยินมาว่า เพราะแม่ทัพู้ผู้นี้บังเอิญไปได้ยินเื่เล่าเกี่ยวกับ ‘โล่เหล็กอักขระเมฆ’ ที่เ้าสร้างขึ้นในงานประลองเลยรู้สึกอยากเจอนักการช่างอย่างเ้าดูสักครั้ง แล้วก็อยากจะถือโอกาสสั่งซื้อของตระกูลเวินของเราด้วยเลย!”
หลินหยางพยักหน้าตอบรับ
โล่เหล็กอักขระเมฆนั้นถือเป็โล่ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดายุทธภัณฑ์ระดับนิลกาฬไม่แปลกที่พวกทหารจะรู้สึกสนใจอยากได้มัน ซึ่งมันจะกลายเป็อีกหนึ่งแหล่งรายได้ขนาดมหาศาลของตระกูลเวินแน่นอนนี่เป็เื่ที่อยู่ในการคาดการณ์ของหลินหยางอยู่แล้วเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากขึ้นอีก
และในตอนนั้นเองด้านนอกก็มีเสียงของม้าที่กำลังวิ่งตะบึงดังขึ้นหลังจากนั้นก็มีเสียงพูดอันไพเราะปานเสียงร้องของนกขมิ้นตัวน้อยดังขึ้นจากด้านนอกนั้น
“ท่านพ่อหลินอี้ พวกเ้าออกไปเที่ยวเล่นกันแต่กลับไม่พาข้าไปด้วยได้อย่างไร!!”
เสียงพูดนี้เป็เสียงที่ทั้งสองคนต่างก็คุ้นเคยกันเป็อย่างดีนอกจากเวินชิงชิงก็คงไม่มีใครอื่นที่มีเสียงหวานขนาดนี้อีกแล้ว
คุณหนูผู้ที่เวลาปกติต้องอุดอู้อยู่แต่ในคฤหาสน์อย่างเดียวจนแทบจะป่วยเพราะอาการเบื่ออย่างนางไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นแบบนี้แน่
หลินหยางได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้นจากด้านข้างหลังจากนั้นผ้าม่านที่กำลังปิดอยู่ข้างๆ เขาก็ถูกเลิกขึ้นจากด้านนอกโผล่ให้เห็นใบหน้าอันสดใสงดงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสาวน้อยวัยแรกแย้มของเวินชิงชิง
เวินชิงชิงวันนี้ม้วนผมขึ้นมามัดไว้ดูสง่างามเป็อย่างมาก โดยเฉพาะดวงตากลมโตคู่สวยที่กำลังส่งสายตาตำหนิออกมานั้นทำให้ผู้ที่ถูกนางจ้องมองอยู่ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของนางได้เลย
“เข้ามาข้างในเถอะ...”
เวินติ่งเทียนวันนี้อารมณ์ดีเป็พิเศษเลยไม่ได้พูดอะไรมากมาย ยอมให้บุตรสาวอย่างเวินชิงชิงเข้ามาในรถม้าอย่างง่ายดาย
เวินชิงชิงเองพอเข้ามาข้างในแล้วก็ถลึงตาจ้องมองไปที่หลินหยางอย่างเคืองๆ ทันที แล้วแสดงความไม่พอใจออกมาโดยการกระแทกก้นลงนั่งข้างหลินหยางอย่างแรง
เอ่อ...
หลินหยางรู้สึกขำขันในใจพ่อเ้าต่างหากที่ไม่ยอมพาเ้ามา จะจ้องหน้าข้าไปเพื่ออะไร?
แต่หลินหยางยังรู้สึกตลกได้ไม่ถึงสองวิก็ยิ้มไม่ออกทันที เมื่อเวินติ่งเทียนอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“สงสัยเมื่อเช้าคงจะรีบออกจากบ้านมากเกินไปหน่อยเลยรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ใครก็ได้ ไปจูงม้า ‘วูหลิน’ ของข้ามาหน่อยสิ”
พอพูดเสร็จเวินติ่งเทียนก็หันมาส่งสายตาให้หลินหยางราวกับจะบอกว่าตรงนี้ข้าปล่อยให้เ้าจัดการนะ เสร็จแล้วก็หันไปพูดกับเวินชิงชิงต่อ
“ชิงชิงเ้าห้ามเสียมารยาทกับผู้าุโหลิน!”
พอกล่าวจบก็ลงจากรถม้าไปทันที
หลินหยางรู้สึกเซ็งทันที
เ้านี่มันเป็พ่อของเวินชิงชิงจริงหรือเปล่า?
ทำไมเมื่อกี้มันถึงส่งสายตาแบบที่ผู้ชายถึงจะเข้าใจได้มาให้เล่า?
ห้ามเสียมารยาทกับผู้าุโหลินอะไรกัน?
ทำไมถึงรู้สึกว่าคำพูดของเ้านั่นอยากให้เวินชิงชิงล่วงเกินเขามากกว่า?
พอมองไปที่เวินชิงชิงก็เห็นนางที่อยู่ในบรรยากาศอันน่าเขินอายแบบนี้แต่กลับมีอาการแค่ใบหน้าขึ้นสีเป็สีแดงจางๆ เล็กน้อยเท่านั้นสมกับที่เป็คุณหนูที่ออกสังคมเป็ประจำอย่างนาง แต่สายตากลมโตคู่นั้นของนางกลับจ้องมาที่หลินหยางราวกับว่าไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวใดๆอยู่ทั้งสิ้น
“มองอะไรของเ้าก็บอกแล้วอย่างไรว่าจะไม่ทำอะไรเสียมารยาท ข้าไม่จับเ้ากินหรอก...”
หลินหยางยิ้มแห้งๆ ออกมา
เขาพอจะเดาใจของเวินติ่งเทียนออกแล้ว
เข้าใจผิดแล้วละแม่นางชิงชิงข้าเกรงว่า พ่อของเ้าอยากให้เ้าจับข้ากินมากกว่านะ...
..................................
ฐานทัพของแม่ทัพตู้แห่งกองกำลังพิทักษ์เมืองนั้นตั้งอยู่บริเวณตีนเขาของเทือกเขาเมฆมรกตอยู่ห่างจากเมืองอวิ๋นเฉิงไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วยามก็ถึง
เหล่าคนของตระกูลเวินต่างก็ยืดคอมองไปที่รถใหม่ขนาดใหญ่ที่พวกเขาเป็คนคุ้มกันอยู่มีคนไม่น้อยพยายามเงี่ยหูฟังโดยหวังว่าจะได้ยินเสียงอันชวนฝันจากในรถม้านั่น
แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงฐานทัพของแม่ทัพตู้แล้ว ก็ได้ยินเสียงหาวนอนอันี้เีของเวินชิงชิงดังมาจากในรถม้า
“หาววข้าหลับไปตอนไหนกัน?”
ชิ...
ทุกคนต่างก็ทำหน้าผิดหวังที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในรถม้าเลยรวมถึงเวินติ่งเทียนด้วย
ไม่มีใครเห็นหลินหยางแอบยิ้มเยาะอยู่ในรถม้าสักคน
เขามีสารพัดวิธีที่จะทำให้เวินชิงชิงนอนหลับไปโดยไม่รู้ตัว
และ่นี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเื่ความรักหวานแหววระหว่างหนุ่มสาวด้วย
ณ ประตูของฐานทัพ
มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้วซึ่งก็คือเหล่าทหารของแม่ทัพตู้นั่นเอง
พอหนึ่งในนั้นมองเห็นกลุ่มของเวินติ่งเทียนแล้วก็รีบเดินมาต้อนรับทันทีเขาทำท่าเคารพแบบทหารให้กับเวินติ่งเทียน แล้วจึงส่งเสียงพูดอย่างหนักแน่นว่า “ท่านประมุขเวินแม่ทัพตู้และท่านหวังกำลังรอพวกท่านอยู่ในห้องโถงใหญ่นานแล้ว”
“ได้พวกข้าจะรีบเข้าไปพบเดี๋ยวนี้แหละ”
เวินติ่งเทียนโบกมือสั่งการให้เหล่านักรบของตระกูลเวินนั่งพักรออยู่ข้างนอกส่วนตัวเองก็พาหลินหยาง เวินชิงชิง และถังหง เป็ต้น ตามเข้าไปในฐานทัพ
ระหว่างทางที่กำลังเดินเข้าไปนั้นหลินหยางก็พบว่าการคุ้มกันของฐานทัพนั้นเป็แบบนอกแข็งในอ่อนมีการจัดวางกำลังพลอย่างเป็ระเบียบ ทหารแต่ละคนล้วนมีบรรยากาศที่ดุดันและน่าเกรงขามโดยที่พวกเขาต่างก็รู้สึกชื่นชมในตัวของแม่ทัพตู้ิ อีกด้วย
หลังจากที่เดินไปได้สักพักในที่สุดก็เห็นเต็นท์ขนาดใหญ่โตตั้งอยู่
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้เต็นท์นั่นหลินหยางก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลจากด้านในนั้นเขาเร่งพลังเนตรเพลิงสุพรรณขึ้น ก็มองเห็นทั่วทั้งเต็นท์แห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยรัศมีิญญาสีขาวที่กำลังเปล่งประกายออกมาตามมาด้วยเงาร่างของคนๆ หนึ่งที่กำลังหายใจเข้าออกอย่างดุดัน ราวกับว่ามีอสูรร้ายในคราบมนุษย์นั่งอยู่ในนั้นแรงกดดันระดับนี้ ช่างชวนให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน
หรือว่านี่คือท่านแม่ทัพตู้ิคนนั้น?
นี่ต้องเป็สภาวะของยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นสูงสุดที่ใกล้จะสามารถเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดินจนสามารถก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตของพลังระดับอวิ้นหลิงแล้ว...
ในขณะที่หลินหยางกำลังวิเคราะห์ความสามารถของแม่ทัพตู้ิผู้นี้อยู่เวินติ่งเทียนที่อยู่ข้างๆ ก็เดินนำทุกคนเข้าไปข้างในเต็นท์ขนาดใหญ่นี่แล้ว
ภายในเต็นท์นั้นมีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตแต่กลับดูเรียบง่ายไม่หรูหรา ภายในนั้นมีตัวละครหลักสองคนของการพบปะกันในครั้งนี้นั่งอยู่
คนที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือด้วยท่าทางอันสงบนิ่งมีใบหน้าสีขาวที่ดูมีน้ำมีนวล มีเคราแพะที่ถูกตัดเล็มอย่างละเมียดละไมเขาคนนี้ก็คือหัวหน้าของฝ่ายดูแลกิจการภายในเป็ผู้ที่คอยจัดการดูแลเื่ราวเล็กใหญ่ภายในเมืองอวิ๋นเฉิงให้เป็ระเบียบเรียบร้อย - หวังิชง
ส่วนคนที่อยู่ฝั่งขวาก็ต้องเป็แม่ทัพตู้ิอยู่แล้ว
แม่ทัพตู้ิผู้นี้มีโครงหน้าเหลี่ยมมีแววตาที่ดุดันห้าวหาญ แต่ละส่วนของร่างกายแบ่งกันชัดเจนสมส่วน รอบตัวเขาแผ่บรรยากาศของคนเป็ทหารออกมาอย่างชัดเจน
พอเวินติ่งเทียนเข้ามาในเต็นท์ก็นำคนอื่นทำความเคารพทันที “เวินติ่งเทียนเข้าพบท่านแม่ทัพตู้ ท่านหวัง”
“ฮ่าฮ่าท่านประมุขเวิน ท่านเป็แขกของเรานะ จะมากพิธีขนาดนี้ทำไมเล่า?”
ตู้ิยืนต้อนรับดูเขาจะสนิทสนมกับเวินติ่งเทียนในระดับหนึ่งเลยหลังจากนั้นเขาก็หันเหสายตามาทางหลินหยาง
“ท่านนี้คงจะเป็ผู้าุโหลินหลินอี้สินะ? ยอดคนมันเป็เด็กหนุ่มจริงๆ แต่เอ...? ไม่ทราบว่าหน้ากากนั่นคือ?”
คนของตระกูลเวินต่างก็เคยชินกับการที่หลินหยางมักจะใส่หน้ากากเวลาออกไปข้างนอกแล้วตัวหลินหยางเองก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรด้วย เวินติ่งเทียนจึงออกหน้ารับแทน
“ผู้าุโหลินอี้เขาเป็โรคภูมิแพ้ลมมาั้แ่เด็กน่ะหากโดนลมพัดก็จะป่วยทันที จึงอยากขอให้ท่านทั้งสองโปรดเมตตาเขาด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่าไม่เป็ไรๆ ท่านทั้งหลาย เชิญนั่งก่อนเถอะ”
ตู้ิเชิญให้ผู้คนนั่งลงอย่างเป็มิตร
ความสัมพันธ์ระหว่างหวังิชงและเวินติ่งเทียนนั้นเป็แบบชนชั้นสูงกับชนชั้นต่ำกว่าแต่ก็ถือว่าคุ้นเคยรู้จักกันดี หลังจากที่แต่ละคนพูดคุยทักทายกันเรียบร้อยแล้วหัวข้อการสนทนาก็ถูกดึงมาที่เื่ของ โล่เหล็กอักขระเมฆของหลินหยางที่ตอนนี้กลายเป็ที่รู้จักของชาวเมืองอวิ๋นเฉิงเกือบทุกคนไปแล้ว
“เชิญชมได้เลยท่านแม่ทัพตู้!”
เวินติ่งเทียนนำโล่เหล็กอักขระเมฆแบบที่ตระกูลเวินสร้างขึ้นเองออกมาจากถุงฟ้าดิน
ในตอนนี้มีเพียงหลินหยางเท่านั้นที่ใช้แหวนพระสุเมรุเพราะมันคือไพ่ตายที่ตระกูลเวินคิดจะเก็บไว้ใช้ในงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาที่กำลังจะมาถึงนี้หลินหยางเองก็ไม่มีทางใช้มันต่อหน้าคนนอกด้วยเช่นกัน
“เยี่ยมเยี่ยมมาก เยี่ยมไปเลย!”
ตู้ิรับโล่เหล็กอักขระเมฆเอาไว้หลังจากที่ตรวจสอบมันอย่างละเอียดแล้ว ก็พูดชื่นชมออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ถ้ามีเ้าโล่นี้อยู่ละก็เหล่าทหารกล้าที่ต้องออกไปเสี่ยงตายในสนามรบก็จะมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้นเยอะเลย!”
คำพูดประโยคนี้ทำเอาผู้คนโดยรอบถึงกับซาบซึ้งใจ
ชายชาติทหารสุดองอาจน่าเกรงขามท่านนี้เขาเป็ห่วงชีวิตของเหล่าทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องออกไปรบอยู่ตลอดเวลา การที่อาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นมียอดนักรบแบบนี้คอยปกป้องอยู่นับว่าเป็ความโชคดีอันมากล้นของเหล่าประชาชนโดยแท้จริง
หัวหน้าผู้ดูแลกิจการภายในอย่างหวังิชงที่อยู่ข้างๆกันนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมาว่า “ประมุขตระกูลเวินนี่ถึงจะชราแต่ก็ยังร้ายกาจอยู่จริงๆหรือว่าในการประลองในราชสำนักเมื่อครั้งก่อนนั้น ท่านตั้งใจออมมือเอาไว้สินะฮ่าฮ่า!”
ฮ่าฮ่า...
เวินติ่งเทียนจ้องมองไปที่หวังิชงแล้วกล่าวว่า“ข้าขอรับรองว่าจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องผิดหวังข้าจะผลิตยุทธภัณฑ์ระดับนิลกาฬและิญญาคุณภาพดีออกมาให้ได้เยอะๆ เลย”
ฮ่าฮ่า ดีมาก!
การพบปะกันครั้งนี้เป็ไปอย่างราบรื่นตามที่เวินติ่งเทียนคาดเอาไว้เลย