ข่งเซวียนเอ๋อร์เหลือบตามองมู่เฟิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่มุมหนึ่งเงียบๆ ดวงตาคู่สวยของนางคุกรุ่นไปด้วยเพลิงโทสะ
ั้แ่เด็กจนโตนางก็ไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน อาการปวดหนึบบริเวณบั้นท้ายทำให้ภายในใจของนางยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้น
“เ้าคนบัดซบ เื่ไม่จบแค่นี้แน่...”
ข่งเซวียนเอ๋อร์กัดฟันแน่น จากนั้นนางก็สะบัดตัวเดินออกจากหอคอยเทียนอวิ่นไปทันที
มู่เฟิงกลืนเม็ดยาโลหิตลงไปอีกหนึ่งเม็ด จากนั้นเขาก็เริ่มรวบรวมพลังปราณเข้าสู่จุดตันเถียน เพื่อควบแน่นมวลคลื่นพลังขึ้นใหม่อีกครั้ง
ยามนี้ใบหน้าสวยของข่งเซวียนเอ๋อร์กำลังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความดุร้าย นางเดินตรงเข้าไปยังเขตพื้นที่ของศิษย์สายใน
ก่อนที่นางจะมุ่งหน้าไปที่ลานแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต ภายในลานแห่งนี้มีหญิงสาวในชุดคลุมสีขาวรูปร่างสูงโปร่งและมีความงามคล้ายคลึงกับข่งเซวียนเอ๋อร์อยู่สองส่วนกำลังนั่งจิบชาพูดคุยกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง และชายหนุ่มผู้นั้นก็มีใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาเปล่งประกายสุกสกาวราวกับดวงดาว คิ้วคมดุจกระบี่ และจมูกโด่งเป็สันคม เมื่อรวมเข้ากับชุดคลุมสีขาวนวลที่เขาสวมใส่ก็ยิ่งขับให้เขาดูสง่ามากยิ่งขึ้น
คนผู้นี้ก็คือซือถูคง ยอดฝีมืออันดับสามจากตารางรายชื่อยอดฝีมือหนึ่งร้อยอันดับแรกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น
ส่วนสตรีอีกคนที่อยู่กับเขาก็คือข่งย่วน ยอดฝีมืออันดับสองจากตารางรายชื่อยอดฝีมือ นอกจากนี้นางยังเป็หัวหน้าของกลุ่มผู้คุมกฎในสำนักศึกษาอีกด้วย
“ย่วนเอ๋อร์ เ้าจะไม่รับภารกิจนั้นจริงหรือ? สำหรับเ้ากับข้าแล้ว นั่นอาจจะเป็โอกาสอันดีก็ได้ หากเ้าสามารถตามหาโอสถนั่นพบ การจะทะลวงวรยุทธ์ขึ้นสู่ระดับหยวนตานก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”
ซือถูคงเอ่ยถามขึ้น
ข่งย่วนส่ายหน้า ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า “แม้โอสถที่เ้ากล่าวถึงจะล้ำค่ามากเพียงใด แต่เ้าก็ทราบถึงความอันตรายของพื้นที่ที่มีแต่ซากปรักหักพังแห่งนั้นดีไม่ใช่หรือ ทั้งศิษย์รุ่นก่อนๆ หรือกระทั่งผู้แข็งแกร่งที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่ระดับหยวนตานยังไม่สามารถเอาชีวิตรอดออกมาจากที่นั่นได้เลย”
“ครั้งนี้ข้าได้เตรียมการมาอย่างดีแล้ว เว่ยอี้อวิ๋น หยางฉานและโจวเหวินเฉวียน พวกเรายอดฝีมือห้าอับดับแรกของสำนักศึกษาต่างก็เข้าร่วมในภารกิจครั้งนี้กันทั้งนั้น หากมีเ้าเพิ่มเข้ามา ความมั่นใจของพวกเราย่อมจะเพิ่มขึ้นอีกสองส่วน”
ซือถูคงยังคงโน้มน้าวอีกฝ่าย
“เว่ยอี้อวิ๋นเปลี่ยนใจแล้วหรือ...”
เมื่อได้ยินดังนั้นข่งย่วนก็หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ดูเหมือนว่าเว่ยอี้อวิ๋นเองก็คงไม่อาจนิ่งนอนใจกับวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้าของเขาในตอนนี้ได้อีกต่อไป
“เ้าให้เวลาข้าได้คิดอีกสักหน่อยเถิด”
ข่งย่วนกล่าวขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
“ตกลง ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเ้า”
ซือถูคงหยัดกายลุกขึ้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แววตาที่เขาใช้มองข่งย่วนเปล่งประกายเต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่าง
“พี่หญิง…”
ขณะที่ซือถูคงกำลังจะจากไป เสียงเล็กแหลมก็พลันดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่เดินตรงเข้ามาจากทางประตูด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“พี่หญิง ท่านต้องแก้แค้นแทนข้านะ มีคนมารังแกข้า”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เดินเข้ามาพร้อมกับร้องไห้โฮ
“เป็เซวียนเอ๋อร์เองหรือ เกิดอะไรขึ้น?”
ซือถูคงถามพร้อมรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่ซือถู ท่านเองก็อยู่ด้วยหรือ”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาของซือถูคง ดวงตาคู่สวยของนางปรากฏร่องรอยของความเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
“รังแกเ้า เกิดอะไรขึ้นกัน? ในสำนักศึกษาแห่งนี้ยังจะมีใครกล้ารังแกเ้าอีกหรือ?”
ข่งย่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่หญิง ท่านไม่รู้อะไร วันนี้ข้าพบเจอเ้าคนสารเลวผู้หนึ่ง”
ข่งเซวียนเอ๋อร์วิ่งเข้าไปกอดแขนข่งย่วน จากนั้นก็เริ่มสาธยายเื่ราวที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง “วันนี้ข้าไปเจอบัณฑิตใหม่ผู้หนึ่ง เขาบังอาจแย่งห้องฝึกของข้าไป ไม่เพียงเท่านั้น เขา เขายังตีข้าอีกด้วย!”
เมื่อข่งเซวียนเอ๋อร์เอ่ยถึงเื่นี้ ภายในหัวของนางก็สามารถจดจำทุกสิ่งที่มู่เฟิงกระทำต่อนางในห้องฝึกได้เป็อย่างดี ทำให้นางรู้สึกอับอายและโกรธเคืองขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าเคยบอกเ้าแล้วว่าห้องฝึกไม่ใช่ของเ้า ใครมาก่อนก็มีสิทธิ์ที่จะใช้มันก่อน เื่นี้ไม่ใช่ว่าเ้าเป็ฝ่ายไปรังแกบัณฑิตใหม่หรอกหรือ”
ข่งย่วนจิ้มนิ้วไปบนหว่างคิ้วที่กำลังขมวดมุ่นของข่งเซวียนเอ๋อร์
“ไหนเลยจะเป็เช่นนั้น เป็เขาต่างหากที่รังแกข้า พี่หญิง ท่านต้องช่วยข้าระบายโทสะนี้นะเ้าคะ”
ข่งเซวียนเอ๋อร์รีบปฏิเสธ นางเริ่มทำตัวเหมือนเด็กนิสัยเสียที่เอาแต่กอดแขนข่งย่วนและร้องให้อีกฝ่ายช่วยระบายโทสะแทนนาง
“วรยุทธ์ของเซวียนเอ๋อร์อยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นแปดแล้ว บัณฑิตใหม่เพิ่งจะเข้าสำนักศึกษาได้เพียงไม่นาน ยังจะมีใครสามารถรังแกเ้าได้อีกหรือ?”
ซือถูคงกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“มี แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็บัณฑิตใหม่ แต่วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับข้า ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถเอาชนะเขาได้”
ข่งเซวียนเอ๋อร์กล่าวขึ้น
“ดูสภาพเ้าในตอนนี้สิ ข้าเคยพร่ำสอนให้เ้าตั้งใจฝึกฝนให้หนักแต่เ้ากลับไม่เชื่อฟัง ทั้งยังเอาแต่เล่นไปวันๆ แม้แต่บัณฑิตใหม่ยังเอาชนะไม่ได้ ว่าแต่เ้าเด็กนั่นชื่ออะไร?”
ข่งย่วนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาอีกครั้ง
“ข้าไม่รู้ แต่ชายผู้นั้นมีผมสีขาวและมีรอยบากที่คิ้ว”
“เส้นผมสีขาว สามารถเอาชนะเ้าได้...”
ข่งย่วนครุ่นคิดอย่างตั้งใจ แต่ทันใดนั้นก็มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในใจนาง
เด็กหนุ่มผู้มากับอินทรีั์สีดำและนำพาศิษย์ในตระกูลคว้าห้าอันดับแรกของการประเมินบัณฑิตใหม่
“มู่เฟิง!”
ข่งย่วนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“พี่หญิง ทำไมหรือ ท่านรู้จักเขาอย่างนั้นหรือ?”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างคาดไม่ถึง
“มู่เฟิง...เหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ไม่ใช่มู่เฟิงที่คว้าอันดับแรกของการประเมินบัณฑิตใหม่ในรุ่นนี้มาได้หรอกหรือ?”
ซือถูคงถามอย่างสงสัย
“อ๊ะ นี่เขาสามารถคว้าอันดับหนึ่งของการประเมินบัณฑิตใหม่ได้อย่างนั้นหรือ!”
ข่งเซวียนเอ๋อร์คาดไม่ถึงกับเื่นี้
“อืม นอกจากนี้คะแนนการประเมินของเขายังสูงสุดในรอบสิบปีอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังทำให้ศิษย์ในตระกูลคว้าห้าอันดับแรกของการประเมินบัณฑิตใหม่ไปได้ทั้งหมด คนผู้นี้นับว่ามีความสามารถ แต่เหมือนว่าเขาจะเป็พวกชอบสร้างปัญหา ครั้งก่อนเขาก็ปะทะกับฉู่หมั่งกลางโรงอาหาร ตอนนั้นข้ายังต้องไปช่วยแก้ปัญหาวุ่นวายนี่อีก”
ข่งย่วนกล่าวเสียงเรียบ
“คนเช่นนี้ยังสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ ์ช่างไม่มีตาเอาเสียเลย”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ยื่นปากออกมาอย่างไม่พอใจ
“แล้วเขาทำอะไรเ้า?”
ข่งย่วนเอ่ยถาม
“เขา…”
ข่งเซวียนเอ๋อร์กำลังจะกล่าวตอบ แต่ใบหน้าของนางกลับแดงก่ำขึ้นมาเสียก่อน หากว่านางตอบออกไปจะกลายเป็ว่าเพราะนางทำตัวเหลวไหลจึงถูกเขาตีบั้นท้ายสั่งสอนหรือไม่?
“ข้าไม่สนใจ แต่ท่านต้องช่วยสั่งสอนเขาแทนข้า”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เขย่าแขนของข่งย่วนพลางพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“หึๆ แค่บัณฑิตใหม่ผู้หนึ่ง เซวียนเอ๋อร์ พี่ใหญ่ซือถูผู้นี้จะช่วยเ้าระบายโทสะให้เอง”
ซือถูคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยังคงเป็พี่ใหญ่ซือถูที่ดีกับข้า ฮึ่ม พี่หญิงไม่รักข้าเลย”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น ส่วนข่งย่วนเพียงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ใช่ว่าย่วนเอ๋อร์ไม่รักเซวียนเอ๋อร์ แต่ในฐานะหัวหน้าผู้คุม นางจำเป็ต้องใช้กฎอย่างยุติธรรมและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม แน่นอนว่าภายในใจของนางย่อมห่วงใยเซวียนเอ๋อร์มากที่สุด”
ซือถูคงยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่ซือถูช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นยิ่งนัก หากท่านมาเป็พี่เขยให้ข้าคงจะดีไม่น้อย”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เองก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน แต่ข่งย่วนกลับเหลือบตามองนางด้วยสายตาตำหนิ
“เื่ของมู่เฟิงผู้นั้นคงต้องรบกวนเ้าแล้ว แต่แค่สั่งสอนบทเรียนให้เขาเพียงเล็กน้อยก็พอ อย่าทำให้เื่มันวุ่นวายนัก”
ข่งย่วนพยักหน้าให้ซือถูคง
“เ้าไม่ต้องห่วง ไปกันเถอะ พี่ใหญ่ซือถูจะนำคนไประบายโทสะแทนเ้าเอง”
ซือถูคงลูบเรือนผมของข่งเซวียนเอ๋อร์อย่างเอ็นดูพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืมๆ…”
จากนั้นข่งเซวียนเอ๋อร์ก็พาซือถูคงออกจากเรือนพักของข่งย่วน และมุ่งหน้าไปที่หอคอยเทียนอวิ่นทันที...
บริเวณชั้นสี่ของหอคอยเทียนอวิ่น
รอบกายของมู่เฟิงกำลังถูกโอบล้อมเอาไว้ด้วยพลังฟ้าดินอันเข้มข้น ความเร็วในการดูดซับพลังของเด็กหนุ่มทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึง
“ความเร็วในการดูดซับพลังของเขาช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก คนผู้นี้มีวิธีการฝึกฝนแบบใดกันแน่?”
“นี่เขาคงจะกำลังทะลวงขึ้นไปอีกขั้นแล้วสินะ”
เหล่าบัณฑิตที่อยู่รอบๆ ต่างก็กำลังเหลือบมองมู่เฟิง เพราะเื่ก่อนหน้านี้ทำให้เขากลายเป็จุดสนใจของทุกคน
“ควบแน่น!”
เมื่อสิ้นเสียง มวลคลื่นพลังลูกที่เก้าในจุดตันเถียนตำแหน่งจื่อฝู่ก็ถูกควบแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ และมันก็ทำให้พลังปราณในร่างของเด็กหนุ่มยิ่งมีความล้ำลึกมากกว่าเดิม
วรยุทธ์ของมู่เฟิงได้ทะลวงผ่านระดับจื่อฝู่ขั้นแปดไปยังระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าแล้ว!
มู่เฟิงก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้ว หากเขาเริ่มกลั่นพลังกังชี่ออกมาและควบแน่นพลังกังชี่ให้เข้าสู่พลังปราณได้ ถึงเวลานั้นเขาก็จะกลายเป็ยอดฝีมือระดับหนิงกังผู้หนึ่ง พลังปราณของเขาจะเปลี่ยนเป็พลังชีวิต
มู่เฟิงลืมตาขึ้น รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันโดดเด่นของเขา
หากอยู่ข้างนอกเกรงว่าอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะสามารถทะลวงผ่านขั้นนี้ไปได้
มู่เฟิงหยัดกายลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะจากไป แต่ทันใดนั้นซือถูคงและพรรคพวกของเขาก็เดินเข้ามาเสียก่อน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้