ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเขาเองที่เชื่อมั่นในตัวซ่างกวันเฟยมากเกินไป
แต่ว่ากันตามตรงต่อให้ทั้งสองคนจะเค้นสมองให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางจะคิดได้หรอกว่าเวินติ่งเทียนที่ตอนก้าวขาออกจากราชสำนักยังทำตัวหงอยๆ เหมือนราชสีห์ที่ถูกถอดเขี้ยวเล็บออกอยู่เลยแต่หลังจากกลับเข้าบ้านไปไม่ทันไร ก็ไปได้วายร้ายตัวน้อยอย่างหลินอี้จากที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็พวกเสียอย่างนั้น!
นี่มันซวยยิ่งกว่าซวยโค-ตะ-ระ ซวยเลย
เฉินเย่เซิงกัดปากถาม “บอกมาสิต้องทำอะไร พวกเ้าถึงจะยอมปล่อยตัวประกัน!!”
ได้ยินดังนั้นแล้วหลินหยางก็ลดขวานในมือลง จากนั้นก็ตอบกลับไปตรงๆ อย่างชัดเจนไม่อ้อมค้อมว่า “บอกแบบนี้แต่แรกก็จบแล้วโตขนาดนี้แล้วยังจะทำตัวลีลาอีก”
อึก!
ผู้คนเหมือนจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของเฉินเย่เซิงไปหนึ่งอึกราวกับว่ากำลังฝืนกลืนเืที่จะกระอักออกมาลงไปเสียคำโต
หลินหยางส่งขวานในมือไปให้กับอี้สิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆโดยอาจารย์อี้ผู้สูงวัยท่านนี้แย้มรอยยิ้มที่ดูอย่างไรก็เหมือนโจรเฒ่าคนหนึ่งออกมาเขารู้สึกว่าชีวิต่หลายๆ สิบปีที่ผ่านมาเหมือนจะเสียไปอย่างไร้ประโยชน์จริงๆพอได้อยู่กับเ้าหนูหลินอี้นี่แล้ว แม้แต่การแกล้งคนมันยังทำให้รู้สึกสนุกได้ขนาดนี้เลย
ฮ่าฮ่า
“ผู้าุโหลินในเมื่อมือของซ่างกวันเฟยนั่นเป็ของเดิมพันที่ได้มาจากมัน อย่างนั้นข้ายกการตัดสินใจครั้งนี้ให้ท่านเลยแล้วกัน”
เวินติ่งเทียนมอบอำนาจการตัดสินใจเื่สำคัญแบบนี้ให้กับหลินหยางเลย
ฝีมือของหลินหยางที่ปรากฏให้เขาเห็นในวันนี้มันมากพอที่จะทำให้เขาเชื่อใจแล้วนอกจากนี้ เขาก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าเงื่อนไขที่เขาจะเสนอให้มันคงไม่สามารถกดดันเฉินเย่เซิงให้ประสาทเสียได้เท่ากับเงื่อนไขที่ที่หลินหยางจะเสนอแน่
“ได้เลยท่านประมุข”
หลินหยางพยักหน้าตอบรับแล้วก็เดินตรงมาหยุดอยู่ที่หน้าเฉินเย่เซิง
ที่จริงแล้วเขาอยากจะเอามีดเสียบไอ้ชาติหมาตัวนี้ให้ตายคามือเดี๋ยวนี้เลยแต่เขารู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนความแค้นนี้เอาไว้ ตอนนี้แค่ทำให้มันหัวเสียจนกระอักเืออกมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
“เอ่อ...เ้าอ้วนโอวหยาง”
คำพูดประโยคแรกของหลินหยางกทำให้ทั้งสนามตกตะลึงทันที
เกรงว่าทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงแห่งนี้คงยังไม่มีใครกล้าเรียกโอวหยางกงแบบนี้
โอวหยางกงถึงกับโมโหขึ้นมาทันที“เ้าเด็กเวร เ้าว่าอะไรนะ!!”
“ท่านยี่ตัดแขนเลยตัดแขนเลย!!”
“ห้ามตัดเด็ดขาดเลย!!”
เฉินเย่เซิงเริ่มอยากจะบ้าตายไปแล้วตอนนี้เขารีบกล่อมโอวหยางกงที่อยู่ข้างๆ ให้หายโกรธทันที บอกให้เขาอดทนเอาไว้ก่อน หลังจากจัดการเื่ในวันนี้เสร็จแล้วค่อยว่ากันใครใช้ให้พวกเขาทั้งสองคนตกลงร่วมมือเป็พันธมิตรกันแล้วเล่า มีสุขก็ต้องร่วมเสพมีทุกข์ก็ต้องร่วมต้านละนะ...
หึ
โอวหยางกงตอนนี้เสียหน้าสุดๆเขาพลาดจริงๆ ที่ดันอยากมาร่วมเหตุการณ์ในวันนี้ด้วยแบบนี้
ปีนี้นี่มันปีชงของเขาจริงๆที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเื่แบบนี้...
“เ้าอ้วนโอวหยางไอ้ใบรายชื่อที่เ้าเอามาเสนอให้พวกเราที่คฤหาสน์ตระกูลเวินใบนั้นเล่า?”
หึ!
โอวหยางกงสะบัดหน้าหนีโดยไม่สนใจหลินหยางเลยแม้แต่น้อยแต่สีหน้าของเฉินเย่เซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับเปลี่ยนไปแทบจะทันทีเขาพอจะเดาออกบ้างแล้วละว่าหลินหยาง้าอะไร
“ประมุขเฉินเคยเห็นใบรายชื่อนั่นแล้วสินะดีเลย อย่างนั้นก็จัดหาของตามรายการนั่นให้พวกเราตระกูลเวินด้วยสักชุดหนึ่งก็พอ”
นี่มัน...ละโมบเกินไปแล้ว!
บนใบหน้าของเฉินเย่เซิงปรากฏเส้นเืปูดโปนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเส้น“ผู้าุโหลินนี่ล้อเล่นเก่งจังเลยนะ วัตถุดิบที่อยู่ในใบรายชื่อนั่นเกรงว่าจะมีมูลค่าสูงเกินร้อยล้านตำลึงขาว แบบนี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”
“ผู้าุโยี่ตัดมือเลย ตัดมือ”
หลินหยางี้เีเถียงกลับแบบไร้สาระเขาจับจุดตายของเฉินเย่เซิงเอาไว้ได้แล้ว ถ้าครั้งนี้ไม่รีบแกล้งไอ้ชาติหมานี่ให้สาสมใจเอาไว้ก่อนละก็ครั้งหน้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกแล้วก็ได้
“ก็ได้!!!”
เฉินเย่เซิงะโเสียงดังจนปอดแทบฉีกเขายื่นนิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว
“สิบล้านตำลึง! เงินสิบล้านตำลึง! ข้าให้ได้มากที่สุดแค่นี้ถ้าพวกแกยังไม่ยอมตกลงอีก อย่างนั้นก็ทำตามใจพวกเ้าเลย อย่างมากก็แหขาดปลาตายซวยไปด้วยกันหมดนี่แหละ ถึงเวลานั้นค่อยมาดูกันว่าใครมันจะซวยก่อนกัน”
“ตกลง!”
หลินหยางดูคล้ายกับพ่อค้าสุดหลักแหลมที่สามารถอ่านขีดจำกัดของเฉินเย่เซิงออกได้อย่างแม่นยำ
เขาไม่ได้อยากจะตัดแขนของซ่างกวันเฟยเลยสักนิดการที่สามารถตักตวงผลประโยชน์เข้าตระกูลเวินได้ต่างหากที่เป็เป้าหมายหลักของเขา
เขารู้อยู่แล้วว่าหลังจากวันนี้เป็ต้นไปตระกูลเวินถือว่าแตกหักกับตระกูลเฉินและตระกูลโอวหยางอย่างสิ้นเชิงแล้วหลังจากนี้ตระกูลเวินและเลี่ยนเทียนเฮ่าจะต้องรับมือกับการกดดันและการแก้แค้นจากอีกสองตระกูลแน่ๆเขาจึงต้องตักตวงทรัพยากรและเวลาเพื่อให้ตระกูลเวินสามารถพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นในเวลาที่สั้นที่สุดได้
ดังนั้นแล้วเงินสิบล้านตำลึงถึงมันจะดูมูลค่าสูงมากก็ตามแต่ถ้าใช้เพื่อยกระดับให้เลี่ยนเทียนเฮ่าแล้ว เงินแค่นี้มันไม่เท่าไรเลย
เื่ในวันนี้ก็คงต้องพอแค่นี้ก่อน
หลินหยางผายมือออก อี้สิงอวิ๋นก็แบกซ่างกวันเฟยที่นอนสลบอยู่ขึ้นมาเฉินเย่เซิงตอนนี้ก็กำลังกัดฟันเขียนสัญญาขึ้นมาฉบับหนึ่ง ใจความว่าจะนำเงินสิบล้านตำลึงไปส่งให้ที่คฤหาสน์เวินภายในครึ่งวันนี้
หลังจากเสร็จเื่ทั้งหมดแล้วผู้ทรงอิทธิพลทั้งสองของเมืองอวิ๋นเฉิงก็รีบออกไปจากเลี่ยนเทียนเฮ่าทันที
ไม่ว่าใครก็ไมมีทางลืมแววตาหม่นหมองของเฉินเย่เซิงและใบหน้ากลมที่เต็มไปด้วยความโมโหโกรธาของโอวหยางกงขณะที่กำลังเดินออกไปจากที่แห่งนี้
เื่ราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดจะกลายเป็หัวข้อสนทนาของประชาชนทั่วทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงแห่งนี้ใน่หลายเดือนนี้แน่
ซ่างกวันเฟยอาละวาดก่อกวนเลี่ยนเทียนเฮ่า ถูกผู้าุโหลินปราบลงโดยการประลองยุทธภัณฑ์
สองตระกูลใหญ่ร่วมมือกันเพื่อชิงตัวกลับไป แต่ต้องเสียสิบล้านเพื่อแลกกับความน่าสมเพชของตน
ฮ่าฮ่า!!
ตระกูลเวินคราวนี้ได้หน้าไปเต็มๆ!!
หลักจากที่ไล่คนนอกออกไปหมดแล้วบนใบหน้าของเวินติ่งเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มยินดีในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเขากวักมือเรียกพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
“เวินชงเตรียมจัดงานเลี้ยงแล้วก็รวบรวมคนในตระกูลเวินทั้งหมดให้มารวมตัวที่เลี่ยนเทียนเฮ่าข้าจะเลี้ยงฉลองให้กับผลงานของผู้าุโหลินด้วยสุรา ‘เซียนเมามาย’ หนึ่งร้อยขวด!”
“ขอรับ!” เวินชงเองก็ยิ้มจนปิดปากไม่ลง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!ดีเลย ท่านประมุขใจกว้างจริงๆ!” เหล่าคนงานของตระกูลเวินที่อยู่รอบๆต่างก็ส่งเสียงยินดีกันถ้วนหน้า
โค่นยอดฝีมือนักการช่างขับไล่สองตระกูลใหญ่ ตระกูลเวินไม่ได้สร้างผลงานใหญ่ในเมืองอวิ๋นเฉิงมานานมากเกินไปแล้ว!
และแน่นอนว่าเื่ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคนๆ หนึ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาได้ - หลินอี้นั่นเอง!!
“ผู้าุโหลินเยี่ยมยุทธ์! ผู้าุโหลินเยี่ยมยุทธ์!”
ความเคารพนับถือที่มีต่อหลินหยางในใจของทุกคนนั้นถูกกลั่นกรองออกมาเป็คำสรรเสริญเสียงดังกระหึ่มจนสะท้อนไปทั้งฟากฟ้าของเมืองอวิ๋นเฉิงในตอนนี้
..................................
ในคืนของวันเดียวกันนั้นเอง
เลี่ยนเทียนเฮ่าก็ปิดประตูงดรับแขกภายในนั้นกลายเป็ดั่งทะเลแห่งความหฤหรรษ์
กิจการย่อยๆ ของตระกูลเวินทั้งหมดสิบสามสาขาคนงานนับพันคนและเหล่าคนใช้ของตระกูลเวินอีกนับร้อยล้วนมาร่วมฉลองกันภายในงานนี้ทั้งหมดงานเลี้ยงฉลองขนาดมหึมาถูกจัดขึ้นไปทั่วทั้งเลี่ยนเทียนเฮ่า
กลิ่นหอมของเหล้าชั้นดีที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วงานอาหารชั้นเลิศที่ถูกจัดวางไว้บนจานอย่างสวยงาม ค่อยๆ ถูกยกมาวางให้เรื่อยๆ ราวสายน้ำที่กำลังรินไหลทุกคนในงานล้วนตกอยู่ใต้มวลคลื่นแห่งความสุข ปลดปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปกับความยินดีและความมีเกียรติที่ได้เป็ส่วนหนึ่งของตระกูลเวินอันยิ่งใหญ่นี้
งานเลี้ยงฉลองเพิ่งเริ่มจัดได้ไม่นาน ความครึกครื้นของงานเลี้ยงก็พุ่งไปถึงจุดสูงสุดคนที่ดื่มได้ก็ดื่มจนเมามายไปแล้ว คนที่ดื่มไม่ได้ก็ถูกบังคับให้ดื่มจนเริ่มมีอาการเมาขึ้นมาบ้างแล้ว
ณบริเวณโต๊ะหลักของงานเลี้ยงแห่งนี้ เวินติ่งเทียนกำลังนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะและมีหลินหยางที่นั่งอยู่ข้างกันด้วยซึ่งเขาได้กลายเป็บุคคลสำคัญของตระกูลเวินไปแล้วเรียบร้อย
หลินหยางเป็จุดที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในงานเลี้ยงแห่งนี้
เหล่านักการช่างของเลี่ยนเทียนเฮ่าเกือบทั้งหมดล้วนถือจอกสุรามาคารวะเขาภายใต้การนำของวู๋กัง ทุกคนต่างก็มาพูดแบบเดียวกันกับหลินหยางว่า“ข้าขอดื่มคารวะให้ท่าน” โดยสุราทุกจอกล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือและความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อหลินหยาง
และตามมาด้วยเหล่าวัยรุ่นตระกูลเวินอีกหลายคนที่ชื่นชมในตัวของหลินหยางและในบรรดาวัยรุ่นเ่าั้ก็มีอยู่สิบกว่าคนที่โวยวายแก่งแย่งกันขอเป็ลูกศิษย์ของหลินหยางพวกเขาอยากจะเรียนรู้ทักษะวิชาการช่างที่ดูลึกลับและแข็งแกร่งจนะเืฟ้าแบบนั้นของหลินหยางทำเอาหลินหยางอึดอัดไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียวเหล่าผู้นำของตระกูลเวินเองก็หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่าอย่างครื้นเครง
และในตอนที่ผู้คนกำลังสนุกสนานอยู่นั้นอี้สิงอวิ๋นก็เดินผลักฝูงชนออกแล้วเดินแหวกกลางเข้าไปหาหลินหยางพร้อมกับกลิ่นเหล้าที่โชยหึ่งออกมาจากตัวเขาเขาเข้าไปกอดคอหลินหยางแล้วหัวเราะเสียงดังพร้อมกับกล่าวว่า “ฮ่าฮ่าฮ่าผู้... ผู้าุโหลิน!” ลิ้นเขาพันกันหมดแล้ว“ตาแก่ข้าอย่างข้า ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยดื่มเหล้าร่วมกับเด็กหนุ่มเลยสักครั้ง...แต่...แต่กับท่าน... อย่างไรข้าก็ต้องดื่มเหล้ากับท่าน... เออะ... มามา เรามาดื่มกันอีกสักสามจอก”
อึกอึกอึก
อี้สิงอวิ๋นกระดกเหล้าจอกใหญ่ลงไปจนหมดภายในคำเดียวโดยที่หลินหยางยังไม่ทันได้ยกจอกขึ้นเลยหลังจากนั้นเขาก็ร่วงลงไปนอนแนบกับพื้นท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมากทันที
อี้ชังไห่มองไปที่ศิษย์น้องที่เมาจนสลบของตัวเองแล้วก็ส่ายหัวไปหัวเราะแบบแห้งๆไปด้วย จากนั้นก็โบกมือเรียกให้เถ้าแก่หวังมาหามเขาตาเฒ่านี่ออกไปในขณะเดียวกันเขาก็ยกจอกเหล้าขึ้นแล้วหันไปคารวะให้กับหลินหยาง
“มาผู้าุโหลิน ข้าขอพูดต่อจากศิษย์น้องของข้าเอง เหล้าจอกนี้ คารวะให้ความช่วยเหลือที่ท่านมอบให้ตระกูลเวินทั้งหมดในวันนี้!”
“ไม่กล้ารับไม่กล้ารับ!” หลินหยางรีบลุกขึ้นยืน “ข้าเองก็เป็ส่วนหนึ่งในตระกูลเวินแล้ว มันเป็สิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วมา หลินอี้ขอคารวะทุกท่าน!!!”
“คารวะผู้าุโหลิน!”
คำสรรเสริญจากคนเป็ร้อย!
เกียรติยศและศักดิ์ศรี!
มาวันนี้หลินหยางได้รับรู้แล้วว่าการได้รับความเคารพนับถือจากคนจำนวนมากขนาดนี้มันรู้สึกดีมากถึงเพียงใด
ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่เขาสมควรจะได้รับอยู่แล้ว
งานเลี้ยงดำเนินต่อจนถึง่กลางดึกแต่ละคนล้วนสนุกและเพลิดเพลินกันอย่างเต็มที่แต่มีอีกสองสาวที่ถึงจะมีความสุขเหมือนกัน แต่ไม่ได้สุขเพราะงานเลี้ยง
หนึ่งในสองสาวที่ว่าก็คือเวินชิงชิงและอีกคนก็คือสวี่เหยาที่ั้แ่เริ่มงานก็จ้องมองไปที่หลินหยางโดยไม่ละสายตาเลย
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ยินดีหรือมีความสุขร่วมไปกับงานเลี้ยงเลยนั่นก็คือคุณชายสองแห่งตระกูลเวินอย่างเวินโฮ่วนั่นเองผู้ที่เคยมีประเด็นกับหลินหยางคนนี้ ดื่มสุราไปเพียงครึ่งก็หยุดดื่มต่อแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจที่เห็นหลินหยางยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้
ในที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิท เหล่าคนงานทั่วไปก็ลากลับที่พักกันไปหมดแล้วที่ยังเหลืออยู่ตรงโต๊ะหลักก็มีเพียงพ่อลูกตระกูลเวิน อี้ชังไห่รวมไปถึงบุคคลสำคัญของตระกูลเวินอย่าง เหล่าที่ปรึกษาผู้าุโเหล่านักการช่างที่เก่งที่สุดของเลี่ยนเทียนเฮ่า เถ้าแก่หวัง และสวี่เหยา เป็ต้น
อี้ชังไห่เห็นว่าตอนนี้เป็่เวลาที่กำลังเหมาะสมพอดีจึงเป็ตัวแทนเอ่ยปากถามคำถามที่ทุกคนสงสัยกันมากที่สุด
“ผู้าุโหลินตอนนี้ท่านสามารถบอกพวกเราได้หรือไม่ว่าท่านสามารถสร้างโล่วิเศษสุดพิสดารนั่นขึ้นได้อย่างไร”
แค่คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่หลินหยางทันที
คำถามนี้เป็คำถามที่ทุกคนต่างก็รู้สึงสัยใคร่รู้หลินหยางใช้แค่วัตถุดิบที่ธรรมดามากๆ ไม่กี่อย่าง บวกกับ ‘ผงหินอ่อน’ ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเข้าพวกเลยสักนิดผสมเข้าด้วยกันแต่กลับสามารถสร้างโล่ในระดับที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในระดับนิลกาฬได้อย่างไร?
หลินหยางก็ไม่ได้ลีลาอะไรมากเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางพูดออกมาอย่างเชื่องช้าว่า
“นั่นก็เป็หนึ่งในวิธีที่อาจารย์ผู้มีบุญคุณของข้าน้อยค้นพบเช่นกัน...ถ้าจะเล่า ก็ต้องเริ่มเล่าจากผงหินอ่อนนี่ก่อน”
หลินหยางค่อยๆ นำเื่ราวทั้งหมดบอกเล่าออกมา
ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้วมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยที่จริงเขาก็แค่เอาผงหินอ่อนไปผสมน้ำก่อน จากนั้นพอเอาไปเผาไฟมันก็จะค่อยๆ พองตัวขึ้นว่ากันตามตรงแล้ววิธีการของมันก็คล้ายๆ กับการอบขนมอยู่เหมือนกัน
เพียงแต่หลินหยางมีเทคนิคเพิ่มเติมอีกสองข้อคือ
ข้อแรกเขาทำการสร้างเปลือกแข็งๆ ขึ้นมาห่อล้อมรอบตรงส่วนนอกสุด เพื่อให้ผงหินอ่อนที่กำลังขยายตัวอยู่ในเปลือกแข็งนั่นถูกบีบอัดจนหนาแน่นและกลายสภาพเป็โล่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าโล่อื่นใดในระดับเดียวกัน
และข้อต่อมาก็คือหลินหยางยังเติม ‘เส้นเหล็กอ่อน’ ที่หลอมละลายแล้วลงไปโดยเหล็กอ่อนหลอมละลายนี้ เมื่อผสมเข้ากับผงหินอ่อนแล้วมันจะแทรกเข้าไปอยู่ในช่องอากาศที่เกิดขึ้นในตอนที่มันกำลังขยายตัวอยู่ เมื่อมันเย็นตัวลงแล้วก็จะมีความแข็งแรงที่สูงมากกว่าปกติทำให้โล่ชิ้นนี้มีความแข็งแรงคงทนราวกับสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาจากคอนกรีตอย่างไรอย่างนั้นสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็โล่ที่แข็งแกร่งราวกับว่ามันจะไม่มีวันพังทลายไปตลอดกาล
ฟังจากที่หลินหยางเล่าแล้วดูเหมือนจะเป็วิธีที่ง่ายมากๆแต่พอหลินหยางอธิบายจบแล้วแม้แต่เวินติ่งเทียนที่ดูเคร่งขรึมมาโดยตลอดก็ยังอดไม่ได้ที่จะตบขาตัวเองฉาดใหญ่ “ถึงกับสามารถคิดค้นเทคนิควิธีการช่างที่แปลกพิสดารแบบนี้ได้โคตรจะแข็งแกร่งเลย... แค่กแค่ก...”
เวินติ่งเทียนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นถึงกับเผลอหลุดคำหยาบคายออกมาเมื่อได้ฟังเทคนิควิชาการช่างสุดพิสดารแบบนี้