ลำดับต่อมาย่อมไม่ใช่เื่ใดอื่นนอกเสียจากทุกคนซึ่งยืนอยู่ในลานบ้านต้องเข้ามาแนะนำชื่อแซ่ของตนกับหลิ่วจิ้งบอกข้อมูลของตนแก่ฮูหยินคนใหม่ว่าบ้านช่องอยู่ที่ใดและแต่ละคนทำหน้าที่พื้นฐานใดบ้างหลิ่วจิ้งรีบจดจำชื่อของแต่ละคนเอาไว้ในหัวอย่างรวดเร็วเพื่อคราวหน้าเมื่อได้พบพวกเขาจะได้ไม่จำชื่อใครผิด
หลังจากฟังจบแล้วหั่วอี้ก็ถูกกษัตริย์แห่งชางอี้เรียกตัวไปเข้าเฝ้าฯ บอกว่ามีเื่ต้องหารือกับเขา
หั่วอี้กลับห้องไปเปลี่ยนชุดเข้าเฝ้าฯ ที่เพิ่งตัดมาใหม่สวมร้องเท้าทรงสูงลายเมฆา ทั้งตัวมองดูแล้วยิ่งสง่างามหล่อเหลากว่าเดิมมากมายนัก
หลิ่วจิ้งอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพออกไปเมื่อใดจะกลับมาหรือเ้าคะ?”
หั่วอี้ยิ้มอยู่เงียบๆ “ฮูหยินอาลัยสามีหรือ?”
นางถูกเขากระเซ้ากลับมาเพียงคำเดียวใบหน้ายิ่งร้อนผ่าวขึ้นมาอีกอย่างกับว่าเพิ่งตักขึ้นมาจากกระทะน้ำมันเช่นนั้น นางเหลือบตามองเขาหนหนึ่ง“ท่านแม่ทัพรีบๆ ไปเถิดเ้าค่ะ คนจากในวังรออยู่ข้างนอกนานแล้วประเดี๋ยวล่วงเลยเวลา ผู้ที่จะเสียหน้าก็มีแต่ท่านเท่านั้น”
หั่วอี้ขยับตัวเข้ามาในชั่วพริบตาขืนรั้งเอวบางดังใบหลิวของหลิ่วจิ้งเข้ามาโอบไว้ อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้“เอวของฮูหยินช่างบางนักรอสามีกลับมาเข้าห้องหอคืนนี้ค่อยกอดรัดเชยชมให้ถี่ถ้วนสักครา”
“ท่าน!” หลิ่วจิ้งกำลังจะเอื้อมมือไปตีเขาแต่กลับพบว่าแรงที่เอวคลายลง และคนผู้นั้นก็ออกจากห้องไปด้วยฝีเท้าแ่เบาเสียแล้ว
เขาปิดประตู ออกไปทั้งรอยยิ้มจนตาโค้ง
หลิ่วจิ้งโกรธจนยืนกัดฟันอยู่กับที่ ต้องโทษที่ตนเองไม่ได้ความ!เหตุใดฟังแค่คำกระเซ้าก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมาง่ายดายอย่างนี้เห็นทีว่าพอเจอหั่วอี้คราวหน้า จะต้องทาแป้งหลายๆ ชั้นเข้าไว้ จะได้ไม่เห็นหน้าที่เปลี่ยนสีและถูกเขากระเซ้าเช่นครั้งนี้อีก
นางไตร่ตรองอยู่ในใจ
เท้าหน้าของหั่วอี้เพิ่งก้าวออกไป ยามเท้าหลังจะก้าวตามพ่อบ้านก็มาเรียกหลิ่วจิ้ง ไปดูสมุดบัญชีของจวนแม่ทัพ
นางถอนใจคำหนึ่ง แต่ก็ยังตามเขาออกไป
หลังจากวันนี้ไปคงยากจะมีวันเวลาที่ผ่อนคลายสบายใจอีกแล้วรอจนคุ้นเคยกับพื้นที่และสิ่งต่างๆ ในแคว้นชางอี้เสียก่อน ยามนั้นนางคงจะเตรียมแผนการหนีได้แล้ว
“ฮูหยินขอรับนี่คือกุญแจห้องเก็บบัญชีที่ท่านแม่ทัพมอบให้ท่านขอรับดอกสีทองข้างบนคือกุญแจห้องเก็บบัญชี ส่วนสีดำคือกุญแจคลังเก็บของและยังมีดอกสีเขียวอ่อนก็คือกุญแจของเรือนหลังขอรับ”
หลิ่วจิ้งถามว่า “ในคลังเก็บของมีสิ่งใดอยู่หรือ?”
“เรียนฮูหยินคลังเก็บของโดยทั่วไปแล้วเป็ที่เก็บของสำคัญมีค่าที่บรรดาแขกจากต่างเมืองมอบให้ท่านแม่ทัพและยังมีของที่ได้รับพระราชทานมาจากในวังด้วยขอรับ”
อ้อ นางเข้าใจแล้ว พูดให้ง่ายๆ คลังเก็บของก็คือคลังทองคำของจวนแม่ทัพนั่นเอง!
นางจึงบอกว่า “เช่นนั้น ท่านก็พาข้าไปเดินดูในคลังเก็บก่อนเถิดใช่แล้ว จะให้เรียกท่านว่าอะไรดีเ้าคะ?”
พ่อบ้านหวังได้ยิน หลิ่วจิ้งเรียกขานเขาอย่างเคารพก็ตกอกใยกใหญ่จนต้องนั่งลงคุกเข่าขอความปราณี อายุอานามเพียงนี้แล้ว เขาจึงทนรับกับความตื่นใไม่ไหว
หลิ่วจิ้งเห็นแล้วยังนึกว่าเกิดเื่ใดขึ้น นางรีบพยุงเขาเอาไว้ถามว่า “นี่ท่านทำอะไร? รีบลุกขึ้นมาพูดจากันดีๆ เถิด”
“ฮูหยิน ท่านเรียกบ่าวว่าพ่อบ้านก็เป็พอแล้วขอรับอย่าทำให้บ่าวต้องอายุสั้นเลยขอรับ”
“ได้ๆๆ ข้าเพิ่งจะมาจากต้าเว่ยบางครั้งบางคราวจึงมีความคุ้นเคยที่ยังแก้ไม่ได้ ข้าจะค่อยๆ แก้ คราวหลังยามเจอข้าท่านก็อย่าได้เอะอะก็คุกเข่าลงนะ เพราะจะทำให้ข้าอายุสั้นเช่นกัน”
“ขอรับ ฮูหยิน” พ่อบ้านลุกขึ้นแล้วเดินนำหลิ่วจิ้งไปที่คลังเก็บของส่วนในใจนั้นกลับรู้สึกยอมรับในสายตาของหั่วอี้เป็อย่างยิ่งเพราะฮูหยินผู้นี้มีความเป็ฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพของเขาจริงๆ
หลิ่วจิ้งเดินตามพ่อบ้านหวังไปที่คลังเก็บของและห้องเก็บสุมดบัญชีแค่สองที่ก็ใช้เวลาไปสองชั่วยามแล้ว ส่วนเรือนหลังที่จะต้องไปอีก นางกลับบอกว่านางเดินไม่ไหวแล้วจึงเข้าไปพิงอยู่กับูเาเทียมในลานเรือนหลังพักหอบสักหน่อย
นางพูดพลางส่ายหัวว่า “ไม่ไปแล้ว ไม่ไปแล้ว พ่อบ้านหวัง พวกเราพักก่อนเถิดวันนี้ข้าไปดูเรือนหลังไม่ไหวแล้ว วันหลังพวกเราค่อยหาฤกษ์งามยามดีไปดูเถิด”
พ่อบ้านหวังดูอาการของหลิ่วจิ้งแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรรู้สึกเพียงว่า ฮูหยินผู้นี้พูดจาไม่เหมือนกับสตรีในชางอี้ของพวกเขานางมีอารมณ์ขันและไม่วางอำนาจ ไม่ว่าเขาฟังอย่างไรก็รู้สึกสบายใจ
“เช่นนั้นก็เอาเถิด หากฮูหยินเหนื่อยแล้วบ่าวก็จะส่งฮูหยินกลับไปพักที่ห้องนะขอรับ” พูดถึงตรงนี้พ่อบ้านหวังก็นึกเื่หนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ฮูหยินขอรับทุกครั้งที่มีคนมาเพิ่มในจวน ท่านแม่ทัพจะสั่งให้ปรับเปลี่ยนการทำงานของสาวใช้คราวหนึ่งวันนี้ก่อนที่ท่านแม่ทัพจะไปยังกำชับไว้เป็พิเศษว่าให้บ่าวพาท่านไปเลือกสาวใช้สองสามคนที่ท่านพอใจเอาไว้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายท่านขอรับ”
หลิ่วจิ้งใคร่ครวญว่าเื่ของสาวใช้นับเป็ภารกิจสำคัญใหญ่หลวงหากเลือกคนที่มีไหวพริบสักหน่อยมาคอยเป็ผู้ช่วยข้างกายนางเมื่อจะทำเื่ลักไก่ขโมยหมา [1] ใดๆ ในวันหน้าก็จะได้จัดการได้ง่ายแต่หากเลือกคนที่โง่เง่าไร้ปัญญามาดูแลนางก็ไม่แน่ว่าด้วยอุปนิสัยเช่นนางนี้มิสู้ไปมาคนเดียวยังจะสบายกว่า
เมื่อคำนึงถึงชีวิตความเป็อยู่ที่ดีของตนเองในภายภาคหน้าหลิ่วจิ้งก็ยังเลือกจะฝืนขาที่ทั้งปวดทั้งเมื่อยตามเดินตามพ่อบ้านหวังเดินไปเดินมาอีกสองสามชั่วยาม
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า จวนแม่ทัพของหั่วอี้ใหญ่โตเอาการจริงๆกระทั่งใหญ่กว่าจวนหลิ่วของนางหลายเท่าตัวนักต้องรู้เสียก่อนว่าจวนราชครูก็ใช่ว่ามีพื้นที่เล็กน้อย แต่พื้นที่ในจวนของเขายังกว้างใหญ่กว่าเสียอีกไม่ว่าจะพูดอย่างไรสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เห็นว่าพระเมตตาที่กษัตริย์แห่งชางอี้มีต่อเขานั้นมากมายเพียงใด
นางนึกถึงท่าทีผยองรุกไล่ของเขาในงานเลี้ยงคืนนั้นไม่ว่าที่ทำต่อทั่วป๋าเจิ้งซึ่งเป็ฮ่องเต้หรือทั่วป๋าฉางซึ่งเป็ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงเขาก็ไม่ได้มีท่าทียำเกรงเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากว่า…
ช่างเถิด ตอนนี้นางจะมีเวลาไปขบคิดเื่เหล่านี้ได้ที่ไหนกัน?
หนี้แค้นของบ้านตนยังไม่สิ้นนางยังจะมีแก่ใจไปคิดเื่ความรู้สึกระหว่างชายหญิงได้อย่างไร?
หลิ่วจิ้งสะบัดหัวด้วยความรุนแรง หวังให้ตนมีสติขึ้นมาสักหน่อย
เมื่อมาถึงเรือนหลังซึ่งเป็ที่ดูแลจัดการผู้คนในเรือน สาวใช้บ่าวไพร่ที่อยู่ที่นี่พบนางล้วนพากันก้มหน้าคำนับกล่าวว่า “คารวะ ฮูหยิน”
“อืม” นางพยักหน้า
เมื่อปรายตาไปกลับเห็นว่าฮูหยินใหญ่นางจ้าวก็กำลังเลือกสาวใช้อยู่ในเรือนหลังเช่นกันนางจึงเดินเข้าไปหา
“ฮูหยินใหญ่ ช่างบังเอิญนัก”
นางจ้าวเห็นนางเป็ฝ่ายเข้ามาทักทายปราศรัยจึงไม่ได้ระวังวางท่าอีก นางโน้มเอวลงคำนับ “คารวะ ฮูหยิน”
“เ้าก็มาเลือกสาวใช้ที่เรือนหลังนี่เช่นกันรึ?”
นางจ้าวมองพ่อบ้านหวังข้างหลังนางยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “อนุได้ยินทหารข้างกายท่านแม่ทัพบอกว่าครานี้ท่านแม่ทัพมีชัยกลับมาจากาฝ่าาจึงพระราชทานสาวใช้ชุดใหม่ให้แก่ท่านแม่ทัพ ข้าจึงมาเลือกหาดูคนที่ถูกใจไม่คิดว่าจะได้พบกับฮูหยินที่นี่เ้าค่ะ”
หากนับกันตามฐานะและรุ่นอายุของนางจ้าวไม่ว่าจะเป็บ่าวหรือพ่อบ้านแม่บ้านในจวน เมื่อได้พบนางก็ล้วนเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่ได้โดยไม่ต้องมีข้อกังขาแต่เวลานี้หั่วอี้แต่งภรรยาเอก จึงเป็การบอกกล่าวกลายๆว่าคำว่าฮูหยินนี้ไม่ได้เป็ของนางอีกต่อไป คิดได้ดังนี้ นางจึงทึ้งปลายแขนเสื้อตัวเองอยู่เงียบๆ
หลิ่วจิ้งกลับไม่เห็นอาการเล็กๆ น้อยๆ ของนาง เพราะจิตใจกำลังจดจ่ออยู่กับเหล่าสาวใช้ที่ยืนเรียงกันเป็แถวอยู่กลางลานบ้าน
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ลักไก่ขโมยหมา หมายถึง ทำความผิดเล็กๆ น้อยในบางครั้งก็หมายถึงความผิดในเื่ศีลธรรมอื่นๆ ด้วย