ไม่ว่าผิวพรรณดั้งเดิมจะสวยงามเพียงใด หลังจากที่เน่าเปื่อยต่างก็น่าขยะแขยงเหมือนกันทั้งสิ้น ชวนให้สะอิดสะเอียนยิ่งนัก
ไม่แปลกใจที่มีคำกล่าวในศาสนาพุทธเอาไว้ว่า ‘สังขารไม่เที่ยง’
รอยช้ำเืช้ำหนองใช้เวลาเพียงสองสามวันเท่านั้นจึงปรากฏให้เห็นเด่นชัด อีกไม่กี่วันอวัยวะทั้งห้าที่เดิมทีสวยงาม ของเหลวในร่างกายจะไหลออกมาเป็เืขุ่นผ่านทางปากและจมูก ใบหน้าที่งดงามคงไม่ต่างอะไรกับหัวสุกร หลังจากที่ของเหลวไหลออกมาจนหมด เมื่อิัมลายหาย ความงามจะไม่คงอยู่อีกต่อไป ใช้เวลากว่าหนึ่งปีจึงจะเหลือเพียงเถ้ากระดูก
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะพลางหัวเราะขบขัน เขาเดินเยื้องย่างไปนั่งยองมองดูเถ้ากระดูกสีขาวบนพื้น ร่างนั้นสวมอาภรณ์ที่เปียกโชกไปด้วยของเหลวจนไม่อาจมองเห็นเค้าโครงเดิม จากนั้นเหยียดนิ้วชี้เรียวขาวออกไปยังหน้าผากของคนผู้นั้นอย่างประณามเล็กน้อย ปลายนิ้วอยู่เหนือหัวกะโหลกหนึ่งชุ่น[1] พร้อมส่งเสียงหัวเราะ “ชิ ดูสิ ก่อนตายทำไมไม่พยายามเปลี่ยนท่านอนให้มันดูดีเสียหน่อยเล่า ท่านอนตะแคงเช่นนี้ช่างไม่น่าเกรงขามเอาเสียเลย”
สิ่งที่ตอบกลับมีเพียงเสียงลมหวีดหวิวในหุบเขา
เขาลุกขึ้นยืนแล้วจัดเสื้อผ้าบนร่าง เงยหน้ามองพระจันทร์ที่โผล่พ้นออกมา อาทิตย์ยังไม่ทันลาลับ ณ ขอบฟ้า เมฆหมอกห่อหุ้มพระจันทร์ทำให้เปล่งแสงได้ไม่สว่างนัก
เจียงเฉิงเยว่เบ้ริมฝีปาก ไม่สนใจศพนั้นอีกต่อไป เขายืดตัวอย่างเกียจคร้าน จำไม่ได้ว่าเดินทอดน่องที่ก้นหุบเขาอันแสนคุ้นเคยนี้เป็รอบที่เท่าไรแล้ว เมื่อกิจวัตรในทุกๆ วันเสร็จสิ้นเขาจึงเตรียมที่จะกลับ ยามนึกถึงศพนั้นยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้งแล้วกล่าวพึมพำ “ทำไมถึงเป็ข้าที่เจอเื่เช่นนี้ ช่างโชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้ว่ายังต้องเฝ้า ‘ของพรรค์นั้น’ ไปอีกนานเท่าไร”
เดิมทีคิดว่าเป็ค่ำคืนหนึ่ง ทว่าวันนี้กลับมีบางสิ่งผิดแปลกไป
เสียงหวีดหวิวในสายลมยามราตรี เสียงร่ำไห้แ่เบาแว่วมาจากที่ไกลๆ เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาตกตะลึง
เขาตื่นตระหนกอยู่ชั่วครู่ เมื่อตั้งสติได้จึงเดินไปยังทิศทางของเสียงนั้นอย่างอาจหาญ
ไม่นานนักเขามาถึงต้นตอของเสียง เด็กสาวคนหนึ่งมีท่าทีตื่นตระหนก อายุราวไม่เกินสิบปี กำลังกอดขาตนเองอยู่ภายใต้แสงจันทร์ น้ำตาคลอเบ้าทว่าเสียงร้องไห้กลับแ่เบา เจียงเฉิงเยว่รู้สึกชื่นชมเล็กน้อย เวลากลางดึกในสถานที่รกร้างเช่นนี้ เด็กสาวอยู่เพียงลำพังทั้งยังได้รับาเ็ จึงส่งเสียงร่ำไห้อย่างขมขื่นออกมาหรือ?
เขายิ้มแล้วเดินไปหานาง
เด็กสาวดูเหมือนจะััได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงรีบเงยหน้ามอง กลับพบบุรุษหนุ่มชุดขาวสวมเกราะสีเงินผู้มีรูปลักษณ์หล่อเหลาผิดแผกจากคนธรรมดาจากระยะไกล ผมสีดำราวกับหมึกถูกมัดด้วยผ้าคาดศีรษะสีขาวลายน้ำปักด้วยสีเงิน ขาเรียวยาวคู่หนึ่งสวมรองเท้าแพรต่วนสีขาวเงิน กระบอกแขนกับปกเสื้อปักลายดอกไม้สีเดียวกัน แขนขวาวางบนกระบี่ที่เหน็บไว้กับเอวอย่างสบายอารมณ์ ท่ายืนไม่สุภาพนัก ฝ่ามืออีกข้างวางไว้บนเอว บนข้อมือสวมกำไลข้อมือวงหนึ่งซึ่งฝังด้วยเงินบริสุทธิ์กับหยกมันแพะ[2] อย่างละครึ่ง การประดับตกแต่งช่างเรียบง่าย ทว่างดงามจนหาที่เปรียบมิได้ ชุดเกราะบนร่างของคนผู้นั้นเปล่งประกายระยิบระยับจากแสงจันทร์ ชายเสื้อ ปลายผมและผ้าคาดศีรษะปลิวไสวไปตามสายลมยามราตรี ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าเขาเป็มนุษย์อาบแสงจันทร์ ช่างงดงามดั่งเทพเซียน
อาจเป็เพราะอาภรณ์หรูหราบนร่าง หรืออาจเป็เพราะั์ตาดอกท้อ[3] ที่โค้งยามแย้มยิ้มนั้นช่างชวนให้หลงใหล เด็กสาวที่น้ำตานองหน้ามา่เวลาหนึ่งกลับลืมที่จะร้องไห้ไปเสียอย่างนั้น ทำเพียงเหม่อมองไปยังผู้ที่มา
เจียงเฉิงเยว่ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “น้องสาวตัวน้อย ทำไมถึงมาบนูเาคนเดียวตอนกลางดึกเช่นนี้เล่า?”
เด็กสาวจ้องมองในหน้าของเขาอย่างว่างเปล่าครู่หนึ่ง ก่อนนึกได้ว่าต้องตอบคำถาม พลันเบะปากส่งสะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกครา “ข้า ข้า ตอนกลางวันข้าหลงทางในูเา พอฟ้ามืดก็มองไม่เห็นทาง ตกลงมาจากทางลาดชัน ข้าจึงล้มขาหัก ฟ้ามืดอยู่ตัวคนเดียวแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง ฮือๆๆ ”
หลังจากได้ฟังอีกฝ่ายร่ำไห้อย่างน่าเวทนา เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะอย่างขบขัน เดินไปนั่งด้านข้างเด็กสาวแล้วมองไปยังเข่าขวาที่นางกอดเอาไว้ มีรอยแผลขนาดใหญ่อยู่จริง ชุดตรงส่วนน่องเปียกโชก ดูเหมือนว่าเืยังไหลอยู่
เจียงเฉิงเยว่นั่งลง อาศัยแสงจันทร์ในการค้นหาบนพื้นดิน เขาพบพืชชนิดหนึ่ง จากนั้นขยับส่วนปลายของมันออกมา ชี้พลางบอกกับเด็กสาว “น้องสาว เ้าดูนี่สิ”
เด็กสาวมองตามมือของเขา ทว่ากลับไม่เข้าใจ
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยรอยยิ้ม “นี่คือยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง สามารถห้ามเื สร้างเนื้อเยื่อและยังมีฤทธิ์แก้ปวด เ้ามาเก็บจากตรงนี้ไปสักสองสามต้น ใส่ปากเคี้ยวแล้วคายออกมาปิดที่ปากแผล แล้วเ้าจะหายดีในไม่ช้า”
เด็กสาวกระพริบตาคู่โตมอง คลายมือที่กุมเข่าไว้ ดิ้นรนอยู่สักพักทว่ายังลุกขึ้นไม่ได้ “พี่ใหญ่ ข้า ข้าเจ็บขาเหลือเกิน ข้ายืนไม่ไหว”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้ม “ข้าดูให้แล้ว เ้าไม่ได้าเ็ที่กระดูก เพียงาเ็ที่ิัเท่านั้น เ้าสามารถยืนขึ้นได้ ไม่ต้องกลัวเจ็บ”
เด็กสาวร้องไห้แล้วเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ช่วยเก็บให้ข้าได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ให้กำลังใจนาง “ไม่ได้ ยานี้ต้องเก็บด้วยตนเอง ไม่อาจให้คนอื่นทำแทนได้”
เด็กสาวมองเขาอย่างฉงน เห็นใบหน้าจริงใจของเขา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้โกหก จึงอดทนต่อความเ็ป พยายามนำยาสมุนไพรมารักษาาแด้วยตนเองตามคำแนะนำ
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้ามองแสงจันทร์แล้วระบายยิ้มให้นางอีกครั้ง “ดึกเช่นนี้ เ้าออกจากเขาไม่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าคืนนี้เ้าต้องนอนค้างบนูเา เ้ามุ่งหน้าไปอีกไม่ไกลจะมีถ้ำแห่งหนึ่ง โดยรอบมีต้นหญ้าแห้งเหี่ยวมากมาย เ้าเข้าไปแล้วอย่างน้อยยังใช้เป็ที่กำบังลมได้ รอให้ฟ้าสางค่อยลงจากเขา ว่าอย่างไรเล่า อยากไปหรือไม่?”
เด็กสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้า เดินกะเผลกอยู่ด้านหลังเจียงเฉิงเยว่ เขาไม่ได้ประคองนาง ปล่อยให้นางเดินมาอย่างเชื่องช้า
เมื่อเดินมาถึงถ้ำ เด็กสาวค้นพบว่าแทนที่จะเรียกว่า ‘ถ้ำ’ สู้เรียกว่าเป็ช่องในกำแพงหินจะดีกว่ามิใช่หรือ ตื้นเสียจนนอนได้เพียงคนเดียว นางลำบากใจเล็กน้อยก่อนหันไปมองเจียงเฉิงเยว่บ่อยครั้ง
เขายิ้ม “เงื่อนไขมีจำกัด แก้ขัดไปก่อน อย่างน้อยเ้าก็ไม่ต้องไปนอนกลางป่าเขา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ต่างกันก็เถอะ”
เด็กสาวเข้าไปนั่งลงตามคำพูด นอนลงแล้วเอนตัวขึ้นมาอีกครั้ง “พี่ใหญ่ แล้วท่านเล่า?”
“ข้าหรือ?” เจียงเฉิงเยว่ตื่นตระหนก จากนั้นนั่งลงด้านหน้าถ้ำ “พี่ใหญ่จะนั่งอยู่ตรงนี้ กันลมให้เ้าอย่างไรล่ะ”
เด็กสาวขบคิดแล้วถามอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงอยู่บนูเายามดึกเช่นนี้?”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก “พี่ใหญ่...มาจากข้างนอก เข้ามาทีู่เาเพื่อเก็บยา ยังต้องเฝ้าอยู่อีกหลายวัน เ้านอนหลับอย่างสบายใจเถิด หากมีสัตว์ป่าหรืออะไรก็ตาม ข้าช่วยเ้าไล่มันไปได้”
เด็กสาวฟังหูไว้หูแล้วนอนลงโดยไม่พูดอะไรเป็เวลานาน หลังจากนั้นนางค้อมตัวเป็ก้อนกลมก่อนพึมพำ “พี่ใหญ่ ข้าเจ็บ ข้าหนาว”
หลังได้ยินเช่นนี้ เจียงเฉิงเยว่เคลื่อนกายไปทางลม นั่งหันหลังให้นางโดยไม่หันศีรษะมอง น้ำเสียงไพเราะดังแว่วมาจากด้านหน้า เขาคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นพี่ใหญ่จะกันลมให้เ้า ทั้งร้องเพลงให้เ้าฟังก็แล้วกัน”
“ท่านร้องเพลงเป็หรือ?”
“อืม แม่เคยสอนข้าเมื่อนานมาแล้ว”
เด็กสาวอ่อนเพลียเป็อย่างมาก จึงค่อยๆ หลับไปท่ามกลางเสียงเพลงที่แสนนุ่มนวลของเขา
.............................
รุ่งเช้าวันต่อมา เด็กสาวถูกเจียงเฉิงเยว่ปลุกให้ตื่น
“น้องสาว ฟ้าสว่างแล้ว”
เด็กสาวขยี้ตาอย่างง่วงงุน เจียงเฉิงเยว่มองนาง การต่อสู้ระหว่าง์กับมนุษย์เริ่มขึ้นในจิตใจ เขาพยายามระงับถ้อยคำจากริมฝีปาก เพราะกลัวว่าจะทิ้งร่องรอยเงามืดในใจไปชั่วชีวิตของเด็กน้อย เขาลุกขึ้นยืนพลางทอดถอนใจ ชี้ไปทางทิศตะวันออกแล้วบอกกับนาง “เ้ามุ่งหน้าไปตามทางเส้นนี้ ไม่ไกลจะเห็นทางลงเขา ข้าเคยเห็นจากที่สูงมาก่อน ทางลาดที่นั่นอ่อนนุ่ม แม้จะาเ็ที่ขาก็เดินออกไปได้ง่าย พี่ใหญ่ยังมีธุระจึงต้องไปแล้ว”
ระหว่างที่กล่าว เจียงเฉิงเยว่ที่กำลังจะจากไปกลับถูกเด็กสาวเรียกไว้อย่างรวดเร็ว
เด็กสาวบอก “พี่ใหญ่ ท่าน...ท่านไม่ใช่มนุษย์จริงๆ หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ใ หันกลับมาอย่างเชื่องช้า
เด็กสาวกล่าวต่อ “พี่ใหญ่ ท่านต้องเป็เทพเซียนบนเขาลูกนี้อย่างแน่นอน ถูกหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะ กอดอกพร้อมกับพยักหน้าสบายๆ “อืม ก็ประมาณนั้น”
ดวงตาของเด็กสาวเป็ประกาย จ้องมองเขาแล้วพูดอย่างมีความสุข “พี่ใหญ่เทพเซียน ขอบคุณท่าน”
เสียงเรียก ‘พี่ชายเทพเซียน’ ทำให้เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอายขึ้นมา เขาเกาหลังศีรษะพลันหน้าแดง “ไม่ต้องเกรงใจ”
เด็กสาวบอกต่อ “พี่ชายเทพเซียน ข้าขอตอบแทนท่านได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ลังเลอยู่นาน ในที่สุดอดกลั้นไม่ไหว ถามอย่างระแวดระวัง “เช่นนั้น...น้องสาว เ้า...เ้าสามารถ...ช่วยเหลือข้าได้หรือไม่?”
เด็กสาวเดินตามอยู่ด้านหลังเขา เจียงเฉิงเยว่รีบพานางไปบริเวณด้านหน้าศพ นั่งยองพร้อมเงยหน้าขึ้นขอร้อง เกลี้ยกล่อมเสียงอ่อน “น้องสาว เ้า...เ้าอย่ากลัว ช่วยข้าได้หรือไม่? ช่วยข้านำกระดูกศพนี้ไปฝังที ข้า...ข้าหยิบมันขึ้นมาไม่ได้” ขณะที่กล่าว เขาจำไม่ได้แล้วว่าอยากเก็บซากกระดูกบนพื้นขึ้นมาเป็ครั้งที่เท่าไร ทว่าฝ่ามือของเขาทะลุผ่านกระดูกแห้งนี้ไปอย่างง่ายดาย เขาหยิบจับสิ่งใดไม่ได้เลย ร่างศพที่นอนตะแคงอยู่บนพื้นสวมชุดเกราะสีขาวเงิน ถูกอาบย้อมจนมองไม่เห็นลวดลายของเสื้อผ้า กระบอกแขนกับลายน้ำที่ปักด้วยสีขาวเงินตรงชายเสื้อ ส่วนกระดูกแขนขวามีกำไลข้อมือที่ฝังด้วยเงินบริสุทธิ์กับหยกขาววงหนึ่ง แม้มีลวดลายเรียบง่าย ทว่ากลับงดงามเหนือคำบรรยาย
เด็กสาวเข้าใจขึ้นมาทันที ดวงตาของนางเบิกกว้าง สุดท้ายเริ่มกรีดร้องเสียงแหบเสียงแห้ง ไม่สนใจอาการาเ็ที่ขา นางล้มลุกคลุกคลานแล้ววิ่งออกไป
เจียงเฉิงเยว่มองแผ่นหลังของนาง ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แย่เสียแล้ว จะหาคนใจดีมาช่วยเก็บศพต้องยากเพียงนี้เชียวหรือ? เขาเดินกลับไปซ่อนตัวในถ้ำก่อนที่อาทิตย์จะสาดส่องด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นนำกำไลบนข้อมือของตนเองแนบหน้าอกอย่างทะนุถนอม
เจียงเฉิงเยว่เผยรอยยิ้มเหยียดหยามพลางพูด “พี่ซีิ ท่านคงดื่มน้ำเบญจรส[4] ไปนานแล้ว คงลืมข้าไปแล้วกระมัง” ไม่มีผู้ใดตอบกลับ เขาก้มหน้าลงถอนหายใจแ่เบา “เพราะทำเื่ชั่วช้าจึงต้องลงเอยเช่นนี้ แต่ว่าข้า...ไม่เคยเสียใจ”
หลังถ้อยคำสุดท้ายจบลง ในที่สุดพระอาทิตย์ส่องแสงอย่างไม่ว่างเว้น และแล้วร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
.............................
ครึ่งเดือนต่อมา เจียงเฉิงเยว่ผู้ซึ่งจมอยู่กับความสิ้นหวังในถ้ำถูกปลุกด้วยเสียงฝีเท้า เขาสงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไป หรือว่าเป็ภาพหลอนอีกครา ทว่าครั้งนี้เสียงเยาว์วัยนั้นช่างคุ้นเคย ราวกับว่าเป็แสงสว่างที่มาไถ่บาปให้กับนรกขุมลึกอย่างไรอย่างนั้น
“พี่ใหญ่ ท่าน...ยังอยู่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่รีบปรากฏตัวออกมาแล้วตอบด้วยความยินดี “ยังอยู่!”
พอดีเป็่ยามสาย วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีแสงอาทิตย์ส่อง เขาจึงปรากฏรูปลักษณ์ในยามกลางวันอย่างเสียไม่ได้
ดังที่คาดคิด ผู้ที่มาคือเด็กสาวตัวน้อยที่เคยพบกันมาก่อน เด็กสาวสะกดกลั้นความหวาดกลัวเอาไว้แล้วรวบรวมความกล้า ร่างกายยังคงสั่นเล็กน้อย ด้านหลังแบกตระกร้าใบใหญ่ ทว่าตะกร้านั้นใหญ่เกินไปจนแทบจะบดบังร่างของนาง “พี่ใหญ่ ข้า...ข้ากลับไปคิดมาหลายวัน แม้ว่าพี่ใหญ่จะเป็ผี แต่พี่ใหญ่ต้องเป็ผีที่ดีแน่ เพราะท่านไม่ได้ทำร้ายข้า ดังนั้นข้ายังคงตัดสินใจ...ว่าจะตอบแทนท่าน”
เด็กสาววัยสิบปีผู้หนึ่ง พละกำลังย่อมมีขีดจำกัด ใช้เวลาทั้งวันในการพยายามขุดหลุมศพตื้นๆ รอบศพของเขาจนได้ เจียงเฉิงเยว่ถามนางว่าเหตุใดจึงไม่พาใครมา ทว่านางกลับปิดปากเงียบ เจียงเฉิงเยว่จึงไม่ได้ซักถามต่อ
หลังจากขุดหลุมฝังศพเสร็จแล้ว เจียงเฉิงเยว่แทบอดทนรอไม่ไหวที่จะคุกเข่าด้านหน้าหลุม ยื่นมืออย่างรวดเร็วเพื่อหยิบโครงกระดูกของตนเอง อย่างไรก็ตาม ฝ่ามือของเขาทะลุผ่านกระดูกอย่างที่เคย เขาตกตะลึงก่อนลุกขึ้นยืน
ถึงอย่างนั้นเด็กสาวกลับไม่สังเกตเห็น นางใช้ฝ่ามือเล็กของตนเองหยิบกระดูกของเขาอย่างระมัดระวังเข้าไปยังหลุมฝังศพ พยายามจัดวางตามเดิม นางยังอายุน้อยเช่นนี้ ทว่ากระทำการสิ่งใดกลับมีความละเอียดลออ สุขุมรอบคอบนัก
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงนั่งยองเอามือเท้าคางอยู่ข้างกายนาง หลังจากเห็นว่าฝ่ามือของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน อีกทั้งยังยกร่างของเขาที่แม้กระทั่งสีเดิมของเสื้อผ้ายังดูไม่ออก เขาพลันรู้สึกผิดขึ้นมาจึงขอโทษนาง “น้องสาว ข้าขอโทษที่ทำให้มือของเ้าสกปรก”
เด็กสาวส่ายศีรษะ เพียงหยิบกระดูกมือซ้ายของเขาขึ้นมา ทันใดนั้นกลับมีเสียง ‘คลิก’ อาจเป็เพราะกำไลข้อมือนั้น วัสดุคือเงินกับหยกขาวบริสุทธิ์ที่มีน้ำหนักมากเกินไป จึงกดทับกระดูกข้อมือของเขา โดนแดดและฝนมาเป็เวลานานจนเกิดเสียงแตกหัก กำไลพลันกลิ้งไปไกลระยะหนึ่งแล้วหยุดลงเมื่อกระทบกับต้นหญ้า
เด็กสาวใพลางรีบขอโทษ “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ทำฝ่ามือของท่านหัก”
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้มบอก “ไม่เป็ไร ตอนนี้ข้าไม่เ็ปแล้ว”
เด็กสาวนำฝ่ามือของเขาใส่ไปยังหลุมฝังศพอย่างระมัดระวัง เก็บกำไลข้อมือขึ้นมาแล้วสวมให้เขาอีกครั้ง ฉับพลันเจียงเฉิงเยว่รู้สึกเ็ปอย่างรุนแรงในใจ เขาขมวดคิ้วไม่พูดจา รอจนถึงยามที่นางเก็บรวบรวมกระดูกทั้งหมดของเขาอย่างระวังเรียบร้อยพร้อมกลบด้วยกองดินก้อนแรก เจียงเฉิงเยว่จึงเปิดปากเอ่ยห้ามนางทันที “รอเดี๋ยว”
เด็กสาวหยุดมือแล้วมองมาทางเขา
เจียงเฉินเยว่หายใจเข้าลึกๆ ระบายยิ้มแล้วกำชับนาง “น้องสาว เ้านำกำไลบนมือของข้าออกมาเถิด”
เด็กสาวเชื่อฟัง ถอดกำไลออกแล้วสบตากับเขา
ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่เผยความเศร้าโศกพลางยิ้มอย่างขมขื่น “กำไลวงนี้...เป็สิ่งที่สหายเก่าของข้ามอบให้ เขาเคยกำชับให้ข้าทะนุถนอมมันเอาไว้ ข้าจึงคิดว่าไม่ควรฝังให้มันสลายไปพร้อมกับข้า เ้าช่วยข้ามามากแล้ว ข้าอดไม่ได้ที่จะขอบคุณ นี่คือของแทนคำขอบคุณ ข้าอยากขอให้เ้าช่วยเก็บมันไว้ให้ดี หากเป็ไปได้ก็ส่งต่อแก่คนรุ่นหลัง ถนอมมันแทนข้าที อย่าปล่อยให้ขึ้นฝุ่น...ได้หรือไม่?”
เด็กสาวขบคิดชั่วครู่แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น
หลังจากกลบชั้นดินตื้นๆ เสร็จสิ้น ในที่สุดเจียงเฉิงเยว่ก็ได้ ‘พักผ่อนอย่างสงบสุขใต้ผืนดิน’ เสียที เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาโดยพลัน ก่อนกล่าวขอบคุณเด็กสาวครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดเขาถามนาง “น้องสาว ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเ้าเลย”
เด็กสาวบอกอย่างเขินอายเล็กน้อย “ข้า ข้าชื่ออิ๋งเอ๋อร์ พี่ใหญ่ แล้วท่านล่ะ?”
เจียงเฉิงเยว่ใช้เวลานานจึงบอกด้วยความลำบากใจ “ข้าขอโทษ อิ๋งเอ๋อร์ ข้า...ไม่สามารถบอกได้”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย “เช่นนั้น เช่นนั้นข้าจะไม่ถามแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ส่งยิ้มขอโทษ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง อิ๋งเอ๋อร์พูดอีก “พี่ใหญ่ ท่านยังมีญาติคนอื่นอีกหรือไม่? ญาติของท่านรู้ไหมว่าท่าน...อยู่ที่นี่? หากถึงเวลาข้าต้องบอกคนในครอบครัวของท่านให้มาเซ่นไหว้ท่านที่ใดหรือไม่กัน?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเป็เวลานาน ใบหน้าขาวซีดของเขาดูเหมือนจะซีดลงยิ่งกว่าเดิม เขาเผยความเฉื่อยชาเล็กน้อย ส่ายศีรษะอย่างซึมกระทือก่อนทอดถอนใจ “ข้าไม่มีญาติ จะไม่มีใครมาเก็บศพข้า และจะไม่มีใครมาเซ่นไหว้ข้าด้วย”
อิ๋งเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นจึงลุกขึ้นหยิบกระดาษเงินกระดาษทอง ธูปและหมั่นโถวแผ่นบางจากตะกร้าใบใหญ่ที่จัดเตรียมเพื่อเป็เครื่องเซ่นไหว้ออกมา แล้วพูดกับเขา “หากพี่ใหญ่ไม่ถือสา อิ๋งเอ๋อร์จะเซ่นไหว้พี่ใหญ่ในฐานะคนในครอบครัว ขอคำนับพี่ใหญ่ได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ตื่นตระหนก ภายในใจเอ่อล้นไปด้วยความอบอุ่นสายหนึ่ง เขาไม่ได้พยักหน้าทว่าไม่ได้คัดค้าน
อิ๋งเอ๋อร์นับว่าเขาเห็นด้วยแล้วจึงจุดธูป เผากระดาษเงินกระดาษทอง จากนั้นคุกเข่าโขกศีรษะคำนับหน้าหลุมฝังศพของเขาสองสามครั้ง ทันใดนั้นเจียงเฉิงเยว่พลันรู้สึกว่าทั่วร่างของเขาเบาสบาย พร้อมกับที่เงาร่างของเขาจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อิ๋งเอ๋อร์ตกตะลึง จ้องมองไปยังสถานที่ที่เขาเพิ่งจากไปเป็เวลานาน ดูเหมือนว่านี่จะเป็สิ่งที่เหนือความคาดหมาย ทว่านางไม่ได้พูดอะไร ไหนเลยจะคิดว่าหลังจากผ่านไปชั่วครู่ ร่างของเจียงเฉิงเยว่กลับปรากฎขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด กล่าวด้วยความดีอกดีใจ “อิ๋งเอ๋อร์ อิ๋งเอ๋อร์ ข้าลองดูแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะออกจากที่นี่ได้! อิ๋งเอ๋อร์! ข้าขอขอบคุณเ้า! บุญคุณของเ้า...”
เขายังไม่ทันพูดจบ อิ๋งเอ๋อร์กลับหยุดเขา “พี่ใหญ่ นี่นับเป็อะไรได้ อย่าได้พูดเช่นนี้อีก ในเมื่อท่านสามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้ว เช่นนั้นท่านไปเกิดชาติใหม่เสียเถิด ตามหาครอบครัวที่ดีแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างไปชั่วขณะ ในที่สุดก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
หลังจากทั้งสองคนแยกกัน อิ๋งเอ๋อร์เดินกลับหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากูเาใน่โพล้เพล้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทันทีที่เข้าไปยังประตูบ้านนางถูกดุด่าร่ายยาวเป็ชุด ไม่รู้ว่านางแอบไปี้เีที่แห่งใด ถึงไม่ทำไร่ทำนาตลอดทั้งวัน
น้องชายคนสุดท้องบนฝ่ามือของมารดาอายุยังไม่ถึงสองปีกำลังร้องไห้งอแงด้วยความหิวโหย น้องสาวคนที่สามกับน้องชายคนที่สี่กำลังวิ่งเล่นกันในลานกว้าง นางไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากทำงานบ้านเสร็จจึงหาโอกาสแยกจากคนในครอบครัวแอบเข้าไปในห้องเก็บฟืนเพียงคนเดียว จากนั้นหยิบกำไลเงินหยกขาวออกมาจากอ้อมอก เห็นได้ชัดว่ากำไลนั้นใหญ่เกินจะสวมสำหรับนางในตอนนี้ หากบิดามารดาที่ยากจนของนางรู้เื่นี้เข้า ต้องถูกจำนำเพื่อจุนเจือครอบครัวเป็แน่ นางสัญญากับเจียงเฉิงเยว่ไว้แล้ว จะไม่ยอมขายมันอย่างแน่นอน
อิ๋งเอ๋อร์ถอนหายใจ กำลังจะเก็บมันเข้าไปในอกอีกครั้ง ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเห็นว่ากำไลช่างงดงามเสียจริง จึงอดไม่ได้ที่จะสอดมือเล็กผอมแห้งของตนเองเข้าไป
ทันใดนั้น ความเ็ปที่ข้อมือราวกับถูกคมมีดบาด นางส่งเสียงออกมาก่อนโยนกำไลออกไป กำไลเงินหยกขาวส่งเสียงดังกังวานบนพื้น หมุนกลิ้งหลายครั้งและหยุดลงเมื่อกระทบกับฟืน
อิ๋งเอ๋อร์มองที่ข้อมือผอมบางและคล้ำของตนเองอีกครา เครื่องหมายสีแดงสดปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าิัของนางถูกเผาไหม้ ยังส่งกลิ่นหอมแปลกประหลาดออกมาอีก
เหงื่อเย็นผุดบนหน้าผาก นางเหลือบมองเครื่องหมายบนข้อมืออีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะคล้ายทั้งนกและสัตว์ร้าย ราวกับว่ารอยสักรอยหนึ่งสลักลงไปบนิัของนางเสียแล้ว
------------------------
[1] ชุ่น หมายถึง หน่วยวัดความยาวนิ้วของจีน
[2] หยกมันแพะ หมายถึง หยกสีขาวโปร่งใส ปนสีเหลืองอ่อน
[3] ั์ตาดอกท้อ หมายถึง หยกสีขาวโปร่งใส ปนสีเหลืองอ่อน
[4] น้ำเบญจรส หมายถึง น้ำแกงห้ารส มีสรรพคุณลบความทรงจำในอดีตชาติ