คนสามคนกำลังขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชิงซานด้วยท่าทางสบายๆ
พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“หลีกไป!”
เสียงนั้นดูเร่งรีบมากและยังมีพลังรุนแรงแผ่ซ่านออกมาด้วย ไม่นานก็เห็นม้าขาวเจ็ดแปดตัวกำลังกระโจนเข้ามาทางเสิ่นเสวียน เสิ่นเสวียนยังไม่ต้องใส่ใจมากนักเพราะเขาอยู่ริมทาง แต่เสิ่นเสี่ยวเม่ยขวางอยู่กลางทางพอดี หากพวกเขาพุ่งเข้าใส่ เสิ่นเสี่ยวเม่ยต้องโดนชนอย่างแน่นอน
“ระวัง!”
ขณะที่เสิ่นเสวียนกำลังจะเข้าไปดึงเสิ่นเสี่ยวเม่ยออกมา ก็เห็นว่าเสิ่นเสี่ยวเม่ยจับสายบังเหียนเอาไว้แน่นแล้วบังคับให้ม้าะโลอยตัวขึ้นไป เสิ่นเสี่ยวเม่ยส่งพลังไปทำให้ม้าตัวนั้นเหาะสูงขึ้นอีก
คนขี่ม้าขาวที่กระโจนเข้ามาด้านหลังเกือบชนนางอยู่แล้ว ทว่าคนกลุ่มนั้นสามารถกระโจนผ่านไปได้ในพริบตาที่เสิ่นเสี่ยวเม่ยพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อกลุ่มคนขี่ม้าขาวผ่านไป เสิ่นเสี่ยวเม่ยก็กุมบังเหียนควบคุมม้าให้เหาะลงมา
“คนกลุ่มนี้ไร้มารยาทจริงๆ”
เมื่อลงมาแล้ว เสิ่นเสี่ยวเม่ยมองกลุ่มคนที่กระโจนไปด้านหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
ขณะนั้นเอง คนขี่ม้าขาวคนสุดท้ายเป็ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง หันหลังมามองเสิ่นเสี่ยวเม่ยที่ลงมาถึงพื้นแล้วด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
จากนั้นเขาก็เร่งฝีเท้าม้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชิงซานที่อยู่เบื้องหน้า
“ในทวีปนี้ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนเลยคือคนที่ไม่รู้จักความตาย”
เสิ่นเสวียนมองตามคนขี่ม้าขาวกลุ่มนั้นพลางยิ้มน้อยๆ
“ท่านผู้นำ ให้ข้าไปสั่งสอนพวกเขาไหม”
เสิ่นเลี่ยนที่เงียบมาตลอดทางกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นะเื
“ไม่ต้องหรอก”
เสิ่นเสวียนกล่าวยิ้มๆ
“ขอรับ”
เสิ่นเลี่ยนตอบกลับทันที ก่อนจะออกเดินทางมา ท่านพ่อของเขาเคยกำชับไว้ว่าท่านผู้นำคืออัจฉริยะแห่งยุค ได้ติดตามท่านผู้นำต้องช่วยงานเขา พูดให้น้อย เรียนรู้และเชื่อฟังให้มาก
ดังนั้น เสิ่นเลี่ยนจึงจดจำอยู่ในใจมาตลอด
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา ท่านพี่ พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยมองดูหมู่บ้านชิงซานที่อยู่เบื้องหน้า นี่คือหมู่บ้านแรกที่พวกเขาได้เจอหลังออกจากเมือง ทำให้เสิ่นเสี่ยวเม่ยรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก
“ดี ไปกันเถอะ”
สำหรับเสิ่นเสวียนแล้ว จะไปยังสถาบันิญญาหรือไม่เป็เพียงเื่รองลงมา ที่สำคัญคือต้องทำความรู้จักทวีปหลิงโซ่วให้มากขึ้น สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ในชาติก่อนเขาก็เป็เช่นนี้ ทุกๆ หนึ่งร้อยปีเขาจะไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ก่อนที่จะฝ่าด่านเคราะห์
หลังจากเป็เซียนพเนจรหนึ่งด่านเคราะห์ เขากลับมายังโลกมนุษย์ในยุคจักรพรรดิจูเวิน ซึ่งไม่ใช่ยุคของราชวงศ์ถังแล้ว กลับกลายเป็ยุคแห่งการเข่นฆ่าสังหารระหว่างอำนาจต่างๆ ในเวลานั้นแผ่นดินศูนย์กลางเปี่ยมไปด้วยไอพลังหลิงชี่ มีผู้บำเพ็ญเพียรถือกำเนิดขึ้นมากมาย คมหมัดปะทุที่เขาฝึกฝนขึ้นมาก่อนหน้านี้คือเคล็ดวิชาที่แย่งชิงมาจากกุนซือของจูโหย่วกุย
หลังจากนั้นเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในยุคราชวงศ์ซ่งอีกหลายสิบปี ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองมากับตาตนเอง และได้เห็นผู้คนเริ่มละทิ้งการฝึกฝน คนที่ฝ่าด่านเคราะห์กลายเป็เซียนได้สำเร็จลดน้อยลงไปมาก
กระทั่งได้เจอกับปรมาจารย์หลิวป๋อเวิน[1] ขณะที่อีกฝ่ายยังเยาว์ เสิ่นเสวียนช่วยเหลือเขาในการฝึกฝนอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นก็ฝึกฝนจนกลายเป็เซียน แยกโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรและโลกมนุษย์ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ข้อดีของการทำเช่นนี้คือรักษาไอพลังหลิงชี่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่ให้หลุดลอดออกไปภายนอก และเพื่อทำให้พลังของผู้บำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ส่วนข้อเสียคือการตัดขาดมนุษย์ออกจากเซียนเทพอย่างสิ้นเชิง การบำเพ็ญเพียรกลายเป็เพียงตำนานไปแล้ว หรือกระทั่งเลือนหายไปจากโลกมนุษย์เลยทีเดียว
ครั้งสุดท้ายที่เขาไปยังโลกมนุษย์ ที่นั่นในตอนนั้นมีอาคารสูงตระหง่านอยู่เต็มไปหมด มนุษย์เริ่มเชี่ยวชาญด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ อีกทั้งเขาเคยคิดคำนวณไว้ว่า อาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปสร้างขึ้นเสียอีก สามารถป้องกันตัวได้
เมื่อกลับมาสู่ความเป็จริง พวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงหมู่บ้านชิงซานที่คึกคักแล้ว
ต้นไม้สูงเสียดฟ้ายืนตระหง่านอยู่สองข้างทางเข้าหมู่บ้านชิงซาน มีไม้ชิ้นใหญ่พาดขวางอยู่ตรงกลาง บนนั้นสลักอักษรไว้ด้วยมีด เขียนว่า ‘หมู่บ้านชิงซาน’
ดูเหมือนเรียบง่ายมาก แต่เสิ่นเสวียนรู้ว่าเ้าของตัวอักษรนี้ไม่ธรรมดาเลย
ตัวอักษรเหล่านี้ถูกสลักด้วยพลัง ความแข็งแกร่งของผู้สลักไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลยต้งอีกด้วย
ทั้งสามคนผ่านทางเข้านี้เข้าไป ข้างในมีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ พวกเขาจึงสามารถเดินไปบนถนนโดยไม่เป็จุดสนใจของผู้อื่นแม้แต่น้อย
เพราะพวกเขาสองคนเป็เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปี อีกคนหนึ่งก็เป็เด็กผู้หญิงอายุสิบเอ็ดปี พวกเขาสามคนให้ความรู้สึกถึงความเปราะบางอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนที่ท่องไปในทวีปแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ แต่ถ้าเจอคนเ่าั้เข้าจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเมินเฉยไป ทำเป็ไม่เห็น
อย่าเห็นว่าคนที่เดินไปมาเหล่านี้เป็เพียงคนธรรมดา เื้ัของพวกเขานั้นไม่ธรรมดาเลย
ผู้คนที่เดินไปมาบนถนนสายนี้ สำหรับพวกของเสิ่นเสวียนแล้ว ทุกคนล้วนมีเจตจำนงสังหารแผ่กระจายออกมาจากร่าง แข็งแกร่งกว่าผู้คนในเมืองอวี่ฮว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกัน คนเหล่านี้ก็ยังเหนือกว่า
นี่ไม่ใช่ความแตกต่างของทักษะการต่อสู้และเคล็ดวิชา แต่เป็ความรู้และประสบการณ์ และยิ่งกว่านั้นคือการต่อสู้ระหว่างความเป็ความตาย นี่คือเหตุผลที่คนเหล่านี้เหยียดหยามพวกของเสิ่นเสวียน ว่าถูกเลี้ยงดูอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวยมาั้แ่เด็กราวกับไข่ในหิน รูปลักษณ์ภายนอกงดงามแต่ภายในอ่อนแอปวกเปียก
“ทางนั้นมีโรงเตี๊ยมอยู่ พวกเราไปหาอะไรกินกันสักหน่อย”
เสิ่นเสวียนมองตรงไปข้างหน้า มีโรงเตี๊ยมชื่อจุ้ยเฟิงโหลวตั้งอยู่ จึงเดินนำอีกสองคนไปทันที
ั้แ่เกิดใหม่ขึ้นมา เขาอยู่แต่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองอวี่ฮว่ามาตลอด ตอนนี้เขาก็เหมือนกับเสิ่นเสี่ยวเม่ยและเสิ่นเลี่ยน อยากรู้อยากเห็นโลกภายนอกไปหมด
“ลูกค้าเชิญนั่ง รับอะไรดีขอรับ”
ทั้งสามคนเพิ่งเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม พลันมีลูกจ้างคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเสิ่นเสวียนและพาไปนั่ง
“เอาอาหารขึ้นชื่อของร้านเ้า”
“ขอรับๆ ลูกค้าโปรดรอสักครู่”
ลูกจ้างได้ยินดังนั้นก็รู้แล้วว่านี่คือลูกค้ารายใหญ่ เขารับคำด้วยสีหน้าเบิกบาน หลังจากให้ทั้งสามคนนั่งลงแล้วจึงรีบวิ่งไปหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเพื่อสั่งอาหาร
อาหารหน้าตาน่ากินหลายอย่างถูกวางจนเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็ว ยิ่งเห็นยิ่งอยากอาหาร
“กินได้”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับสองคนนั้นก่อนหยิบขาแพะย่างขึ้นมากัดไปคำหนึ่ง เนื้อแน่นแต่ไม่มัน มีรสเผ็ดปานกลาง รสชาติดีมาก
เสิ่นเลี่ยนและเสิ่นเสี่ยวเม่ยต่างก็หิวแล้วจึงเริ่มกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขากินอิ่มหลังจากนั้นเกือบหนึ่งชั่วยาม ในขณะที่กินอาหารอยู่ เสิ่นเสวียนให้ทางโรงเตี๊ยมทำอาหารเหมือนกันอีกสามชุดเพื่อเก็บไว้ในมิติของเขา
หากไม่ใช่เพราะตัวตนของเสี่ยวเหยียนค่อนข้างอ่อนไหว เขาคงปล่อยมันออกมากินอาหารด้วยกันแล้ว
เพราะไม่ว่าจะเป็คนของสำนักใหญ่ก่อนหน้านี้หรือคนจากเผ่าอนธการ ต่างเคยเห็นเสี่ยวเหยียนมาก่อนทั้งนั้น หากปล่อยมันออกมาต้องกลายเป็จุดสนใจ อาจโดนไล่ล่าสังหารได้ง่ายมาก
หากจะปล่อยเสี่ยวเหยียนออกมาอย่างน้อยต้องรอให้พลังยุทธ์ของตนเองถึงขั้นหยวนก่อกำเนิดเสียก่อน และต้องแปลงกายให้เสี่ยวเหยียนด้วย ที่เขาปล่อยเสี่ยวเหยียนออกมาในเมืองอวี่ฮว่าก่อนหน้านี้เพราะเขาไม่มีทางเลือก และแม้ว่าในเมืองอวี่ฮว่าจะมีคนมากมาย แต่คนเหล่านี้ไม่เคยรู้เื่เกี่ยวกับสัตว์วิเศษมาก่อน จะอธิบายให้เข้าใจคงเป็เื่ยาก ยิ่งไปกว่านั้น คนในเมืองอวี่ฮว่าที่รู้จักกับคนจากเผ่าอนธการโดนเขาจัดการไปแล้ว
“พวกเ้ารู้เื่นี้หรือยัง ครั้งนี้บนเขามีสัตว์วิเศษตัวหนึ่งสังหารคนไปแล้วสามสิบกว่าคน สมาคมทหารรับจ้างเสนอรางวัลนำจับหนึ่งแสนเหรียญทอง”
“รู้แล้ว เหมือนว่าหากครั้งนี้สามารถสังหารมันได้ จะได้เลื่อนเป็ขั้นเงินทันทีอีกด้วย!”
คนสองคนกระซิบกระซาบกันอยู่ที่โต๊ะข้างๆ
..................................................................
[1] หลิวป๋อเวิน (劉伯溫) ที่ปรึกษาของจักรพรรดิจูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ิ เป็ผู้รอบรู้ เก่งกาจทั้งยุทธศาสตร์การรบ การปกครอง การเมือง รวมไปถึงดาราศาสตร์และโหราศาสตร์