“สมุนไพรหายากเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงอาสา ความจริงแล้วหน้าที่พวกนี้ควรเป็ของเหล่าทหาร ข้าเห็นท่านเหน็ดเหนื่อยเยี่ยงนี้ ยิ่งไม่สบายใจ”
“หากไม่สบายใจ เ้าก็ควรปรนนิบัติดูแลข้า เพียงเท่านี้ข้าก็มีแรงขึ้นอย่างมาก” เหิงเยว่สับสนในวาจาคลุมเครือที่ชายหนุ่มพูดอยู่มาก หากแต่เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนพระพักตร์ของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวเลิกสนใจ แล้วยกมือขึ้นเช็ดอีกครั้ง สายตาหวานยังคงถูกพระเนตรขององค์ชายรองจับจ้องไม่วางตา
“องค์ชายรองช่างดีกับข้าเหลือเกิน เช่นนี้แล้วข้าควรใส่ใจเขาให้มาก” เหิงเยว่รอบคิดในใจ ก่อนวรการของชายหนุ่มจะลุกขึ้น แล้วเดินกลับเข้าไปหาสมุนไพรต่อ ไม่นานนักรอยยิ้มกว้างก็หันมาพร้อมกับรากไม้ในมือ
“เหิงเยว่ เ้าดูนี่สิ” หญิงสาวเลื่อนสายตามองดูรากของไม้ชนิดหนึ่งในมือ หากแต่ล่วงรู้ในทันที ว่านั่นคือสมุนไพรที่ตามหา รอยยิ้มกว้างแสดงเด่นชัดพลางวิ่งเข้าไปแล้วหยิบดูอย่างสนใจ ประกายั์ตาลุกวาวอย่างชื่นชม
“ในที่สุดก็พบแล้วอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือรากชงชู” เหิงเยว่ดีใจราวกับว่าสิ่งของในมือนั้นคือแก้วแหวนเงินทอง หาใช่เพียงสมุนไพรธรรมดาเท่านั้น องค์ชายรองจับจ้องแล้วเก็บความรู้สึกมากมายนั้นไว้ภายใน เขามองดูเหิงเยว่แยกสมุนไพรเก็บเข้าห่อผ้าของตัวเอง
“ข้าอยากศึกษาสมุนไพรทุกชนิด เพื่อช่วยเหลือพระสนม” นางพูดพร้อมหยิบรากชงชูแยกออกจากห่อใหญ่ ก่อนมือบางจะสะดุ้งเมื่อมือหนาแย่งมาหยิบแยกให้
“เอาไปให้มาก เพราะเ้ามือใหม่ การเรียนรู้เื่สรรพคุณของสมุนไพรนั้นต้องใช้เวลา และความอดทนอย่างสูง อีกทั้งตัวยาก็เป็เื่สำคัญ การลองผิดลองถูกต้องใช้ตัวยาเยอะมาก เ้าเอาไปเพียงเท่านั้นไม่พอให้เก่งได้” เหิงเยว่ นั่งมองชายหนุ่มโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างเงียบ ๆ มีหลายอย่างที่องค์ชายรองทำให้หญิงสาวรู้สึกซาบซึ้งในเมตตา ก่อนพักครู่หนึ่งแล้วกลับไปหาสมุนไพรที่เหลืออีกสองชนิดซึ่งคาดว่าอยู่ไม่ห่างกันมากนัก
เหิงเยว่คอยเดินตามองค์ชายรองไม่ห่างไปไหน แลยังตั้งใจฟังสิ่งที่ชายหนุ่มอธิบายช้า ๆ โดยละเอียดด้วยความสนใจอย่างถึงที่สุด พร้อมกับดวงตะวันเคลื่อนคล้อยตามเวลาที่หดหายไปทีละนิด หลายชั่วยามผ่านไปความพยายามของทั้งคู่ก็สำเร็จ พวกเขาได้สมุนไพรจนครบตามจำนวนที่พระสนมเจียวจิน้า รอยยิ้มแห่งการรอคอยเผยผสานออกมาพร้อมกัน หลังจากองค์ชายรอง หยิบรากสมุนไพรชนิดสุดท้ายออกมาจากดงไม้ แล้วทำการแยกส่วนของเหิงเยว่ไว้เป็ที่เรียบร้อย
“น้ำเพคะ” เหิงเยว่ยืนน้ำให้ พร้อมกับหยิบผ้าขึ้นซับเหงื่อบนพระพักตร์อย่างอ่อนโยน
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงเร่งพาเหิงเยว่เดินทางกลับก่อนตะวันตกดิน เพราะเขาซงซานยามมิดแสงจะอันตรายกว่าที่คิด สัตว์ป่าดุร้ายต่างพากันออกหากิน นั่นอาจอยู่เหนือการควบคุมของเขา ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะพากันเดินทางกลับนครใหญ่
วันเวลาก้าวผ่านไปได้ไม่นานนัก สำนักฮุ่ยหวงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงลิบในแคว้นเสี่ยนหลิว การเพิ่มมาของศิษย์น้องเล็กอย่างซูเจิน ทำให้ชิงเถามีอะไรทำขึ้นอีกมากมายนัก จากสำนักที่เคยเงียบเหงา วันนี้กลับมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน เขาเวียนปลูกดอกไม้นานาพรรณ เพื่อให้ออกดอกอวดโฉมตลอดทั้งปี ชายหนุ่มใช้อุปกรณ์ทุ่นแรงขุดดินโดยรอบสำนัก หย่อนเมล็ดบัว์ และดอกเมียวลี่ ที่ยามต้องแสงจะส่งกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน
“ดอกเมียวลี่เป็ดอกไม้สีฟ้าอมขาว ข้าหวังว่าศิษย์น้องเล็กจะชอบ นางต้องไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน และรออีกไม่นานสำนักฮุ่ยหวงก็จะเต็มไปด้วยความงามของเหล่าดอกไม้นานาพรรณ ซึ่งเป็ฝีมือของข้า” ชิงเถาปัดดินที่มือออกอย่างภูมิใจ พลางวาดความหวังอย่างสวยงามเอาไว้ว่าซูเจินจะอยู่ที่นี่อีกนานแสนนาน
เสียงการทำอาหารดังอยู่ในครัวไม้ของสำนัก ร่างของชิงจูกำลังง่วนอยู่หน้าเตาฟืน บริเวณรอบ ๆ มีวัตถุเรียบง่ายอยู่ไม่กี่อย่าง เน้นเป็ผักและผลไม้เสียส่วนใหญ่ หญิงสาวใบหน้าบึ้งตึงคล้ายนางร้าย รวมถึงชุดสีดำสนิทที่คลุมกาย กำลังตั้งใจจุดไฟบนเตาตามหน้าที่ พลางหันไปหอบฟืนกองใหญ่มาไว้ด้านข้าง ก่อนเสียงฝีเท้าปริศนาของใครบางคนจะเดินเบา ๆ เข้ามา ชิงจูหยุดฟังครู่หนึ่งพลางเหล่หางตาดู พบกับกายเล็กสวมชุดสีฟ้าครามไสวเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
“ศิษย์พี่ชิงจู ให้ข้าช่วยได้ฤาไม่” น้ำเสียงอ่อนหวานถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คนดุหน้านิ่งไม่ตอบคำถาม หากแต่อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่เป็มิตร
สาเหตุเพราะนางเข้ามาเป็ศิษย์น้องอย่างกะทันหัน ทำให้ชิงจูเก็บความไม่พอใจนี้ไว้ และลงกับนางอยู่เนือง ๆ หลังจากความเงียบของศิษย์พี่ชิงจูแสดงออกว่าไม่ปฏิเสธหรืออนุญาต ทำให้ซูเจินตัดสินใจเดินเข้าไป แล้วหยิบผักที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“ข้าล้างผักให้นะ” ว่าแล้วซูเจินก็หยิบผักจากถ้วยดินเผา นำไปล้างด้านนอก เสียงเทน้ำล้างผักทำให้ชิงจูเริ่มใจอ่อน หลายวันมานี้การมีศิษย์น้องเพิ่มขึ้น ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางตื่นตูม อาจารย์ยังคงเอ็นดูทุกคนเสมอกัน หัวใจแข็งแกร่งดังหินผา ที่เคยคิดว่าซูเจินจะเข้ามาแย่งความรักของอาจารย์ไปนั้น ค่อย ๆ ละลายออกทีละนิด แต่ยังคงวางมาดผู้เป็ใหญ่ไว้ตามนิสัยเดิม ไม่นานนักผักที่พึ่งล้างเสร็จก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะไม้ด้านข้าง
“ศิษย์พี่ข้าผัดผักชนิดนี้เก่งมาก ท่านอยากลองชิมฤาไม่” ดวงตาแป๋วกล่าวถามชิงจูด้วยกิริยานอบน้อม
“อาจารย์ชอบรสมือข้ามาก ดังนั้นหากเ้าคิดว่าอร่อยนัก ก็ผัดกินเองคนเดียวเถอะ” ซูเจินหลุบตาต่ำลงอย่างผิดหวัง หันไปหยิบผักแล้วค่อย ๆ หั่นอย่างบรรจง
“ศิษย์พี่ไม่อยากกินฝีมือของข้า ดังนั้นข้าต้องตามใจนาง ข้าต้องเป็เด็กดีไม่เกเรเอาแต่ใจ เพราะไม่มีผู้ใดในใต้หล้าจะใจดีเหมือนเช่นพี่ลี่เซียนกับท่านยอดฝีมืออีกแล้ว” เมื่อหวนนึกถึง่เวลาเก่าก่อน ซูเจินอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้นางเหม่อลอยอยู่นาน จนเผลอเฉือนนิ้วตัวเองในเสี้ยววินาที
“อ๊ะ!” ซูเจินดึงมีดออกพลางมองนิ้วมือ เห็นเืไหลเป็ทางยาว ก่อนรีบยัดนิ้วใส่ปากเพื่อหยุดเื
“เป็อันใด” สายตาเืเย็นของศิษย์พี่หันมองอย่างเดาความหมายไม่ออก ซูเจินนิ่งเงียบพลางส่ายศีรษะ หากแต่ยังคงดูดนิ้วค้างไว้ เพราะกลัวถูกตำหนิเื่ความประมาท
“ยังจะปฏิเสธอีก ก็เห็นอยู่ว่าเ้าร้องเมื่อครู่” ชิงจูลุกขึ้นแล้วเดินมาหาซูเจินด้วยสายตาแน่นิ่ง ก่อนที่สองเท้าเล็กของหญิงสาวจะถอยออกด้วยความไม่ไว้ใจ
“ยังหั่นผักไม่เสร็จ” ชิงจูเลื่อนสายตามองสิ่งที่ซูเจินทำค้างไว้ พลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ข้าถามว่าเป็อันใด”
“ปะ เปล่า เช่นนั้นข้าหั่นผักต่อนะ” ซูเจินรีบตะเกียกตะกายหันมาหยิบมีด
“หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงเข้มดังจนหญิงสาวสะดุ้งตัว แล้ววางทุกอย่างในมือลง ก่อนอีกฝ่ายจะหยิบมือนางขึ้นสำรวจดู
“นี่เ้าโดนมีดบาดหรอกฤา เป็มากเพียงนี้เหตุใดจึงปกปิด กลัวข้ามากเช่นนั้นเชียวรึ” ซูเจินก้มหน้าลงเล็กน้อย เพราะเสียงแข็งกร้าวราวกับชายของชิงจูทำให้ซูเจินไม่กล้าโต้ตอบ
“เป็ถึงเพียงนี้แล้วยังจะหยิบมีดขึ้นมาอีก เ้าคิดอันใด”
“มีอะไรกัน!” เชิงเถาเข้ามาแล้วเอ่ยถาม พลางดึงตัวสาวงามออกห่างจากศิษย์พี่ใหญ่ พร้อมจ้องมองชิงจูอย่างไม่พอใจ
“เสียงดังออกไปถึงด้านนอก ข่มขู่สิ่งใดให้ศิษย์น้องเสียขวัญอีก”
ชิงจูหันมองร่างของชิงเถาแล้วเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ มองดูใบหน้าของศิษย์น้องอย่างตั้งมั่น ไม่ว่านางทำอันใดย่อมผิดในสายตาเขาเสมอ
“หากข้าข่มขู่เจริง แล้วเ้าจักกล้าทำอันใด”
“นับวันท่านยิ่งเอาแต่ใจ ยึดมั่นความคิดตนเป็ใหญ่”
“ข้าเป็เช่นนี้เสมอมา มิเคยเห็นเ้าเดือดร้อน” ชิงจูพูดพลางเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้
“...” ชิงเถาเบี่ยงหน้าออกไม่อยากตอบโต้
“เ้ากล้าแข็งข้อกับข้างั้นฤา” สองเท้าของหญิงสาวเดินเข้าประจันหน้ากับชิงเถา แล้วถามอย่างท้าทาย ทั้งสองเติบโตมาท่ามกลางสำนักฮุ่ยหวง ถูกอาจารย์อบรมสั่งสอนมาั้แ่วัยเยาว์ ชิงเถาและชิงจูจึงเปรียบเสมือนพี่น้องที่ใกล้ชิดกันอย่างมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาชิงเถามักยอมอ่อนข้อให้ชิงจูเสมอด้วยอายุที่มากกว่า หากแต่หลังจากซูเจินเข้ามา เขาก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้ามิเคยคิดแข็งข้อกับท่าน หากแต่เราไม่ได้มีกันและกันเหมือนก่อน เรามีศิษย์น้องเพิ่มเข้ามา ข้าไม่เห็นความจำเป็ใดที่ต้องกลั่นแกล้งคนสำนักเดียวกัน”
“ใช่สิ ข้าไม่มีความสำคัญเหมือนเช่นก่อน เ้าจึงไม่เห็นหัว”
“ศิษย์พี่ชิงเถา ข้ามิเป็อันใดอย่ามีเื่กันเลย ศิษย์พี่ชิงจูเดี๋ยวข้าหั่นผักที่เหลือให้เสร็จนะ” ซูเจินเห็นท่าไม่ดีจึงกล่าวห้าม แล้วรีบเดินเข้าไปหยิบมีดขึ้นมาเพื่อหั่นผักต่อให้เสร็จสิ้น
“มือเ้าเืออก เหตุใดจึงกล้าหยิบมีด จะให้ข้าดื่มเืเ้าเช่นนั้นฤา” เสียงตวาดของชิงจูดังขึ้น ก่อนซูเจินก้มมองาแของตัวเองแล้วปล่อยมีดออก ขณะเดียวกันชิงเถารีบวิ่งมาคว้ามือนางเพื่อสำรวจาแ ปรากฏเป็ร่องรอยลึก
“ศิษย์น้องเป็ถึงเพียงนี้ ท่านยังตวาดเสียงดังเพราะห่วงตัวเองว่าจะได้ดื่มเื แทนที่จะกล่าวห้ามนาง ข้าเสียแรงนักที่เคยเคารพ” ชิงเถาพูดด้วยโทสะ พลางดึงมือซูเจินออกจากครัวไม้หลังนั้นไป ปล่อยให้ชิงจูอยู่เพียงลำพังเพื่อสงบจิตใจ