หลังจากนั้น สองร้อยหกสิบกว่าปีผ่านไป
ภายในโซ่วหลิงพระนครแห่งประเทศจงซาน บนถนนมีผู้คนพลุกพล่าน ร่างเพรียวบางกำลังจูงเด็กร่างเล็กคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน ช่างดูขัดกันยิ่งนัก คนผู้นั้นสวมชุดสีดำซีด น่าจะผ่านการซักหลายครั้งทำให้ดูเป็ลายหย่อมๆ นักพรตผู้นี้ถือห่อสัมภาระขนาดเล็กที่มีร่มผุพังติดอยู่กับดาบยาวสีดำห้อยลงมาจากเอว แม้ว่าชุดของเขาจะไม่ถึงขั้นขาดรุ่งริ่ง แต่กลับไม่แตกต่างมากเท่าไรนัก เด็กตัวเล็กที่เขาจูงอยู่อายุประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองปี แต่งตัวเรียบง่าย กำลังหันรีหันขวางไปทั่วด้วยความตื่นตาตื่นใจ ราวกับว่าเป็คนบ้านนอกที่ไม่มีความรู้ใดเกี่ยวกับภายในเมือง
พวกเขาทั้งสองดูแตกต่างจากผู้คนที่แต่งตัวหรูหราในเมืองโอ่อ่านี้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น พวกเขาจึงเป็ที่ดึงดูดสายตายิ่ง
นักพรตชุดดำดูเหมือนอายุไม่เกินสิบหกหรือสิบเจ็ดปี ด้วยใบหน้าที่อ่อนวัยแต้มไปด้วยรอยยิ้มอันไร้เดียงสา เขามองไปรอบกายด้วยความตื่นตาตื่นใจเช่นเดียวกัน
“โซ่วหลิงงดงามถึงเพียงนี้” นักพรตทอดถอนใจ
เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านอาจารย์เคยมาที่โซ่วหลิงแล้วไม่ใช่หรือ?”
นักพรตหัวเราะเสียงดัง “นั่นเป็เื่เมื่อหลายปีก่อน”
ทันใดนั้น พ่อค้าหาบเร่หาบด้ามฟางที่เสียบด้วยถังหูลู่[1] จนเต็มเดินผ่านหน้าพวกเขา ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะมองตามด้ามฟางอย่างไม่อาจละสายตา
เด็กน้อยกัดนิ้วอย่างน่าสงสาร “ท่านอาจารย์...”
นักพรตหนุ่มกลืนน้ำลาย ยื่นมือไปด้านหน้าแล้วควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมา จากนั้นวางไว้บนฝ่ามืออย่างลังเลเล็กน้อย เรียกพ่อค้าแล้วถาม “ราคาเท่าไร”
พ่อค้าตอบ “ห้าอีแปะ...”
นักพรตหนุ่มอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นรวบรวมความกล้าเจรจา “สามอีแปะได้หรือไม่?”
พ่อค้ากลอกตาแล้วเตรียมจะจากไป กลับถูกเรียกครั้งที่สอง “สี่อีแปะเป็อย่างไร?”
“จะซื้อหรือไม่ซื้อ!” พ่อค้าเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว ไม่อยากจะสนใจเขา เมื่อเตรียมจะจากกลับถูกเขาคว้าตัวไว้อีก “ห้าอีแปะก็ห้าอีแปะ...”
หลังจ่ายเงินแล้ว นักพรตหนุ่มเลือกไม้ที่ทั้งใหญ่ทั้งมีสีแดงจากด้ามฟางอยู่นานสองนาน จากนั้นดึงออกมาแล้วยื่นให้ถึงมือเด็กน้อย
เด็กน้อยรับมาอย่างยินดียิ่ง แต่กลับยื่นกลับมาที่ริมฝีปากของเขา ”ท่านอาจารย์กินก่อนเถอะ”
นักพรตยิ้มแล้วกัดหนึ่งคำด้วยความพอใจ “ไป้เอ๋อร์ของข้ายังคงเป็เด็กดีเสมอ~”
เมื่อเห็นว่าเขากัดมันเข้าไปแล้ว ไป้เอ๋อร์ดึงกลับมา จากนั้นอ้าปากกว้างแล้วกัดเต็มปากเต็มคำ
จนกระทั่งกินถังหูลู่ใกล้หมด ไป้เอ๋อร์พลันนึกขึ้นได้แล้วถาม “ท่านอาจารย์ ท่านใช้เงินซื้อถังหูลู่ไปหมดแล้ว...คืนนี้เรายังมีเงินพักในโรงเตี๊ยมหรือไม่?”
นักพรตยิ้มเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น “แม้จะไม่ซื้อถังหูลู่ เราก็ไม่มีเงินพักในโรงเตี๊ยมอยู่ดี...”
หลังไป้เอ๋อร์ได้ยินจึงไม่กังวลใจอีก ขณะที่นำถังหูลู่ในมือชิ้นสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวก็ถามต่อ “ท่านอาจารย์ คืนนี้เราจะไปพักที่ใด?”
นักพรตค้นหาไปรอบๆ เห็นขอทานสองสามคนที่ถือชามแตกขอเงินจากคนใจดีอยู่ไม่ไกลพอดี จึงบอกด้วยรอยยิ้ม “โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ เราจะหาที่พักพิงไม่ได้เชียวหรือ?”
ไป้เอ๋อร์ไม่ได้สนใจมากนัก หลังจากกินถังหูลู่หมดแล้ว เขาเขย่าแขนเสื้อของนักพรตแล้วบอก “ท่านอาจารย์ ข้าหิวแล้ว”
นักพรตควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญสุดท้ายในกระเป๋าออกมา “โอ้ ซื้อหมั่นโถวได้พอดี”
“ท่านอาจารย์ แล้วพรุ่งนี้เราจะทำอย่างไรกันดี?”
“เสี่ยงทาย ทำนายดวงชะตา อาจารย์ยังอดตาย แล้วเ้าจะไม่ตายหรือ?”
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะจากไปกลับมีเสียงโห่ร้องจากฝูงชน ผู้คนพลุกพล่านบนถนนพลันหลีกทางให้กับทหารองครักษ์ในชุดเกราะหนักกลุ่มหนึ่ง ตามด้วยกลุ่มนักพรตผู้มีท่าทีสูงส่งราวกับเทพเซียน คนทั้งหมดอายุประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปี ทุกคนล้วนรูปโฉมงดงามโดดเด่นจากฝูงชน ชุดเกราะสีขาวเงิน อาภรณ์สีขาวเช่นเดียวกับพระจันทร์ แขนเสื้อด้านหน้ามีลวดลายน้ำปักด้วยด้ายสีเงิน ช่างทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้จริงเชียว นักพรตชุดขาวกลุ่มนั้นอยู่ในราชรถอันโอ่อ่าซึ่งกำลังแล่นผ่านฝูงชน ภายใต้ผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวนั้นปรากฏให้เห็นเงาลางร่างหนึ่ง เมื่อนักพรตหนุ่มเดินผ่านไป ม่านกลับปลิวไสวไปตามสายลม เผยให้เห็นใบหน้าของชายในรถม้า อายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี รูปร่างผอมบาง มีใบหน้างดงาม ศีรษะสวมมงกุฎสีขาวเงิน กลางหว่างคิ้วรัดด้วยพู่ระย้า พร้อมเครื่องประดับที่เท้าซึ่งประดับด้วยอััญมณีสีแดงทรงหยดน้ำ ราวกับภาพวาดสีแดงชาดที่เปล่งแสงรัศมี ประกอบกับรูปลักษณ์อันนุ่มนวล ไม่เพียงมีความสง่างามที่ยากจะพรรณนา ทว่ายังมีความศักดิ์สิทธิ์แห่งความเมตตาต่อสรรพชีวิตอีกด้วย
“เป็ไป๋เจ๋อจวิน! ไป๋เจ๋อจวิน!!!” ผู้คนโห่ร้องถึงขั้นทำความเคารพแบบเบญจางคประดิษฐ์ไป๋เจ๋อจวินบนถนน ฝูงชนจึงแออัดมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ไป๋เจ๋อจวินมาที่โซ่วหลิง! ดูเหมือนว่าคำสาปของอัครเสนาบดีหลิวจะได้รับการแก้ไขแล้ว!”
“โชคดีนัก ผู้ที่ต้องคำสาปคือท่านอัครเสนาบดี หากเป็คนอื่นคงไม่อาจเชิญไป๋เจ๋อจวินได้อย่างแน่นอน!”
“คำสาปในตัวอัครเสนาบดีหลิวนั้นช่างชั่วร้าย หากไม่เชิญไป๋เจ๋อจวินมาที่นี่ คนอื่นอาจแก้ให้ไม่ได้ พวกเ้าเห็นหรือไม่ว่าทุกวันนี้นักพรตของสำนักเต๋าต่างๆ ในโซ่วหลิงล้วนไม่มีใครที่สามารถแก้คำสาปบนตัวอัครเสนาบดีได้เลย...กล่าวกันว่านักพรตเ่าั้ต่างศึกษาและค้นคว้า แม้แต่คำสาปในตัวอัครเสนาบดีนั้นคืออะไรยังไม่รู้แน่ชัด นับประสาอะไรที่จะแก้มันกันเล่า”
ฝูงชนรอบกายต่างกำลังถกเถียงกันถึงเื่นี้ เกี่ยวกับเื่ของอัครเสนาบดีหลิว
ภายหลังราชรถของไป๋เจ๋อจวินจากไป ในที่สุดถนนที่แน่นขนัดก็ค่อยๆ คลายลง นักพรตจูงเด็กน้อยไปยังที่เดิม เฝ้าดูกลุ่มนักพรตในชุดขาวจากไป จากนั้นครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
ไป้เอ๋อร์ที่ถูกเขาจูงมืออยู่นั้นเขย่าแขนพลางพูด “อาจารย์ ท่านอาจารย์”
นักพรตจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาก้มลงแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เป็อะไรไป?”
ไป้เอ๋อร์ตัวน้อยถาม “ไป๋เจ๋อจวินคือใคร ทำไมคนเ่าั้ถึงคุกเข่าให้กัน?”
ก่อนที่นักพรตจะทันตอบ คนข้างๆ เขากลับตอบทันควัน “เฮอะ หากกล่าวถึงไป๋เจ๋อจวิน ทุกคนในใต้หล้านี้ล้วนรู้จักนะสหายตัวน้อย”
นักพรตเดินตามเสียงไปกลับเห็นชายหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหลาสวมชุดคลุมยาวเรียบง่าย ซึ่งดูเหมือนเครื่องแบบของสำนักใดสักแห่งหนึ่ง อีกฝ่ายจ้องมองมาที่พวกเขาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่นักพรตจะตอบกลับ ไป้เอ๋อร์ตัวน้อยที่อยู่ข้างกายเขารีบถาม “เขาเก่งกาจมากใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มแล้วบอก “ ‘ไป๋เจ๋อจวิน’ ได้รับการยอมรับเป็นามของนักพรตที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้า เ้าว่าทรงพลังหรือไม่เล่า?”
เด็กน้อยแลบลิ้น “แต่เขายังดูเด็กมากอยู่เลยนี่นา”
ชายหนุ่มกำลังจะตอบ ทว่านักพรตกลับยิ้มให้ศิษย์น้อยของเขา “ไป้เอ๋อร์ เ้าคงลืมไปแล้ว อาจารย์เคยบอกเ้าแล้วไม่ใช่หรือว่านักพรตที่ก้าวข้ามปราณเมฆาและหลอมรวมปราณทองจะสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของพวกเขาได้? นักพรตในสำนักเต๋าไม่อาจวัดอายุจากที่เห็นภายนอกได้อย่างถูกต้องหรอก”
ไป้เอ๋อร์ ศิษย์ตัวน้อยของเขายังไม่ทันได้ตอบอีกครา ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายกลับมองไปที่นักพรตด้วยสีหน้าประหลาดใจ พลางประสานมือแล้วถาม “ท่านผู้นี้...เป็สหายนักพรตหรือ? ก่อนหน้านี้คงกักตนเข้าฌานใช่หรือไม่?”
ถ้อยคำนี้ช่างแปลกนัก นักพรตคำนับกลับแล้วถาม “สหายนักพรต หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้นี้คือฉวีซู ไป๋เจ๋อจวินรุ่นที่ห้า โดดเด่นในหลิงเยว่เฟิง...เขาคืออัจฉริยะที่หาได้ยากอย่างแท้จริงในรอบหนึ่งพันปีของสำนัก เขาเกิดในสำนักที่ไม่ธรรมดา เดิมทีเป็เพียงคนงานในสำนักจงหลีซาน จากนั้นอาศัยอิทธิพลที่ได้อยู่ในสำนักจงหลีซานฝึกฝนด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้นภายในเจ็ดปีเขากลับสามารถทะลวงผ่านปราณเมฆา อายุยังไม่ทันยี่สิบก็เอาชนะหนีรั่วหลี ศิษย์เอกของสำนักจงหลีซาน เขาจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาในทันใด สร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งใต้หล้า ดังนั้นอายุปัจจุบันของเขา จึงไม่ต่างจากรูปลักษณ์ที่ได้เห็นมากนัก”
นักพรตตกตะลึงไปเช่นกัน กล่าวอย่างไม่เชื่อถือ “เจ็ดปีในการทะลวงปราณเมฆา? นี่...เป็ไปได้จริงหรือ!”
ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเคารพ “เป็เื่จริงอย่างแน่นอน ผู้คนล้วนทราบกันดี เช่นนั้นจะเป็เื่หลอกลวงได้อย่างไร?”
นักพรตเดาะลิ้น “นี่เป็...คุณสมบัติเซียนที่หาได้ยากในรอบพันปีเสียจริง!”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “ใช่ไหมล่ะ ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูที่ทะลวงปราณเมฆาในเจ็ดปี กับจักรพรรดิเจาอู่ผู้บ่มเพาะแปดสิบเอ็ดปีกลับผ่านด่านเคราะห์...หาได้ยากที่จะพบแม้เพียงสักครั้งในรอบพันปี แต่ในหลายร้อยปีนี้กลับปรากฏถึงสองคน...แก่นิญญาช่างมีความสำคัญมากจริงเชียว ระหว่างผู้คนก็...หาที่เปรียบมิได้อีกแล้ว” เมื่อกล่าวออกมา อีกฝ่ายส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“จักรพรรดิเจาอู่…” นักพรตขมวดคิ้ว ราวกับกำลังรวบรวมความทรงจำอันยาวนานในความคิด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คุ้นนามของคนผู้นี้
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง “สหายนักพรต ท่านคงมิได้ไม่รู้จักจักรพรรดิเจาอู่หรอกนะ? ท่าน...นี่ท่านกักตนเข้าฌานมานานเท่าไรแล้ว?”
“เอ่อ...” นักพรตหนุ่มกำลังจะอธิบาย ทว่าไม่ไกลนักกลับมีคนสองสามคนที่แต่งตัวธรรมดาดูเรียบง่ายเหมือนกันกับชายหนุ่มตรงหน้าะโเรียก “ศิษย์พี่อี้! ท่านกำลังทำอะไรอยู่ตรงนั้่น อาจารย์ลุงสวีเรียกแล้ว!”
“โอ้ ข้ามาแล้ว!” ชายหนุ่มในชุดธรรมดารีบตอบ จากนั้นหันมาหานักพรตที่อยู่ตรงหน้า ประสานมือของตนอีกครั้ง “สหายนักพรตท่านนี้ ข้าน้อยนามอี้จื่ออี เป็ศิษย์ของปรมาจารย์สวินเอ๋อแห่งสำนักไท่ซื่อซาน วันนี้พบกันนับเป็วาสนา”
นักพรตหนุ่มรีบประสานมือของเขาตอบแล้วกล่าว “ข้าน้อย...พูดแล้วช่างน่าละอาย ข้าเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา นามหลินอวิ๋น”
ชายหนุ่มที่มาจากสำนักมีชื่อเสียงตรงหน้าไม่ถือสา เขาหัวเราะอย่างเบิกบานสองสามครั้งแล้วตอบ “ที่แท้คือพี่หลิน ข้ากับพี่หลินมีวาสนาต่อกัน แต่วันนี้ข้ามีธุระสำคัญที่ต้องทำ หากคราวหน้ามีวาสนาได้เจอกัน ย่อมต้องต่อบทสนทนากับพี่หลินอีก”
หลินอวิ๋นรีบเอ่ย “พูดได้ดี พูดได้ดี คุณชายอี้รีบไปเถิด”
ศิษย์ร่วมสำนักของอี้จื่ออีที่อยู่ด้านนั้นกระตุ้นเขาอีกสองสามคำ อี้จื่ออีตอบกลับแล้วรีบไล่ตามไป
หลังจากร่างของเขาหายไปแล้ว ไป้เอ๋อร์จับมืออาจารย์ของตนแล้วถาม “ท่านอาจารย์ ‘ไป๋เจ๋อจวิน’ อะไรนั่นมีมากหรือไม่?”
หลินอวิ๋นหันมาหาพลางบอกด้วยรอยยิ้ม “อืม ‘ไป๋เจ๋อจวิน’ เป็ชื่อเรียก ไม่ได้เจาะจงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตามข่าวลือ ่ก่อนราชวงศ์จงซานในปัจจุบันคือซีเฉียน ก่อนที่ซีเฉียนจะเสด็จขึ้นครองราชย์ได้พบนักพรตผู้มากความสามารถคนหนึ่งซึ่งช่วยชีวิตเขาไว้หลายครา พร้อมทูลต่อพระองค์ว่าทรงมีรูปลักษณ์ดั่งจักรพรรดิ เวลาต่อมา จักรพรรดิซีเฉียนผู้สถาปนาได้ขึ้นครองราชย์ จึงใช้เกียรติแห่งจักรพรรดิก่อตั้งซีเฉียน ภายหลัง ใจของเขาที่ซาบซึ้งในบุญคุณของนักพรตผู้นั้น้าตอบแทน ทว่าในหมู่นักพรต เงินทอง อำนาจหรือผลประโยชน์อันงดงามดั่งบุปผา เดิมทีหาไม่ยากนัก เมื่อแต่งตั้งให้เขาเป็ราชครู เขาย่อมไม่ยินยอม เนื่องจากเขาปรารถนาเป็เพียงเซียนเท่านั้น
ในสมัยโบราณ มีสัตว์มงคลไป๋เจ๋อ[2] ซึ่งรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง ณ ตอนนี้เป็สัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง เพื่อโปรดนักปราชญ์...ในที่สุดปฐมจักรพรรดิแห่งซีเฉียนในราชวงศ์ก่อนจึงมอบฉายา ‘ปรมาจารย์ผู้พิทักษ์ไป๋เจ๋อจวิน’ ให้กับคนผู้นี้ เพื่อแสดงบารมีที่ให้ความช่วยเหลือจักรพรรดิ และหวังว่าสักวันหนึ่งจะกลายเป็เซียน คุ้มครองความเจริญรุ่งเรืองของประเทศซีเฉียนอย่างแท้จริง...ผลลัพธ์คือฟ้าไม่เป็ไปตามใจปรารถนา ่เวลาไม่ถึงสองร้อยปีซีเฉียนพลันเปลี่ยนราชวงศ์ แม้ว่าซีเฉียนจะล่มสลาย แต่ชื่อของ ‘ไป๋เจ๋อจวิน’ ยังคงอยู่ ภายหลังถูกใช้เรียกนักพรตที่มีชื่อเสียงของสำนักเต๋าในใต้หล้า”
ไป้เอ๋อร์ฟังด้วยความเพลิดเพลินแล้วถาม “ถ้าเช่นนั้น...สุดท้ายแล้วไป๋เจ๋อจวินผู้นั้นกลายเป็เซียนอย่างนั้นหรือ?”
หลินอวิ๋นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ถอนหายใจแ่เบาแล้วตอบ “บรรลุเป็เซียนเต๋าจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร? ว่ากันว่าเขาล้มเหลวจากการประสบด่านเคราะห์...ต่อมาชื่อ ‘ไป๋เจ๋อจวิน’ ได้รับการสืบทอดโดยศิษย์ของเขา”
ไป้เอ๋อร์ถอนหายใจ “เหล่าผู้คนรอบข้างไป๋เจ๋อจวินก็สง่างาม แต่งตัวดี...”
หลินอวิ๋นกล่าว ”เ้ากำลังพูดถึงชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์ลวดลายแม่น้ำรั่ว[3] ใช่หรือไม่ อาภรณ์ที่มีลวดลายน้ำไหลของแม่น้ำรั่ว ปักด้วยด้ายเงินเป็เครื่องหมายของไป๋เจ๋อจวิน ชายหนุ่มเ่าั้ที่สวมชุดคลุมสีขาวล้วนคือองครักษ์ของเขา บนชุดของไป๋เจ๋อจวินมักจะปักด้วยสัญลักษณ์ของสัตว์เทพไป๋เจ๋อ”
“โอ้...” ไป้เอ๋อร์ตอบ ทันใดนั้นกลับมีเสียงดังโครกครากในท้องของเขา เขาหน้าแดงอย่างรวดเร็วแล้วเอามือกุมท้อง
หลินอวิ๋นระบายยิ้มตอบ “หิวแล้วหรือ?”
ไป้เอ๋อร์พยักหน้าอย่างน่าสงสาร
หลินอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปซื้อของกินกันเถอะ หลังกินข้าวเสร็จ อาจารย์จะพาเ้าไปหาที่นอน”
.............................
เมื่อตามกลุ่มขอทานไป หลินอวิ๋นรีบพาไป้เอ๋อร์ไปยังซากวัดทางตะวันออกของเมืองซึ่งสามารถใช้เป็ที่พักโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย น่าเสียดายนัก ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคนที่้ากระเบื้องเพื่อคลุมศีรษะภายในซากวัดแห่งนี้ หลังจากหลินอวิ๋นพาไป้เอ๋อร์มาถึงก็มืดเสียแล้ว คนไร้บ้านจากทั่วทั้งเมืองไป๋รื่อต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ หลังหาพื้นที่ของตัวเองแล้วปูเสื่อขาดๆ ก็สามารถนอนได้แล้ว หรืออาจถึงขั้นนอนบนพื้นโดยตรง ภายในซากวัดปรักหักพังนี้แน่นขนัดจนย่างเท้าเดินได้ลำบาก
“เอ่อ...ขออภัย...” หลินอวิ๋นกระแอมในลำคอแล้วเงยหน้าขึ้นถามด้วยความเคารพ “ข้าน้อยกับลูกศิษย์ของข้า้าอาศัยอยู่ที่นี่สักคืน...ไม่ทราบว่าพี่ชายทุกท่านสะดวกหรือไม่?”
ห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยขอทาน พวกเขาคร่ำครวญ พูดคุย นอนกรน หรือแย่งสิ่งของด้วยความดีใจ จึงไม่มีใครตอบกลับ และโดยธรรมชาติแล้วจะไม่มีใครยอมย้ายลงมาเพื่อให้พื้นที่กับพวกเขา
“ขออภัย ขอค้างสักคืนได้หรือไม่?” หลินอวิ๋นกัดฟันถามอีกครา
คนกลุ่มนั้นทำราวกับว่าไม่ได้ยิน หลังจากรออยู่เป็เวลานานมีคนพูดติดตลก “ข้างในไม่มีที่แล้ว...เ้าอยากจะค้างคืนก็ค้างที่หน้าประตูเถอะ...” มีเพียงเสียงเยาะเย้ยแหบแห้งที่คล้อยตามมา
ทุกคนคิดว่าหลินอวิ๋นอาจเกิดโทสะ หรือไม่ก็หันหลังกลับและจากไป แต่ชายหนุ่กลับยิ้มแล้วพูด “เช่นนั้นก็...ขอบคุณมาก” ขณะที่กล่าวเขาโบกมือให้เด็กที่อยู่ด้านข้างพร้อมสั่ง “ไป้เอ๋อร์ ช่วยหน่อย” แล้วทั้งสองก็รีบหยิบฟูกผุพังออกจากตะกร้า จากนั้นนำมาปูที่ใต้ชายคา
่เวลานี้ พวกตัวจับเห็บเหาในห้องค่อยๆ หันศีรษะมามองนอกประตูด้วยความประหลาดใจ
ขอทานที่ตอบคำถามของเขาก่อนหน้านี้กอดอกแล้วเดินออกมา เขามองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม แล้วหันไปพูดกับคนตัวใหญ่ตัวเล็กที่กำลังนอนสบายอยู่ใต้ชายคาใต้ผ้าห่มผืนบาง “ดูเหมือนว่าคืนนี้ฝนจะตก!”
หลินอวิ๋นมองตามสายตา พยักหน้าเห็นด้วยและตอบ “ใช่แล้ว” เขายังคงลูบไป้เอ๋อร์ที่นอนอยู่ข้างใน กล่อมเด็กน้อยให้นอนหลับ
ขอทานใพลางตอบ “เ้าหนู เ้าคงไม่ใช่คนโง่หรอกกระมัง? ชายคาสามารถบัง ‘เตียง’ ของเ้าได้มากสุดก็แค่เพียงครึ่ง พวกเ้าจะนอนตากฝนข้างนอกตอนกลางคืนหรือ?”
หลินอวิ๋นตกตะลึง “พูดได้มีเหตุผล” จากนั้นเขาลุกขึ้นมาหยิบร่มที่ชำรุดอีกคันออกมาจากตะกร้าที่ผุพังวางไว้ด้านข้าง กางมันบังศีรษะเพียงครึ่งหนึ่งของเขา “เช่นนี้ก็ใช้ได้แล้ว”
ขอทานจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่าไร้คำพูดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายได้แต่เพียงก่นด่าแล้วเดินเข้าไป ไม่สนใจพวกเขาอีก
ตามที่คาดเอาไว้ ฝนเริ่มตกในตอนกลางคืน ยังดีบนที่นอนของไป้เอ๋อร์ถูกชายคาบังเอาไว้ แต่หลินอวิ๋นนอนอยู่ด้านนอกสายฝนเย็นยังคงตกบนใบหน้าของเขาจากรอยรั่วของร่มที่พัง เขาลืมตาขึ้นเล็กน้อย พลางลูบไป้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง อุณหภูมิความร้อนในร่างกายของเด็กน้อยยังคงร้อนจนเดือนพล่าน หลินอวิ๋นยิ้ม แล้วยื่นมือบังน้ำให้พวกเขาทั้งสอง
เขานอนตะแคง จึงเผยให้เห็นร่องรอยสีดำราวกับรอยต้องสาปบนไหปลาร้า หลินอวิ๋นรวบผ้าห่มผืนบางบนร่างของเขา จากนั้นพลิกตัวมาโอบไป้เอ๋อร์ เตาผิงน้อยคนนี้ไว้ในอ้อมแขน เขาเตรียมจะหลับ หลังจากนั้นไม่นานกลับได้ยินเสียงฝีเท้า่สะลึมสะลือ ขอทานที่พูดกับพวกเขาเมื่อพลบค่ำคนนั้นขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างแข็งกระด้าง “นักพรตน้อย”
------------------------
[1] ถังหูลู่ หมายถึง ผลไม้เคลือบน้ำตาล
[2] สัตว์มงคลไป๋เจ๋อ หมายถึง สัตว์ในตำนานของจีนโบราณ พูดและเข้าใจความรู้สึกของทุกสรรพสิ่ง
[3] แม่น้ำรั่ว หมายถึง แม่น้ำที่อยู่ทางเหนือของคุนหลุน