นางถามอย่างตั้งอกตั้งใจว่า “ข้าชอบคนมีไหวพริบดีมาแต่ไหนแต่ไรในจำนวนพวกเ้าทั้งหลายมีคนใดไหวพริบดีสักหน่อย ให้เหมาซุ่ยเสนอตัว [1] ก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง”
สาวใช้เหล่านี้ล้วนเป็สาวใช้หน้าตางดงามที่แคว้นชายแดนเล็กๆมอบให้ยามแพ้า นอกจากรูปร่างและหน้าตาที่งดงามพอควรแล้ว พวกนางจะมีสิทธิ์ได้ร่ำเรียนหนังสือที่ใดกันรอจนพักใหญ่ก็ยังไม่มีสักคนที่ได้ยินหลิ่วจิ้งพูดแล้วจะก้าวออกมาข้างหน้า
หลิ่วจิ้งรู้สึกแปลกใจ จึงถามว่า“ฮูหยินใหญ่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกนางถึงไม่ก้าวออกมา?”
นางจ้าวมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิ้วใบหลิวก็แสดงความชิงชังออกมาโดยไม่รู้ตัวนางมองต่ำตอบเสียงทุ้มหนักไปว่า “องค์หญิงกลับมองข้าพวกเราสูงเกินไปแล้วเ้าค่ะแม้แต่เหล่าสตรีชั้นสูงในแคว้นชางอี้ของเราก็ล้วนไม่มีสิทธิ์และอิสระที่จะได้ร่ำเรียนหนังสือยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสาวใช้ในแคว้นเล็กๆ ตามชายแดนของชางอี้เลยเ้าค่ะพวกนางจะต้องไม่มีวันเข้าใจแม้แต่ความหมายลึกๆของคำว่าเหมาซุ่ยเสนอตัวสองคำนี้กระมังเ้าคะ?”
นางจ้าวพูดด้วยลมหายใจหนัก เสียงทุ้มใส่กำลังทั้งยังมีน้ำเสียงประชดซ่อนอยู่หลายส่วน ยามเสียงนั้นเข้ามาในหูของหลิ่วจิ้ง จินตนาการว่าไม่น่าฟังเท่าใดก็ไม่น่าฟังได้เท่านั้น
ที่แท้เพราะนางนึกว่าตนกำลังพูดจากระทบกระเทียบพวกนางว่าด้อยการศึกษาหรอกหรือ?
โธ่ คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจคำหนึ่งสำหรับพวกนางแล้วกลับกลายเป็คนใบ้กินหวงเหลียน [2] แม้จะมีปากก็ยังอธิบายให้เข้าใจไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อเห็นนางเป็ดังนี้ หลิ่วจิ้งจึงไม่สนใจจะเอาหน้าร้อนๆของตนไปนาบกับก้นเย็นๆ ของนาง[3] รีบโบกไม้โบกมือบอกว่า
“จะว่าไปนี่กลับเป็ความผิดของข้าเอง”นางเดินไปไปตรงหน้าสาวใช้ที่มองมาทางนางจ้าวและตัวนางด้ยดวงตาที่เป็ประกาย โน้มตัวก้มหัวลงมาถามว่า“เ้ายินยอมจะมาติดตามข้าหรือไม่?”
สาวใช้ผู้นั้นกลับเป็คนมีไหวพริบคนหนึ่งลำพังแค่ดวงตาที่ส่องประกายแวววาวคู่นั้นก็พอมองออกแล้วตอนที่นางกำลังพูดอยู่กับนางจ้าว นางก็คอยจะลอบช้อนตาสังเกต ในบรรดาสาวใช้ทั้งหมดนอกจากนางที่กล้าเงยหน้ามามองว่าเกิดเื่ใดขึ้นแล้วก็ไม่มีสักคนที่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
เฮ้อดูท่าว่าคราวนี้คงทำได้แค่เลือกสาวใช้คนนี้กลับไปสอนสั่งดูสักระยะแล้วหากว่าอบรมได้ผลไม่เลว ค่อยลองกลับมาเลือกหาเอาอีกสองสามคนหาไม่หากเอากลับไปสามคนห้าคนในคราวเดียว แล้ววันๆเอาแต่เอ้อระเหยลอยชายไปมาในห้องนาง ก็จะทำให้รำคาญใจเสียเปล่าๆ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลิ่วจิ้งจึงพาสาวใช้คนนั้นเดินจากไป
เพิ่งออกมาถึงลานบ้านพลันมีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบแสนหนักหน่วงปะทะเข้ามาที่จมูกของหลิ่วจิ้งเต็มที่
จู่ๆก็มีใบหน้าหมดจดน่าเย้ายวนนั้นลอยขึ้นมาในสมองนางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เป็ดังว่าจริงๆ อึดใจต่อมาอาหนูพาสาวใช้สองคนที่ร้องไห้จนตาบวมเดินเข้ามาพร้อมเสียงตวาด
เดินไปพลาง ยังได้ยินเสียงอาหนูสั่งสอนสาวใช้ไปพลาง“เมื่อครู่นี้หากมิใช่เพราะพวกเ้ามือเท้าเงอะงะแล้วข้าจะถูกผู้หญิงที่มาใหม่นั่นลบหลู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพรึ? พวกเ้ามันไม่ได้ความ!”
‘เพี๊ยะๆ’ หลิ่วจิ้งตั้งใจฟังคล้ายได้ยินว่าสาวใช้ถูกตบหน้าไปสองครั้ง
สาวใช้ที่เดินตามหลังหลิ่วจิ้งมาก็ไม่ได้พูดจาทั้งสองคนเหมือนพี่น้องลักไก่ขโมยหมาคู่หนึ่งที่ยืนอิงอยู่ที่มุมกำแพงคอยฟังความเคลื่อนไหวด้านหลังกำแพงนั้น
พอสิ้นเสียงด่าทอ เสียงฝีเท้าก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆหลิ่วจิ้งรีบยืดตัวขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าเดินออกไปด้วยสีหน้าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
สาวใช้ข้างหลังนางเห็นแล้วก็อดจะอุทานอยู่ในใจไม่ได้ว่าฮูหยินที่นี่ล้วนเก่งกาจนัก เปลี่ยนหน้าได้รวดเร็วเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือมากมายนัก
“โธ่เอ๊ย ไอ้สุนัขไม่มีตาตัวใด กล้ามาขวางทางข้า!” อาหนูกำลังก้มหน้าขณะชนเข้าอย่างจังกับหลิ่วจิ้งที่จงใจเร่งเดินผ่านไปไวๆ
ด้วยเหตุที่หลิ่วจิ้งมีรูปร่างสูงโปร่งและสูงกว่าสตรีชางอี้ทั่วๆไป ยามอาหนูยืนตัวตรงก็เกรงว่าจะสูงถึงแค่ระดับหน้าอกของนางเท่านั้นทำให้ตอนนี้นางต้องกุมหน้าผากร้องโอดโอยไม่หยุด
หลิ่วจิ้งค่อยๆ ถอยไปข้างหลังสองก้าวมิได้ลนลานใดๆ “โอ๊ะนี่มิใช่อาหนูหรอกหรือ? เหตุใดยามท่านแม่ทัพยังอยู่เมื่อครู่นี้ซ้ายเ้าเรียกข้าว่าพี่หญิง ขวาก็เรียกพี่หญิง แต่เมื่อท่านแม่ทัพเพิ่งจะก้าวเท้าออกไปพี่หญิงเช่นข้าก็กลายเป็ไอ้สุนัขในปากเ้าไปเสียแล้ว?” นางจงใจเอ่ยด้วยใบหน้าตกตะลึง
อาหนูได้ยินเสียงก็ใขึ้นมาเช่นกันหลังจากถอยหลังไปตั้งหลักสองสามก้าวแล้ว นางก็คำนับน้อยๆ กล่าวว่า“พี่หญิงโปรดอย่าถือโทษ เมื่อครู่นี้อาหนูถูกนั่งบ่าวสุนัขข้างกายทำให้โมโหจนมึนหัวไปหมดไม่เห็นว่าพี่หญิงเดินมาจึงชนท่านเข้า ขอพี่หญิงอย่าถือโทษข้าเลย”
หลิ่วจิ้งยกมือข้างหนึ่งขึ้นสาวใช้ข้างหลังรีบเดินเข้ามาประคองตัวนาง “ข้ามิกล้าหรอก”
ยามนั้นเอง ข้างหลังนางก็มีเสียงด่าทอที่ทั้งทุ้มต่ำและกระหืดหอบของนางจ้าวดังเข้ามาในหู
อาหนูหน้าระรื่นขึ้นมาทันใดนี่เป็โอกาสให้นางได้จัดการจ้าวไฉ่เอ๋อร์ให้จงหนักแล้วนางบิดเอวเดินไปข้างหน้าช้าๆ ขยับเข้าไปใกล้หลิ่วจิ้งก่อนจะบอกว่า “พี่หญิงคงมิทราบในจวนแม่ทัพแห่งนี้พี่จ้าวมีฐานะที่สูงส่งเกินผู้ใดเทียบ จึงทำให้นางวางท่าไม่เห็นหัวผู้ใด ยามพูดจาก็ไม่ใคร่น่าฟังนักพี่หญิงโปรดอย่าถือสานางเลยนะเ้าค่ะ”
ความจริงแล้วหลิ่วจิ้งเองก็ไม่ได้ยินชัดเจนนักว่านางจ้าวร้องด่าทอเสียงลั่นด้วยเื่ใดได้ยินแต่ว่าคำด่าทอนั้นรวดเร็วนัก บางครั้งก็ได้ยินคำสองคำคล้ายๆ คำว่าฝู่แล้วก็คำว่าจิ้ง หากเดาไม่ผิด เป็ไปได้แปดในสิบส่วนว่านางจ้าวกำลังด่าทอนาง
นางก็ไม่ได้โง่ เห็นอาหนูทำทีอยากมีส่วนร่วมเหมือนไม่กลัวว่าจะมีเื่นางก็คิดแผนการหนึ่งออกมาได้
“น้องสาวแสนดี เป็ดังที่เ้าว่าจริงด้วย เมื่อครู่ข้ายังได้ยินนางบอกกับข้าว่าเ้าความรักใคร่ของท่านแม่ทัพเอาไว้เพียงผู้เดียวเห็นหรือไม่ ไม่ทันไรหันหลังมาก็เริ่มด่าทอข้าแทนเสียแล้ว เฮ้อ น่าสะท้านใจจริงๆ”
ได้ยินนางพูดสีหน้าของอาหนูก็เปลี่ยนไปทันที ร้องถามเสียงสูงว่า“อะไรนะ? นังสาระเลวนั่นกล้าแอบด่าข้าว่าแย่งความรักจากท่านแม่ทัพหรือ?นั่นมิใช่ว่านางร่วงโรยจนไม่เข้าตาท่านแม่ทัพแล้วหรอกหรือ? ท่านเห็นด้วยหรือไม่? น่าโมโหนัก!”อาหนูร้องด่าทอดังลั่นขณะพาสาวใช้สองคนเดินปรี่ไปข้างหน้าดูท่าแล้วคล้ายจะไปรบรากับนางจ้าวให้รู้เป็รู้ตาย
จนกระทั่งคำลาก็ยังไม่มีให้หลิ่วจิ้ง
แต่หลิ่วจิ้งก็มิได้ร้อนใจสาวใช้ที่ประคองตัวนางอยู่แค่นเสียงหึเบาๆ ให้กับเื่วุ่นวายเล็กน้อยนี้แล้วเดินตามนางไปยังเรือนของตน
ฟ้าใกล้มืดแล้ว กลับไปจัดแจงเตียงตั่งให้เร็วๆ เสียหน่อยดีกว่าจะได้รีบนอนพัก หลายวันมานี้นางไม่ได้นอนหลับดีๆ เลย
พอคิดดังนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกอยากหาวขึ้นมาทันใด
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] เหมาซุ่ยเสนอตัว มีความหมายว่าเสนอตัว แสดงความสามารถของตนออกมา มีมาจากตำนานโบราณ คนเฝ้าประตูชื่อว่าเหมาซุ่ยเสนอตัวขอร่วมเดินทางกับหยวนจิงจวินแห่งรัฐเ้าไปเจรจากับรัฐฉู่และเหมาซุ่ยสามารถพูดจนเ้าครองแคว้นฉู่ให้ความร่วมมือได้
[2]คนใบ้กินหวงเหลียน หมายถึง ไม่อาจอธิบายความทุกข์ยากในใจออกมาได้เหมือนกับคนใบ้ที่กินยาจีนหวงเหลียนที่มีรสชาติฝาดขม
[3] เอาหน้าร้อนไปนาบก้นเย็น หมายถึง ใช้หน้าตายิ้มแย้มแสดงท่าทีเอาอกเอาใจ ไปประจบผู้อื้น