“มารู้จักเอาไว้เสีย ท่านนี้คือองค์หญิงแห่งต้าเว่ยหวงฝู่จิ้งที่วันนี้เพิ่งจะมาถึงจวนแม่ทัพ นับแต่วันนี้ไปนางก็คือภรรยาเอกของข้าวันหน้าทุกๆ เื่ในจวนล้วนมอบหมายให้นางเป็ผู้ดูแล” เพิ่งจะสิ้นเสียงของหั่วอี้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบโชยมาจากทางเดินยาวรูปโค้งในเรือนหลังกระโปรงยาวลากพื้นสีชมพูปกคลุมด้วยภาพปักของมวลหมู่ผกาสีเขียวอ่อนเบ่งบานแข่งกันพลันปรากฏต่อสายตาทุกคน
ยังไม่ทันเห็นตัวกลับได้กลิ่นหอมนำมาก่อน
หลิ่วจิ้งได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งร้องด่าออกมากลางเหล่าบ่าวไพร่“นังตัวยุ่งนี่! มาสายเพราะอยากเด่นอีกแล้ว!”
คนที่พูดเป็หญิงที่ค่อนข้างมีอายุสักหน่อยนางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวฟ้า คลุมผ้าแพรคลุมไหล่สีแดงสดปักดิ้นทองลายผีเสื้อบนกระโปรงของนางปักเป็ลายดอกไป่เหอ [1] สีขาวหลายช่อเชื่อมต่อกัน มีแต้มสีแดงหลายแต้มอยู่บนดอกสีขาวนั้น งดงามดังเช่นใบหน้าขาวนวลแซมสีแดงระเรื่อของนางเมื่อมองรวมกันดังนี้กลับดูมีเสน่ห์เช่นที่เหล่าคุณนายมีกันมากกว่าหญิงสาวที่เพิ่งจะมาเสียอีก
หลิ่วจิ้งคิดในใจว่าสตรีข้างกายหั่วอี้กลับดูเก่งกาจกว่าสตรีชางอี้มากนักลำพังแค่ดูทั้งสองนางที่ปรากฏตัวตรงหน้า คนหนึ่งเป็ดอกพุดตานเบ่งบานบนน้ำใสในความนุ่มนวลมีความสดใสหมดจด ส่วนอีกคนกลับเป็เหมือนดังเหล่าบุปผาหลากสีในความเป็ผู้ใหญ่กลับแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ยวนใจ
หั่วอี้กลับเป็คนที่รู้จักเสพสุขผู้หนึ่ง
“อาหนูมาช้า พี่หญิงโปรดอย่าถือโทษอาหนูเลยเ้าค่ะ”หญิงผู้นั้นค่อยๆ ก้าวเยื้องย่างช้าๆ มาตรงหน้าหลิ่วจิ้ง แม้จะกำลังพูดกับนางแต่ดวงตาสดใสดังหยดน้ำทั้งคู่นั้นกลับมองไปยังหั่วอี้ทั้งน้ำตาคลอ
หลิ่วจิ้งเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม ยื่นมือออกไปประคองตัวนางเอาไว้กล่าวว่า “เป็สตรีที่ดีงามแท้ๆ แต่กลับใช้ชื่อว่าหนูที่แปลว่าบ่าวไพร่ไม่รู้ว่าควรพูดว่าเ้าไร้เดียงสาดี หรือร่ำเรียนมาน้อยดี”
อาหนูเงยหน้าขวับขึ้นมาจ้องหลิ่วจิ้งเห็นชัดว่านางไม่คาดมาก่อนว่าหลิ่วจิ้งที่เพิ่งจะมาถึงจวนแม่ทัพวันแรกกลับกล้าหาเื่ตนต่อหน้าต่อตาหั่วอี้เช่นนี้
น้ำตาที่คลออยู่ทั้งสองตายิ่งหลั่งออกมามากกว่าเดิมก่อนหลับตาลงนางขืนมองไปยังหั่วอี้สามสี่คราวคล้าย้าเอ่ยปากด้วยท่าทีเหมือนถูกรังแก
อย่าว่าแต่ชายชาตรีเืร้อนเช่นหั่วอี้เลย ต่อให้เป็สตรีผู้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเช่นนางยังยากจะต้านทานต่อความบอบบางดังเช่นดอกหลีต้องสายฝนของหญิงงามที่แสดงออกมาหนแล้วหนเล่าเช่นนี้ได้
แต่กลับดูเหมือนว่าหั่วอี้จะไม่หลงกลลูกไม้นี้จริงๆ
เขาพูดกับนางด้วยสีหน้าขึงขังว่า “อาหนู ยามทหารออกไปรบสิ่งที่แม่ทัพเช่นข้าไม่อยากพบเห็นมากที่สุดก็คือคนที่ไม่รักษาเวลาเช่นเ้าโบราณว่าคนแพ้ทัพไม่แพ้ [2] เ้าทำเช่นนี้แล้วจะให้เราเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”
อาหนูเคยเห็นหั่วอี้มีท่าทีเด็ดขาดเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน ในใจนางร้อนรนน้ำตาจึงพรั่งพรูออกมาทันใด สองขาอ่อนแรงทรุดลงไปนั่งคุกเข่า สองมือนางผวากุมมือทั้งคู่ของหั่วอี้ที่ปล่อยไว้ข้างกาย“ท่านแม่ทัพโปรดอย่าถือโทษ อาหนูรู้ผิดแล้วเ้าค่ะคราหน้าอาหนูไม่กล้ามาสายแล้วเ้าค่ะอาหนู…อาหนูเพียงคิดว่าไม่ได้พบกับท่านแม่ทัพนานแล้ว รู้สึกคิดถึงท่านนักจึงได้หลงลืมดูเวลา เอาแต่แต่งเนื้อแต่งตัวนานเกินไปสักหน่อยคิดว่าเมื่อท่านแม่ทัพได้พบอาหนูก็จะได้เบิกบานใจ อาหนูทำให้ท่านแม่ทัพเสียหน้าท่านแม่ทัพโปรดอย่าเคืองโกรธอาหนูเลยนะเ้าคะ”
หลิ่วจิ้งหัวเราะเย็นหนหนึ่ง อดต่อคำไม่ได้ว่า“หรือที่เ้าพูดมานี้ หมายความว่าที่เ้ามาสายล้วนเป็ความผิดของหั่วอี้เช่นนั้นหรือ?”
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามคำพูดนี้เข้าหูของหั่วอี้ เขากลับยิ่งรู้สึกขัดหูอย่างบอกไม่ถูกท่านแม่ทัพสะบัดมืออาหนูออก แล้วรีบเอามือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวนอกอย่างรวดเร็วราวกลับกลัวว่ามือจะหนาวเอ่ยเสียงเข้มว่า “ฮูหยิน การเรียกขานชื่อสามีตรงๆ นั้นถือเป็เื่ธรรมดาสามัญแต่วันหน้ายามอยู่ต่อหน้าคนนอกก็ขอให้ไว้หน้าสามีสักหน่อยด้วยการเรียกข้าว่าท่านแม่ทัพจะดีกว่ากระมัง?”
สีหน้าของอาหนูเปลี่ยนไปทันใดท่านแม่ทัพเคยมีท่าทีเกรงอกเกรงใจเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อนที่ใดกัน?
ความร้อนรนในใจนางเริ่มลั่นกลองส่งสัญญาณ ทั้งเร่งวางแผนอย่างรวดเร็วอยู่ในหัวว่าวันหน้าจะจัดการกับองค์หญิงแห่งต้าเว่ยผู้นี้ด้วยวิธีเช่นใด
อาหนูคิดว่าตนเองแต่งงานกับหั่วอี้มาหกเจ็ดปีด้วยระยะเวลาที่นานเช่นนี้จึงมิใช่ว่าเมื่อหญิงอื่นเพิ่งมาก็จะสามารถ่ชิงความโดดเด่นไปจากนางได้
แม้แต่อาหนูผู้มีรูปโฉมงดงามและเป็ที่รักใคร่และโปรดปรานมาโดยตลอดก็ยังเริ่มไม่เป็สุขแล้วฮูหยินใหญ่ที่ต้องให้สาวใช้ช่วยประคองยืนอยู่ในลานบ้านยิ่งต้องรู้สึกหวั่นหวาดร้อนรนอยู่ในใจ
ก่อนนี้ ยามท่านแม่ทัพรับอนุแต่งบ่าวก็ไม่เคยมีพิธีพบหน้าอย่างเป็ทางการเช่นนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาท่านแม่ทัพของนางก็เป็คนที่ไม่สนใจเื่รายละเอียดอ่อนเล็กน้อยแต่ครานี้กลับคอยใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อองค์หญิงแห่งต้าเว่ยผู้นี้โดยไม่ลังเลในใจนางจึงหวั่นหวาดร้อนรนเต็มทน
เดิมทีเพราะนังชั่วอาหนูประจบเอาใจเก่งนัก นางจึงถูกละเลยมากพออยู่แล้วตอนนี้ยิ่งมีหวงฝู่จิ้งเพิ่มมาอีกคน คราวนี้มิใช่ว่าจะไม่เหลือที่ทางให้นางได้ลืมตาอ้าปากอีกแล้วหรือ?
อาหนูห่อตัวเข้าด้วยท่าทีแสนฟังความกล่าวว่า“พี่หญิงโปรดอย่าบิดเบือนความหมายของอาหนูเลยเ้าค่ะอาหนูหรือจะกล้าตำหนิท่านแม่ทัพเช่นนั้น”
เมื่อเห็นว่าหลิ่วจิ้งไม่ตอบหั่วอี้จึงออกแรงบีบมือที่กุมมือนางอยู่อีกเล็กน้อย
หลิ่วจิ้งเพิ่งได้เรียนรู้วิธีออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานจากอาหนูเป็ครั้งแรกในชีวิตจึงร้องเอ็ดขึ้นมาบ้างว่า “โอ้ย ท่านทำข้าเจ็บแล้ว ท่านแม่ทัพ”
หัวคิ้วของหั่วอี้กระตุก ไม่รู้เพราะเหตุใดยามได้ยินเสียงออดอ้อนเพียงครั้งของนางในใจเขากลับรู้สึกยิ่งกว่าได้ชัยชนะจากศึกสิบครั้งเสียอีก
อาหนูเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่หลิ่วจิ้ง หลิ่วจิ้งแสร้งทำเป็มองไม่เห็นหันขวับไปมองหั่วอี้ทันใด
นางคิดว่าดีชั่วอย่างไรตนเองก็เป็ชาวต้าเว่ยที่เกิดและเติบโตมาตามแบบฉบับของเจียงหนาน[3] เหล่าสตรีชาวต้าเว่ยพูดจาเสียงเล็กเสียงน้อยมาแต่กำเนิดอยู่แล้วว่ากันถึงประเด็นนี้ ยังต้องกลัวว่าจะพ่ายให้แก่สตรีชาวชางอี้เช่นอาหนูอีกหรือ?
หลิ่วจิ้งเชิดหน้ามั่นใจอยู่เต็มอก
หั่วอี้ใช้เวลาอยู่กับพวกบุรุษยาวนานเกินไปจึงไม่รู้ว่าควรเอาใจสตรีเช่นใด แม้ปากจะไม่พูด แต่เรี่ยวแรงที่มือก็ยังค่อยๆผ่อนลงบ้าง
“เอาล่ะ อาหนูเ้าลุกขึ้นได้แล้ว ไม่ต้องคุกเข่าอยู่เช่นนี้”หั่วอี้เอ่ยพลางมองท่าทีแสนน่าสงสารของอาหนู
หลิ่วจิ้งคิดในใจว่าที่แท้พวกบุรุษก็ยังชื่นชอบให้พวกสตรีแสดงท่าทีอ่อนปวกเปียกต่อหน้าพวกเขา
วันนี้นางอุตส่าห์เรียนรู้หลักการนี้มาจากอาหนูไว้วันหน้ามีเวลาว่าง นางก็อยากทดลองกับหั่วอี้ดูว่าวิธีนี้จะใช้การได้หรือผิดพลาดมากกว่าหรือไม่
หั่วอี้หรือจะรู้ว่าที่หลิ่วจิ้งมองอาหนูในเวลานี้ในหัวของนางเกิดความคิดขึ้นมามากมายเพียงใด เขาล้วนเห็นแค่ว่าเวลานี้เป็่เวลาที่พวกสตรี่ชิงความรักใคร่เอ็นดูจึงหาข้ออ้างให้อาหนูลุกขึ้นมาเท่านั้น
ทุกคนมาพร้อมกันแล้ว
อาหนูมายืนท่ามกลางทุกคนในลานบ้านเมื่อเห็นฮูหยินใหญ่นางก็เพียงยิ้มมุมปากและแค่นเสียงอย่างไม่เกรงกลัวไปหนหนึ่งแม้คำทักทายสักคำก็ยังไม่มี
หลิ่วจิ้งปรายตามอง ไม่ได้กล่าวอะไร
หั่วอี้เองก็มองเห็น เขาอธิบายด้วยน้ำอดน้ำทนว่า“หญิงในชุดเขียวฟ้าผู้นั้นก็คืออนุเอกของข้า ฮูหยินใหญ่จ้าวไฉ่เอ๋อร์ฐานะของนางในเวลานี้เพียงต่ำชั้นกว่าท่านชั้นหนึ่งนางติดตามข้ามาครึ่งชีวิตก็นับว่าไม่ใช่เื่ง่ายดายเลยวันหน้าท่านช่วยดูแลนางให้ข้าด้วย”
หลิ่วจิ้งมองจ้าวไฉ่เอ๋อร์คราวหนึ่งเห็นว่านางมีท่าทีนอบน้อมว่าง่ายและไม่ได้ใส่ใจท่าทีโอหังยั่วโทสะของอาหนูแต่อย่างใดจึงรู้สึกดีกับนางขึ้นมาหลายส่วน
หลิ่วจิ้งพยักหน้า กล่าวว่า “ท่านวางใจเถิด วันหน้าเื่เล็กน้อยดังขนไก่เปลือกกระเทียมเหล่านี้ก็มอบให้ข้าช่วยแบ่งเบาภาระของท่านเถิด”
เป็จังหวะเหมาะที่นางจะได้อาศัยโอกาสนี้เรียนรู้ว่าการต่อสู้ในรั่วในวังเกิดขึ้นท่ามกลางเหล่าสตรีหลายคนได้อย่างไร
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ดอกไป่เหอ คือ ดอกลิลลี่
[2]คนแพ้ทัพไม่แพ้ หมายถึง แม้จำนวนคนน้อยกว่าแต่กองทัพก็ยังต่อสู้อย่างสุดฝีมือ หากจะแพ้ก็ไม่ได้แพ้เพราะไม่ได้พยายาม
[3]แบบฉบับของเจียงหนาน มีความหมายถึง รูปแบบของชนชั้นสูง มีการศึกษาเพราะวัฒนธรรมของเจียงหนานเป็วัฒนธรรมดั้งเดิมของชนชั้นสูง หรือผู้มีการศึกษาดีซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมของบัณฑิต นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิหรือเรียกได้ว่าเป็วัฒนธรรมด้านการศึกษา ศิลปะแบบดั้งเดิม