ตอนที่ 26
สองร่างนอนกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนหนาด้วยความสบายใจ ความอุ่นจากกายที่ส่งให้กันและกันทำให้อบอุ่นไม่น้อยจากที่ไม่ได้นอนด้วยกันมานาน ปัณณวีร์ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อน ดวงตากลมโตมองเพดานอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยมองคนที่กำลังหลับอยู่ ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกได้อย่างดีว่าอีกฝ่ายยังคงหลับสนิท
ปัณณวีร์ระบายยิ้มออกมา ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มอีกฝ่ายอย่างเบามือเล่นอยู่นานสองนานก่อนจะค่อยๆ เอาตัวออกจากอ้อมกอดของศิลาช้าๆ รู้สึกเจ็บช่องทางด้านหลังไม่น้อยเพราะถูกคนที่หลับอยู่เคี่ยวกรำทั้งคืน ปัณณวีร์ลุกขึ้นมาก็เข้าห้องน้ำจัดการกับตัวเอง ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เดินออกมาเห็นว่าศิลายังไม่ตื่นจึงหยิบโทรศัพท์แล้วออกไปจากห้องนอนไป คิดในหัวว่าจะทำอาหารเช้าอะไรให้กินดีแต่ที่แน่ๆ คงต้องบำรุงหน่อย
ปัณณวีร์เช็กของในตู้เย็นก็ไม่พบของสดหรือแม้แต่ผัก ่เวลาที่ผ่านมานั้นศิลาไม่ได้ทำอาหารกินเอง จึงไม่ได้ซื้อของสดติดตู้เย็นเพราะปกติแล้วคนที่ทำเป็ปัณณวีร์เสมอมา ร่างบางชงชาร้อนเอาไว้แล้วหยิบมือถือมาเพื่อจะสั่งของสดและของที่้า แต่ก็เห็นข้อความของกนกที่ส่งมาบอกเขาซะก่อน
กนก : เย็นนี้ว่างกันไหม พาศิลามาทานข้าวที่บ้านด้วยกันหน่อยได้รึเปล่า
ปัณณวีร์อ่านข้อความนั้นแล้วก็ครุ่นคิดอยู่นาน ตัวเขาก็อยากจะพาไปแต่ก็ต้องถามศิลาก่อนเสมอว่าอยากจะไปด้วยไหม หากว่าเ้าตัวไม่อยากจะไปแล้วเขาพาไปก็เหมือนกับบังคับกัน ปัณณวีร์ตอบกลับไปว่าขอถามศิลาก่อนว่าวันนี้ว่างรึเปล่า เขาเองก็อยากให้แม่ลูกได้คุยกันมากขึ้น อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างศิลากับกนกมันดีขึ้นจากที่ตอนนี้ดูจะแย่กว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ
ทางด้านกนกพออ่านข้อความแล้วก็ยิ้มเศร้าๆ ออกมา อาธิปที่นั่งทานข้าวเช้าอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นเลยเอ่ยถาม “ยิ้มอะไรหรอ มีเื่ดีอะไร”
เขาดูออกว่ามันไม่ใช่ยิ้มของการดีใจ แต่เป็เศร้าใจมากกว่า กนกวางมือถือลงแล้วหยิบช้อนขึ้นมาคนข้าวต้มแล้วตอบสามีว่า “ไม่ใช่เื่ดีอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่..”
เธอเว้นวรรคไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แค่รู้สึกสมน้ำหน้าตัวเอง ดูสิคะเื่เล็กๆ น้อยๆ อย่างพาศิลามาทานข้าวที่บ้าน วีร์ยังต้องรอถามความ้าของเขาก่อน ยิ่งเทียบกันฉันนั้นยิ่งเห็นความต่างกันอย่างชัดเจน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศิลาถึงรักมากขนาดนั้น”
“มันก็ไม่ใช่เื่ที่คุณจะทำไม่ได้นะ เื่นี้มันง่ายมากเลย” อาธิปปลอบใจภรรยา แต่มันคือเื่จริงที่ว่าเื่พวกนี้ใช่ว่าเธอจะทำไม่ได้ ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเลยสักนิด
“ฉันยังมีโอกาสนั้นอยู่ใช่ไหม” คุยกันเมื่อวานแม้จะขอโทษลูกชายไปแล้วแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าศิลายังคงมีกำแพงกั้นกลางระหว่างพวกเขาอยู่ ทำให้ไม่กล้าจะพูดคุยหรือว่าทักไปชวนลูกชายด้วยตัวเอง อีกอย่างเพราะรู้ว่าถ้าให้ปัณณวีร์ออกปากชวนให้ศิลาอาจจะมามากกว่าตัวเองที่ชวน
“มีสิ คนเราผิดพลาดกันได้เสมอ และผมเชื่อว่าศิก็คงให้อภัยคุณ เพียงแต่ตอนนี้เื่มันเพิ่งผ่านมาลูกเลยอาจจะยังโกรธอยู่ก็ไม่ใช่เื่ที่แปลกอะไร”
“ค่ะ” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะก้มหน้าทานมื้อเช้า น้อยนักที่จะเห็นกนกเป็แบบนี้ อาธิปเองก็ได้แต่มองด้วยความเป็ห่วงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะทะเลาะกันเพราะเื่ลูกมาแค่ไหน แต่สายสัมพันธ์ความห่วงใยของสามีภรรยาที่อยู่กินกันมาด้วยความรักหลายสิบปีก็ยังคงมีให้เสมอ
กนกเบนสายตามองหน้าจอที่ขึ้นแจ้งเตือน เป็ข้อความที่ถูกส่งมาจากปัณณวีร์บอกว่าวันนี้ศิลาว่าง สัก 6 โมงเย็นพวกเขาจะเข้าไปด้วยกันแต่อาจจะไม่ได้ค้างที่บ้านเพราะพรุ่งนี้ศิลาต้องออกไปทำงานแต่เช้าและคอนโดก็สะดวกสบายกว่าในการมารับของดาริน เธอยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็รอยยิ้มของความดีใจ
“เย็นนี้ศิลายอมมาทานข้าวที่บ้าน ฉันจะทำมื้อเย็นเองค่ะ” กนกบอกกับอาธิป เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ
“เราไม่ได้ออกไปข้างนอกด้วยกันนานแล้ว” หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จจนเวลาล่วงเลยมาจะ 10 โมงแล้ว ศิลานอนหนุนตักปัณณวีร์อย่างที่ชอบทำประจำอยู่พูดขึ้น
“จะไปไหนล่ะ พูดยังกับว่าเราไปไหนด้วยกันได้บ่อยๆ งั้นแหละ” ปกติแล้วพวกเขาต่างคนต่างทำงานของตัวเอง จะไปเดินห้างด้วยกันอย่างมากก็ซุปเปอร์มาร์เก็ต ถึงอย่างนั้นก็ต้องแต่งตัวมิดชิดราวกับโจรและต้องไปใน่เวลาที่ไม่ค่อยมีคนด้วย
“เอาจริงๆ ผมอยากเปิดแล้ว”
“หื้อ??” ปัณณวีร์ก้มมองหน้าหล่อราวหยกสลัก
“ครอบครัวผมรู้แล้ว ผมไม่แคร์คนอื่นอีกแล้ว ผมอยากใช้ชีวิตแบบคนรักทั่วไปกับพี่” ศิลาเอ่ยอย่างจริงจัง ตัวเขาเองไม่อยากจะให้มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
ปัณณวีร์ถอนหายใจเบาๆ มือเรียวลูบแก้มทั้งสองข้างของอีกฝ่าย “พี่เข้าใจ แต่ว่าตอนนี้ศิกำลังมีงานเข้ามาเรื่อยๆ แฟนคลับก็มากขึ้นเรื่อยๆ ศิแน่ใจแล้วหรอที่จะเอามาแลก ผลลัพธ์มันก็มีสองทางนะ เกิดว่าโชคดีหน่อยแฟนคลับเข้าใจ สังคมยอมรับได้ทุกอย่างก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ผลก็ตรงกันข้ามนะ แฟนคลับก็มีอยู่หลายประเภทเช่นเดียวกัน ชอบเรารักเราและสนับสนุนเรา หรือบางกลุ่มบางคนก็รักเราและก็หวงเราเหมือนเป็แฟนของตัวเองซะอย่างนั้น รับไม่ได้ที่ศิลปินที่ชอบจะมีแฟน ศิแน่ใจหรอว่าจะยอมเสี่ยง”
ตัวปัณณวีร์เขาไม่ได้มีแฟนคลับเยอะอะไรอยู่แล้ว ก็มีบ้างที่ติดตามเขาแต่ถ้าเทียบกับศิลาตอนนี้แล้วผลกระทบของอีกฝ่ายน่าจะหนักกว่าจึงให้ศิลาได้คิดและตัดสินใจดีๆ ตัวเขาตอนนี้ก็เปลี่ยนความคิดแล้วจากที่จะต้องปกปิดเื่นี้ไปตลอดเพียงเพราะสังคมไม่ยอมรับเขาก็เหนื่อย ไม่รู้ต้องปิดไปอีกนานแค่ไหน ศิลาเองก็คิดเช่นเดียวกันเพียงแต่มันไม่ได้เสียหายแค่ตัวของศิลา เขายังมีสังกัดยังมีบริษัทที่อยู่ข้างหลัง แม้กนกจะไม่คัดค้านแล้วอย่างไร ยังมีคณะกรรมการอีกหลายคนที่พร้อมจะไม่เห็นด้วยแน่ๆ ศิลาเปิดตัวแฟน
“ผมคิดมาดีแล้วจริงๆ สำหรับผมแล้วคนอื่นไม่ได้มีค่ามากเลยเมื่อเทียบกับพี่ คนอื่นจะว่ายังไงผมไม่สนใจ ที่สนใจก็แค่พี่” ปัณณวีร์ยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายให้ความสำคัญกับตนเองขนาดนี้ แต่ก็พูดบอกศิลาไปอย่างหนึ่งเหมือนกันว่า
“พี่รู้ แต่ในชีวิตจริงของคนเรา ศิจะเอาแค่ตัวเองไม่ได้นะ ศิยังต้องมีสังคมและอีกอย่างศิต้องมองดูข้างหลังตัวเองให้ดีว่ามีใครอยู่รึเปล่าหากว่ายังมีห่วงที่ติดอยู่กับเรา เราจะทำตามใจตัวเองไม่ได้ อย่างตอนนี้ศิยังมีเจทีเอ็นอยู่ ศิยอมเสี่ยงได้แต่บริษัทจะยอมให้หรอเพราะศิคือคนทำเงินให้กับบริษัท ศิกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ เขาเ่าั้ไม่มีทางยอม”
ศิลาฟังแล้วก็คิดว่าที่ปัณณวีร์พูดมานั้นก็ถูก ตัวเขายังถือว่าเป็คนของบริษัท แม้ทุกคนจะรู้ว่าเป็ลูกชายคนเล็กของตระกูลแต่ศิลาก็เซ็นสัญญากับทางบริษัทเหมือนกับดาราคนอื่นๆ หากว่าเขาจะเปิดตัวปัณณวีร์คงต้องถูกคัดค้านแน่ๆ
“หากว่าศิไม่มีอะไรติดตัวอยู่แล้ว ตอนนั้นศิจะทำอะไรพี่พร้อมเดินไปกับศิทุกอย่าง” คนพี่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
“อีกไม่ถึงปีผมจะหมดสัญญากับทางช่อง” ศิลาลุกขึ้นแล้วจับมือคนพี่ไว้ “ผมจะไม่ต่อสัญญา หลังจากนั้นก็จะไม่มีอะไรต้องให้ห่วงอีกแล้วว่าบริษัทจะเสียหายหรือเสียผลประโยชน์”
“อื้ม งั้นก็รอจนถึงวันนั้นเถอะ อดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่ดีกว่าหรอ”
“ได้ ผมจะรอมันสุกจนหวานซะก่อน” ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนที่ปัณณวีร์จะให้ศิลาวาดรูปเหมือนของตนเองให้ รอกระทั่งใกล้ถึงเวลาที่นัดไว้กับกนกจึงได้เดินทางไปที่บ้านพร้อมกันด้วยรถคันเดียวกัน
“รุตพร้อมรึยังสำหรับจะขึ้นมาเป็ประธานบริหาร” กนกเรียกลูกชายเข้าไปคุยในห้องหลังจากประชุมกันเสร็จ ศรุตทำอย่างที่พูดไว้ได้ สัญญาที่เป็ลายลักษณ์อักษรว่าปัณณวีร์จะกลับมาทำละครให้เจทีเอ็นตามเดิมเหมือนเมื่อก่อน แต่คงต้องให้เสร็จละครเื่นี้ที่ทำกับบุญบวรซะก่อนเพราะได้เริ่มทำแล้วไม่อยากจะผิดคำพูด ศรุตพูดให้คณะกรรมการคนอื่นๆ เข้าใจในมุมของปัณณวีร์เพิ่มนิดหน่อย และได้ข้อสรุปและข้อตกลงตรงกลางกัน
คณะกรรมการหลายคนยกเื่ที่กนกทำผิดพลาดและทำให้บริษัทเสียเงินไปขึ้นมากดดันให้เธอลงจากตำแหน่งประธานกรรมการซะ เป็เพียงเ้าของเป็เพียงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็พอ ซึ่งกนกก็คิดเื่นี้มาก่อนหน้า เพราะั้แ่ที่ทะเลาะกับศิลาไปตัวเธอก็ดูแก่ขึ้นหลายปีเลย และรู้สึกเหนื่อยแล้วกับงานที่ทำมาครึ่งค่อนชีวิต
ศรุตได้สร้างความดีความชอบเอาไว้ กนกจึงอยากจะใช้เื่นี้ดันศรุตขึ้นเป็ประธานต่อ เพราะเธอไม่มั่นใจให้คนนอกเข้ามาบริหารงานให้
“ผมพร้อมครับ” ศรุตตอบด้วยความมั่นใจ ไม่ได้อยากจะแย่งตำแหน่งอำนาจของผู้เป็แม่เพียงแต่ศรุตเห็นว่าที่ผ่านมากนกดูเหนื่อยจริงๆ และเธอก็อายุมากแล้ว ศรุตไม่อยากให้เธอทำงานหนักทุกวัน อยากให้วางมือแล้วพักผ่อนที่บ้านก็พอแล้ว
“ดี” กนกยิ้ม ั้แ่ที่ยอมถอยและยอมรับความสัมพันธ์ของศิลามากขึ้น กนกดูอ่อนลงจริงๆ เื่ราวนั้นคงทำให้เธอได้เรียนรู้ไปไม่น้อยเลย
เพราะแม้ว่าจะเป็แม่ เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจใดไปบังคับลูกได้เลย ลองมองย้อนกลับมาขนาดตัวเธอยังไม่ชอบให้พ่อแม่มาบังคับ กับศิลาก็คงจะเป็แบบเดียวกัน...
ปัณณวีร์นั่งรอกาแฟที่ร้านกาแฟไม่ไกลจากคอนโดนักซึ่งเป็ร้านประจำของเขาอยู่แล้ว ผ่านมาหลายวันปัณณวีร์ยังคิดอยู่ว่าจะเริ่มต้นบอกเื่นั้นกับศิลายังไงดี เื่ที่ตัวเขากับศรุตวางแผนกันเพื่อแก้เผ็ดกนกโดยการที่ต้องทำเป็เลิกกับศิลา คิดแล้วปัณณวีร์ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ เสียงกริ่งของร้านดังขึ้นเมื่อมีคนเปิดเข้ามา ปัณณวีร์ไม่ได้สนใจว่าใครจะเข้ามาใหม่เพาะกำลังอยู่กับความคิดตัวเองจนได้ยินเสียงเรียกชื่อของพนักงานจึงได้ลุกไปเอากาแฟที่สั่งไว้
“ขอบคุณครับ” ปัณณวีร์รับมาพร้อมกล่าวขอบคุณ
“วีร์ บังเอิญจังเลย” คนถูกทักหันไปมองข้างๆ ก็พบว่าเป็มาวินยืนส่งยิ้มมาให้อยู่ ปัณณวีร์เองก็ยิ้มให้ตามมารยาท
“คุณมาวิน บังเอิญจริงๆ แหละครับ”
“คุณอะไรกัน บอกหลายครั้งแล้วว่าให้เรียกพี่ แล้วนี่กำลังจะไปออฟฟิศหรอ” ปัณณวีร์ยิ้มบางๆ และพยักหน้า
“ครับ ว่าแต่มาทำอะไรแถวนี้หรอครับ”
“ก็กำลังจะไปหาวีร์ที่ออฟฟิศนั่นแหละ เห็นร้านกาแฟร้านนี้น่าเข้าดีพี่เลยแวะก่อน”
“ไปหาผมหรอครับ มีอะไรสำคัญรึเปล่าถึงมาหาด้วยตัวเอง” ปกติแล้วพวกเขาประชุมกันผ่านทางออนไลน์อยู่แล้วหากว่ามีอะไรเพิ่มเติม
“เปล่าครับ ไม่ได้สำคัญอะไรมาก พอดีพี่ได้รับบัตรเข้าร่วมงาน Cannes Film Exhibition ที่ฝรั่งเศสมาแต่ว่า่นั้นพี่ไม่ว่าง ไม่อยากให้บัตรมันเสียเปล่า จะเอาให้ใครก็คิดไม่ออกคิดออกแค่วีร์ พี่ว่าวีร์น่าจะอยากไปนะ งานนิทรรศการนี้ไม่ได้จัดขึ้นทุกปีนะเป็งานใหญ่มากเลยแหละ”
“อ่อ แต่ผม...”
“รับเอาไว้เถอะ ถ้าว่างก็ไปไม่ว่างก็ไม่ต้องไปก็ได้ พี่ตั้งใจเอามาให้” มาวินส่งยิ้มให้ เสียดายที่่นั้นตารางงานของเขาไม่ว่าง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะชวนปัณณวีร์ไปด้วยกันสองคน การหาบัตรอีกใบไม่ได้ยากเกินความสามารถเขาอยู่แล้ว
“งั้นก็ได้ครับ” ปัณณวีร์ตอบรับมาก่อนเพื่อให้มันจบๆ ไปจะได้ไม่ต้องพูดคุยกันยาวนัก ก่อนจะรีบขอตัวออกมาก่อน เมื่อได้ให้บัตรมาแล้วมาวินก็ไม่มีเหตุผลไปเจออีกฝ่ายที่ออฟฟิศแล้วจึงได้กลับทันที
“เขาต้องจีบพี่แน่ๆ ค่ะ” ชาออกความเห็นหลังปัณณวีร์เล่าให้ฟัง ชาทำงานกับปัณณวีร์มานานพอสมควร เขาไม่เคยเห็นปัณณวีร์ชอบผู้หญิงคนไหนเลย เรียกว่าไม่ให้ความสนใจในเชิงพิศวาสมากกว่า ชาไม่ใช่เด็กแล้วทำไมจะดูไม่ออก หากว่าปัณณวีร์ไม่ได้มีแฟนอยู่แล้วก็อาจเป็เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ชอบผู้หญิง เพียงแต่ชาไม่ได้ถามอะไรมาก ไม่อยากจะก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของรุ่นพี่เท่าไหร่นัก เพราะหากว่าอีกฝ่ายอยากจะเปิดเผยหรืออยากจะบอกก็คงบอกออกมาเอง
“พี่จะทำไงดีเนี่ย” ยิ่งตอนนี้กลับมาดีกันกับศิลาแล้ว เขาไม่อยากให้เื่นี้เข้ามาเป็ปัญหาอีก รายนั้นยิ่งขี้หวงอยู่
“พี่วีร์ไม่ชอบเขาหรอคะ จริงๆแล้วคุณมาวินเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนะคะ ออกจะเป็คนเปิดเผย แสดงตัวกับพี่วีร์ขนาดนี้”
“ชา” ปัณณวีร์มองหน้าผู้ช่วยคนสนิท “ชาคิดว่าพี่ชอบผู้ชายหรอ”
ปัณณวีร์ถามเพื่ออยากจะรู้เท่านั้น น้ำเสียงของเขาไม่ได้มีแววจะดุหรือตำหนิคนน้องเลย ชานิ่งไปแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะบอกเหตุผล
“ชาก็พอจะดูออกค่ะ อีกอย่างเขาว่าคนแบบเดียวกันมักจะดึงดูดกัน”
“ทำไมชาไม่เคยถามพี่ล่ะ”
“ก็มันเป็เื่ส่วนตัวของพี่หนิคะ ถามไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรอยู่แล้ว พี่จะเป็อะไรยังไงมันคือสิทธิ์ของพี่เอง ชาเป็คนนอกไม่อยากเข้าไปยุ่ง” ปัณณวีร์ยิ้มออกมาเล็กน้อย หากว่าทุกคนคิดแบบชาก็คงดี แต่ก็คงเป็ไปได้ยากเพราะความคิดของคนเราเป็สิ่งที่ยากแท้หยั่งถึงเหมือนกัน
“ขอบใจนะ” ชาส่งยิ้มให้แล้วพูดต่อ
“พี่วีร์เป็คนมีความสามารถและเป็คนเก่งค่ะ ไม่ว่าจะเป็อะไรก็มีคนยอมรับในฝีมืออยู่แล้ว ความหลากหลายทางเพศเดี๋ยวนี้ก็เปิดกว้างมากขึ้นแล้วค่ะ เป็เพศไหนไม่สำคัญที่สำคัญอยู่ที่เนื้องานต่างหากเนอะ” คำพูดของชาทำให้ปัณณวีร์นึกถึงคำพูดของศิลาที่บอกคล้ายๆ กันนี้ สังคมจะยอมรับสิ่งที่พวกเขาเป็ได้จริงๆ หรือว่ายอมรับที่ความสามารถ หากว่าเป็อย่างหลังขอแค่พวกเขาเป็คนที่มีความสามารถก็พอแล้ว
“ใช่”
“แล้วพี่จะไปไหมคะ” งานนี้เป็งานใหญ่ นอกจากจะได้เปิดหูเปิดตาแล้วยังได้เรียนรู้หรือได้เทคนิคดีๆ เพิ่มขึ้นหรืออาจจะได้เจอคนที่มีฝีมือจากต่างที่ที่จะมาในงานนี้ด้วย
“ต้องดูก่อนแหละ” ใจหนึ่งปัณณวีร์ก็อยากจะไป แต่อีกใจก็ไม่อยาก เื่นี้จะต้องขออนุญาตคนของใจซะก่อน
วันนั้นทั้งวันปัณณวีร์ก็คิดแล้วคิดอีก ตัดสินจะว่าเย็นนี้จะบอกกับศิลา คิดว่าหากถูกโกรธก็คงไม่นาน ตามง้อหน่อยศิลาคงจะใจอ่อนให้ แต่ก็เหมือนจะผิดคาดไปหน่อยที่ศิลาโกรธมากถึงขั้นไม่ยอมคุยด้วยเลย พูดไม่กี่ประโยคก็ทำหน้าบึ้งตึงใส่หลังจากที่ปัณณวีร์เล่าแผนการให้ฟังว่า
“ทำไมบอกผม ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษากันบ้าง หรือเห็นว่าผมจะทำไม่ได้งั้นหรอ”
“ไม่ใช่ว่าศิจะทำไม่ได้ แต่ศิจะไม่ยอมทำเลยต่างหาก” ปัณณวีร์รีบบอกออกไป จะเรียกว่าแก้ตัวก็ได้แต่มันก็คือความจริง
“ใช่ ผมจะไม่มีวันทำมันแน่”
“เห็นไหม ถึงได้ปิดบังศิไง” ปัณณวีร์เอื้อมมือไปลูบแขนของอีกฝ่ายให้ใจเย็นลง แม้ไม่ได้พูดคุยกันเสียงดังแต่ว่าน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความโกรธความน้อยใจ ศิลาเงียบไม่พูดอะไรต่อปัณณวีร์จึงเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้
“พี่ขอโทษนะ” เงียบ คือคำตอบ ปัณณวีร์ใจเสียไม่น้อย เงยหน้ามองอีกฝ่ายก็เห็นว่าศิลามองตนอยู่ก่อนแล้วแต่ก็ไม่พูดอะไร
“ศิ”
“ผมอยากอาบน้ำพักผ่อนแล้ว พี่ห้ามกลับห้องแล้วก็ห้ามเข้าห้องนอนผม” ศิลาใจแข็งแกะมือคนพี่ออกมาแล้วเดินเข้าห้องนอนไปเฉยๆ ทิ้งปัณณวีร์ยืนทำหน้าเหวออยู่คนเดียว เพราะเป็ครั้งแรกที่ถูกศิลาห้ามแบบนี้
แม้จะโกรธแต่ก็ไม่อยากให้ปัณณวีร์กลับห้องไป ศิลาไม่อยากให้อีกฝ่ายห่างตัวเองอีกแต่ตอนนี้อารมณ์กำลังขุ่นมัวไม่อยากให้อยู่ใกล้มากเหมือนกันกลัวจะทำนิสัยเสียๆ ใส่ ร่างสูงเข้าห้อง อาบน้ำสระผมและนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอยู่นาน
ปัณณวีร์ได้แต่ถอนหายใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาศรุตทันที เมื่ออีกฝ่ายรับสาย ปัณณวีร์ก็บ่นและร่ายยาวให้ฟังว่าตอนนี้ถูกศิลาโกรธให้แล้วจะทำยังไงดี แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็เพื่อนที่ดีเหลือเกินทั้งๆ ที่เป็คนคิดแผนให้แต่กลับบอกมาว่า
[ง้อกันเอาเองสิ จะให้ฉันไปง้อให้รึไงไม่ใช่แฟนฉันซะหน่อย]
“รุต คิดว่านายจะรอดหรอ ศิลารู้แล้วว่าแผนนี้นายคิดอ่ะ” ปัณณวีร์ยืนเท้าเอวพูดใส่โทรศัพท์ มองไปที่ประตูห้องนอนของศิลาก็ไม่มีวี่แววว่าคนในห้องจะใจอ่อนให้เลย
[ไม่สนๆ เป็แค่น้องชายไม่ใช่เป็เมียซะหน่อย ง้อแล้วไม่หายก็รอให้หายเอง แค่นี้นะ โชคดี]
“เอ้ยย! เดี๋ยวดิ” ศรุตวางสายไปทันทีที่พูดจบ ไม่ทันให้ปัณณวีร์ได้ด่าเลยสักนิด ร่างบางยืนถอนหายใจอีกครั้ง จำต้องไปนอนอีกห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนศิลา
เกือบสองทุ่มปัณณวีร์คิดว่าศิลาคงจะอาบน้ำเสร็จแล้วจึงไปเคาะประตูห้องนอนคนน้อง “ศิ คือว่าพี่ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนแล้วก็ไม่มีผ้าเช็ดตัวด้วย ขอเข้าไปเอาหน่อยได้ไหม”
ไม่นานนักประตูก็เปิดออก ศิลาเปิดแล้วก็หันหลังเดินกลับไปที่เตียง ปัณณวีร์เดินเข้าไปมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ถูกศิลาเมินเฉยใส่บ้างเข้าใจความรู้สึกของศิลาเลยในตอนที่ตัวเองทำเมินใส่ ปัณณวีร์หยิบเสื้อผ้าไปแค่ชุดเดียวกับผ้าเช็ดตัว
“ศิจะนอนแยกห้องกับพี่จริงๆ หรอ” ปัณณวีร์เดินไปตรงหน้าศิลาแล้วโน้มตัวลงไปหา ทำท่าจะกอดคออีกฝ่ายแล้วนั่งตัก แต่ศิลาเร็วกว่าเบี่ยงตัวหลบทำให้คนพี่หน้าคะมำลงกับเตียงนุ่มแทน “โอ้ยยย”
ศิลาลุกขึ้นยืนแล้วเหลือบมองเล็กน้อย ในใจนั้นพยายามต่อสู้กับความใจอ่อนของตัวเองอย่าแรงเพราะปัณณวีร์เข้ามาทำแบบนี้ยิ่งทำให้ดูน่ารักจนอยากจะหายโกรธ หากว่าหายโกรธเร็วครั้งหน้าปัณณวีร์ก็ต้องทำอีก แม้จะเข้าใจว่าทำไปเพื่อเขาก็เถอะ เข้าใจแต่ใช่ว่าจะไม่น้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ปรึกษาหรือไม่บอกอะไรเลย
“เอาเสื้อผ้าแล้วก็รีบไปอาบน้ำสิครับ”
“แต่ว่าวันนี้พี่อยาก...” ปัณณวีร์ละเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรมากมาย ศิลายังคงทำหน้านิ่งเฉยแล้วเดินไปเปิดประตูให้คนพี่
“แต่วันนี้ผมไม่อยาก ผมไม่มีอารมณ์พี่ไปอาบน้ำนอนเถอะหรือถ้าพี่อยากก็ช่วยตัวเองเอา” คนพี่ถึงกับไปต่อไม่เป็ ขนาดเอาเื่นี้มาอ้อนแล้วยังไม่ได้ผลอีก พลางคิดในใจว่าการง้ออีกฝ่ายคงไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้เสียแล้ว
“ไม่อยากจริงๆ หรอ” ก่อนจะเดินออกจากห้องปัณณวีร์ยังคงหยุดอยู่ตรงหน้าศิลาแล้วถามอีกครั้งเพื่อความชัวร์ พร้อมกับมือที่จะเอื้อมไปััส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายให้หมดความอดทน แต่ศิลาก็มือไวกว่าเช่นเคย จับมือเล็กเอาไว้ก่อนพร้อมดันหลังให้ออกจากห้องแล้วปิดประตูทันทีเพราะตอนนี้ใจเต้นแรงมาก กลัวว่าจะยอมให้ปัณณวีร์ง่ายๆ
“อ่อยขนาดนี้แล้วยังเมินกันได้” เสียงบ่นของคนพี่ดังเข้ามาทำให้คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูได้ยินเพราะไม่ทันได้เดินไปไหน ศิลาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนอนที่เตียง
ตกดึกปัณณวีร์ออกมาดื่มน้ำ นึกอะไรขึ้นมาได้จึงค่อยๆ ย่องไปเปิดประตูห้องของศิลา ร่างสูงนอนหลับไปแล้ว ปัณณวีร์จึงยิ้มแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปพร้อมปิดประตูเสร็จสรรพ เดินอย่างเบาเท้าที่สุดแล้วปีนขึ้นเตียงไปนอนข้างๆ ศิลาราวกับโจร เมื่อได้ขึ้นไปนอนเตียงแล้วปัณณวีร์ก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปกอดอีกคนจากด้านหลัง
ศิลาลืมตาขึ้นมา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึก เขารู้ั้แ่เตียงมันยุบลงแล้วเพราะยังหลับไม่สนิท ศิลาแกล้งทำเป็ไม่รู้ต่อไปให้คนพี่ได้นอนกอดตัวเองแบบนี้ต่อจนถึงเช้า พอตื่นมาก็ทำเมินเฉยใส่
“ผมว่าผมห้ามพี่เข้ามาในห้องนอนผมไม่ใช่หรอ แล้วเมื่อคืนพี่แอบเข้ามาตอนผมหลับทำไม” ศิลาพูดขึ้นตอนที่คนพี่ตื่นขึ้นมาแถมยังมาทำหน้าทำตามึนงงใส่อีก
“อ้าว พี่มาห้องนอนศิั้แ่ตอนไหน ทำไมพี่จำไม่ได้ล่ะ” ปัณณวีร์นั่งเกาหัวอยู่ที่เตียง ทำหน้าเหมือนจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนตัวเองเดินย่องเข้ามาในห้องเอง ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วกอดอีกฝ่ายเสร็จสรรพ
ศิลาเห็นหน้าดื้อๆ ของคนพี่ก็อยากจะจับมาฟัดให้เข็ด มาตีหน้าทำเป็จำไม่ได้เหมือนว่าศิลาจะเชื่อ
“พี่จะบอกว่าพี่ละเมอมางั้นสิ” ปัณณวีร์ยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับหน้าตาเฉยว่า
“ใช่ สงสัยเมื่อคืนพี่จะละเมอ ก็พี่เคยชินกับการนอนกอดศิหนิ”
“แต่ก็ไม่ได้นอนกอดผมเกือบเดือนเลยนะไม่เห็นจะละเมอมาแบบนี้เลย” ศิลาพูดเหน็บแนมกลับไปเล่นเอาปัณณวีร์ยิ้มเจื่อนออกมา
“พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะ ต่อไปจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”
“เชื่อได้หรอ”
ปัณณวีร์รีบลุกจากเตียงตรงเข้าไปกอดศิลาทันที “เชื่อได้”
“ผมยังไม่เชื่อเท่าไหร่ และอีกอย่างก็ยังคงโกรธอยู่” ศิลาแกะมือปัณณวีร์ออกก่อนจะเดินหนีเข้าห้องน้ำไป
ปัณณวีร์กัดริมฝีปากตัวเองแล้วพ่นลมออกทางจมูกแรงๆ “ง้อยากจังเลยนะ”
TBC.