กาลเวลาผันผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนนับจากเหตุการณ์วุ่นวายในสตูดิโอคราวนั้น เื่ราวที่เกือบจะเป็ข่าวฉาวถูกทางมหาวิทยาลัยใช้อำนาจมืดและความสัมพันธ์ส่วนตัวปิดข่าวเงียบกริบราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
พายุ กลับไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสมถะเช่นเดิม เขาได้งานพาร์ทไทม์ใหม่จากการแนะนำของอาจารย์บรรณารักษ์ห้องสมุดผู้เมตตา นั่นคือการแปลวรรณกรรมภาษาจีนโบราณเป็ภาษาไทย งานนี้แม้จะยากและต้องใช้สมาธิสูง แต่มันก็ทำรายได้ให้เขาพอเลี้ยงชีพและมีเงินเก็บอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเบาใจเื่ค่าเล่าเรียนเพราะได้รับทุนการศึกษาประเภทเรียนดีเด่นมาโดยตลอดั้แ่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่การเป็นักศึกษาปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์
ทว่า... ในเช้าวันที่ดูเหมือนจะปกติวันหนึ่ง ขณะที่พายุกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราอยู่หน้าตึกเรียน เสียงะโที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเพื่อนรักทั้งสองที่วิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล
"เฮ้ย! ไอ้ยุ! เกิดเื่ใหญ่แล้วมึง!" โย่ง ร้องเรียกพลางหอบหายใจถี่ "มึงรีบไปที่ตึกอำนวยการ... ห้องอธิการบดี เดี๋ยวนี้เลย!" ไต่ เสริมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าของเขาซีดเผือดจนพายุรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่สู้ดี
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น พยายามรวบรวมสติแล้วรีบก้าวยาวๆ มุ่งตรงไปยังตึกอำนวยการ โดยมีโย่งและไต่เดินตามหลังมาติดๆ ด้วยท่าทีที่กระสับกระส่าย
เมื่อถึงหน้าห้องอธิการบดี พายุสูดลมหายใจลึกก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
"ใคร?" เสียงทุ้มต่ำและเปี่ยมด้วยอำนาจดังมาจากด้านใน "ผม... ธาวินครับ" พายุตอบกลับไป
"เข้ามา"
ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปอย่างช้าๆ ภายในห้องกว้างขวางและเย็นฉ่ำด้วยแอร์คอนดิชันเนอร์ อธิการบดี ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมในวัยประมาณ 50 ปี กำลังนั่งขยับแว่นสายตาอ่านเอกสารกองโตในมืออย่างเคร่งเครียด เขาเงยหน้าขึ้นมองพายุด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความลำบากใจและเห็นใจอย่างปิดไม่มิด
"นั่งลงก่อนสิ ธาวิน" อธิการบดีพยักพเยิดไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
พายุนั่งลงด้วยความสงบ แม้ในใจจะเริ่มสั่นไหว อธิการบดีถอนหายใจยาวพลางวางเอกสารแผ่นหนึ่งลงเบื้องหน้าของชายหนุ่ม
"ทางมหาวิทยาลัยมีความจำเป็ต้องแจ้งเื่สำคัญกับเธอ... เื่ทุนการศึกษาประเภทเรียนดีที่สนับสนุนเธออยู่ บัดนี้คณะกรรมการมีมติเห็นควรให้ยุติการสนับสนุน และนำทุนส่วนนี้ไปมอบให้นักศึกษาคนอื่นที่มีความจำเป็และประสบปัญหามากกว่า"
พายุเหมือนถูกค้อนขนาดใหญ่ทุบเข้าที่หัวจนหูอื้อไปชั่วขณะ "แต่มหาลัยทราบดีนี่ครับว่าฐานะทางบ้านผมเป็อย่างไร และผลการเรียนผมก็ไม่เคยตก..."
อธิการบดีสบตาพายุด้วยสายตาที่เ็ปและจนใจยิ่งกว่าเดิม "ธาวิน... ฉันเสียใจจริงๆ นะ เธอเป็เด็กดี เป็เพชรเม็ดงามของคณะ" เขาเว้นจังหวะก่อนจะลดเสียงลงกึ่งกระซิบ "แต่เธอไม่น่าไปมีเื่ในวันนั้นเลย... อำนาจของ 'คนบางกลุ่ม' มันใหญ่เกินกว่าที่มหาวิทยาลัยจะแบกรับความเสี่ยงได้จริงๆ"
พายุนิ่งอึ้ง... เขาเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที นี่ไม่ใช่เื่ความจำเป็ทางการเงินของใครอื่น แต่มันคือการแก้แค้นที่เย็นเฉียบและเงียบเชียบของใครบางคนที่เขาเคยล่วงเกินไว้ในวันนั้น
พายุเดินออกจากห้องอธิการบดีด้วยความรู้สึกเหมือนร่างกายไร้ิญญา โย่งและไต่รีบกรูกันเข้ามาหาด้วยความเป็ห่วง แต่ชายหนุ่มเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “ไม่เป็ไรพวกมึง... กูไหว กูขอตัวกลับไปพักก่อนนะ”
นับั้แ่วันนั้น พายุแทบจะเลือนหายไปจากวงสังคมของเพื่อนฝูง เขาใช้เวลาทุ่มเทให้กับการทำงานพาร์ทไทม์อย่างบ้าคลั่ง โชคดีที่บุญเก่าจากการเป็ศิษย์รักยังพอมีผล อาจารย์หลายท่านที่เมตตาต่างช่วยหยิบยื่นงานเสริมมาให้ ทั้งงานแปลวรรณกรรมจีนที่ต้องใช้สมาธิสูง และงานออกแบบภูมิทัศน์ของมหาวิทยาลัย พายุเก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์เพื่อประคองความฝันทางการศึกษาของตนเองไว้ไม่ให้ล่มสลาย
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกสองเดือน จนถึงค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ บรรยากาศทั่วทั้งเมืองอบอวลไปด้วยแสงไฟและกลิ่นอายของการเฉลิมฉลอง แต่กระแสที่แรงยิ่งกว่าพลุปีใหม่คือซีรีย์ย้อนยุคฟอร์มั์ที่นำแสดงโดย ลิด้า และ เทพทร ซึ่งสร้างปรากฏการณ์เรทติ้งถล่มทลายจนท้องถนนว่างเปล่า เพราะทุกคนต่างเฝ้าหน้าจอรอชมบทสรุปของเื่ราว
ณ ภัตตาคารหรูใจกลางเมือง ทีมงานสร้างซีรีย์ได้เหมาพื้นที่ชั้นล่างทั้งหมดเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองปิดกล้อง และที่สำคัญไปกว่านั้น คืนนี้ยังเป็วันคล้ายวันเกิดของนางเอกสาวผู้สูงส่งอย่างลิด้าอีกด้วย
ภายในงานเลี้ยงที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ลิด้าปรากฏกายในลุคที่ดูผ่อนคลายแต่กลับเย้ายวนใจอย่างประหลาด เธอสวมเสื้อไหมพรมตัวโคร่งสีขาวบริสุทธิ์ที่ยาวลงมาคลุมเพียงต้นขา เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนละเอียดที่สะท้อนแสงไฟในงานชวนให้ผู้พบเห็นจินตนาการไปไกล หญิงสาวกำลังหัวเราะต่อกระซิกกับกลุ่มเพื่อนดาราอย่างมีความสุข
ไม่ไกลกันนัก เทพทรนั่งละเลียดวิสกี้ราคาแพงอยู่ในกลุ่มเพื่อนดาาาย แต่สายตาของเขากลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับแก้วเหล้า เขามักจะลอบมองเรียวขาขาวผ่องของลิด้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกระหายและอยาก
ในซอยเล็กๆ ข้างภัตตาคาร โย่ง และ ไต่ กำลังนั่งดื่มเบียร์ฉลองปีใหม่กันตามประสาเพื่อนฝูง ดื่มไปได้สักพัก โย่งก็ขยับตัวลุกขึ้น "เฮ้ยไอ้ไต่ เดี๋ยวกูไปหาซื้อของขวัญให้น้องชายก่อนนะ กะว่าจะเอาไปเซอร์ไพรส์วันขึ้นปีใหม่ที่บ้าน"
ไต่พยักหน้าส่งๆ ขณะที่โย่งเดินลัดเลาะตามซอยจนมาทะลุออกที่ทางเดินหน้าภัตตาคารพอดี เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะที่อึกทึกจากงานเลี้ยงดังเล็ดลอดออกมาสู่ภายนอก โย่งหันไปมองตามสัญชาตญาณผ่านผนังกระจกใสที่โอบล้อมภัตตาคารไว้
ภาพความหรูหราและใบหน้าของผู้คนที่เขาจำได้ติดตาปรากฏสู่สายตา โดยเฉพาะลิด้าที่ดูเจิดจรัสในชุดสีขาว และเทพทรที่นั่งเด่นอยู่ในวงล้อมของบดีการ์ด โย่งถอนหายใจยาวพลางส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับเพื่อเดินจากไป
ทว่าในวินาทีนั้นเอง... เทพทรที่กำลังกวาดสายตาไปรอบๆ กลับเหลือบไปเห็นร่างของโย่งผ่านกระจกใสพอดี แววตาที่กำลังเคลิบเคลิ้มด้วยฤทธิ์สุราพลันเปลี่ยนเป็แข็งกร้าวและเ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที
"หึ... เจอตัวจนได้ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน" เทพทรพึมพำกับตัวเองพร้อมกระตุกยิ้มที่มุมปาก
แรงอารมณ์และฤทธิ์วิสกี้ทำให้เทพทรสูญเสียการควบคุมตนเอง เขาลุกพรวดขึ้นจนเก้าอี้กระแทกพื้นเสียงดังสนั่น ก่อนจะก้าวฉับๆ ออกไปนอกภัตตาคารท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคนในงาน แสงไฟจากงานเลี้ยงส่องผ่านกระจกหนาตกกระทบใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความถือดีของเขา
"อาวววว นึกว่าใครที่ไหน! ที่แท้ก็นักศึกษาฉายไฟผู้ยิ่งใหญ่นี่เอง... ฮ่าๆ!" เสียงเยาะเย้ยของเขาดังแหว่งอากาศในจังหวะที่ดนตรีข้างในหยุดพักพอดี ทำให้ทุกคนในภัตตาคารหันมามองเป็ตาเดียว
ลิด้า ใจกระตุกวูบเมื่อเห็นร่างที่คุ้นตาของโย่งยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวด้านนอก เธอรีบผุดลุกขึ้นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที เพื่อนดาราสาวต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความสงสัย
"ไง! แล้วไอ้เพื่อนตัวดีของแกไปไหนล่ะ? ชอบแส่หาเื่นักไม่ใช่เหรอ!" เทพทรคำรามใส่โย่งที่ยืนกำหมัดแน่น "คงหมดปัญญา... จนต้องลาออกไปแล้วล่ะสิ นี่แหละคือผลของการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!"
ลิด้าที่เพิ่งมาถึงชะงักกึก คำว่า "ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง" และ "ลาออก" ทำให้หัวใจของเธอเย็นวาบด้วยความเฉลียวใจ รอยร้าวในใจที่เธอเคยสงสัยเริ่มปะติดปะต่อกันเป็ภาพที่ชัดเจน
"เออ! มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ นั่นแหละ!" โย่งะโกลับ เสียงสั่นเครือด้วยความอัดอั้นจนดวงตาแดงก่ำ "มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจนโดน 'ควาย' ที่ไหนไม่รู้ใช้อำนาจสกปรกแย่งทุนเรียนมันไป! มันโง่เองที่เสือกเข้าไปช่วยเพื่อนโง่ๆ อย่างกู!"
โย่งก้าวเดินเข้าหาเทพทรอย่างลืมตาย บอดี้การ์ดร่างั์รีบถลาออกมาคุมเชิงทันที ขณะเดียวกัน ไต่ และกลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่ได้ยินเสียงเอะอะต่างวิ่งกรูออกมาจากซอยข้างๆ เพื่อฉุดรั้งโย่งไว้ไม่ให้เื่บานปลาย
วินาทีนั้น ลิด้าเข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง... ความจริงที่ว่าพายุต้องสูญเสียอนาคตเพราะน้ำมือของชายที่ยืนอยู่ข้างกายเธอ หญิงสาวหันขวับไปหาเทพทรแววตาที่เคยนิ่งเรียบบัดนี้ลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธ
"นี่มันเื่อะไรคะคุณเทพทร!" ลิด้าสะบัดเสียงใส่ด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง "คุณทำลงไปได้ยังไง? คุณทำแบบนี้กับเขาลงคอได้ยังไงฮึ!"
ลิด้าสะบัดแขนจากการเกาะกุมของเทพทรอย่างรังเกียจ แล้วก้าวตรงไปยังกลุ่มนักศึกษาที่กำลังชุลมุน เธอโค้งตัวลงเล็กน้อยอย่างอ่อนน้อมต่อหน้าโย่งและไต่ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของดาราทั้งงาน
"ฉันขอโทษค่ะ... ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่เคยรู้เื่นี้มาก่อนเลยว่าคุณเทพทรทำเื่ต่ำช้าขนาดนี้" น้ำเสียงของเธอสั่นเครือด้วยความรู้สึกผิด "ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ? เพื่อนของคุณน่ะ... กรุณาบอกฉันทีว่าเขาอยู่ที่ไหน!"
"ลิด้า! ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน!" เทพทระโขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ "มันจะเป็ตายร้ายดียังไงก็ช่างหัวมันสิ!"
ลิด้าไม่แม้แต่จะหันไปมอง เขาเธอกลับสั่งบอดี้การ์ดของเทพทรด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด "พาเ้านายของพวกนายกลับเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้! อย่าให้เขาออกมาทำกิริยาทรามๆ แบบนี้อีก!"
บอดี้การ์ดก้มหัวรับคำสั่งพยายามพยุงตัวเทพทรที่ยังคงสบถด่าอย่างไม่ยินยอมกลับเข้าสู่ภัตตาคาร ทิ้งให้ลิด้ายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาที่มองเธอด้วยสายตาที่หลากหลาย แต่ในใจของหญิงสาวบัดนี้มีเพียงภาพเดียว... คือแววตาตัดพ้อของชายหนุ่มคนนั้นในวันที่เขาเดินออกจากสตูดิโอไป
ท่ามกลางบรรยากาศที่คุกรุ่นด้วยความรู้สึกผิดและแรงกดดัน ไต่ ซึ่งเริ่มมีอาการมึนเมาจนความประหม่าจางหายกลายเป็ความกล้าบ้าบิ่น เขาขยับแว่นสายตาพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัยกึ่งประชดประชัน
"คุณลิด้า... คุณอยากเจอมันไปทำไมครับ? คนอย่างพวกผมไม่น่าจะมีอะไรที่คนอย่างคุณ้านี่"
ลิด้าไม่ได้โกรธเคืองในน้ำเสียงนั้น ดวงตาคู่สวยของเธอกลับสั่นระริกด้วยความร้อนรใจ "ขอให้ฉันได้พบเขาก่อนได้ไหมคะ... ฉันมีเื่ต้องคุยกับเขาจริงๆ เขา... เขาชื่อ ธาวิน ใช่ไหมคะ?"
"ใช่ครับ" ไต่ตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนรัก "มึงเห็นมันบ้างหรือเปล่าวะวันนี้?"
โย่งส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง "มึงก็รู้... ตอนนี้มันทำงานตัวเป็เกลียว หัวหมุนจนแทบไม่มีเวลากินข้าว"
ทันใดนั้น เพื่อนในกลุ่มนักศึกษาคนหนึ่งที่ยืนฟังอยู่ก็โพล่งขึ้นมา "เฮ้ย! เมื่อกี้กูเดินผ่านหน้าหอศิลปะมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งทรงคล้ายๆ มัน ยืนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่แถวนั้น ถ้าตากูไม่ฝาดนะ"
"เออ! กูว่ากูก็เห็นมันเหมือนกัน" เพื่อนอีกคนรีบสำทับ "ไอ้พายุมันเดินอยู่แถวหน้าหอศิลปะนั่นแหละ ท่าทางมันดูซึมๆ ว่ะ"
คำว่า "พายุ" ที่หลุดออกมาจากปากเพื่อนนักศึกษา ทำเอาลิด้าถึงกับหน้าซีดเผือด หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะจนรู้สึกปวดแปลบในอก เธอพึมพำเสียงสั่นพร่าอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
"ดะ... เดี๋ยวดีนะคะ... ธาวิน... พายุ งั้นเหรอ?"
โย่งที่เพิ่งนึกขึ้นได้รีบเอ่ยเสริม "อ้อ... ขอโทษครับคุณลิด้า ผมลืมบอกไป เ้าธาวินที่คุณเรียกน่ะ จริงๆ แล้วเพื่อนๆ ทุกคนเรียกมันว่า 'พายุ' ครับ มันคือคนเดียวกัน"
เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ลิด้าถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาอุ่นๆ ไหลร่วงลงมาอาบแก้มในทันที ความจริงที่เธอเพิ่งได้รับรู้มันช่างรุนแรงเกินกว่าจะตั้งตัวได้
พายุ... โอ้ไม่ นี่เรามัน..ทำไมถึงไม่ฉุกคิด นึกถึงตอนที่ชายหนุ่มตัดพ้อด้วยความเ็ปในสตูดิโอ เขาคนนั้น คนที่อยู่ในใจทั้งยามหลับยามตื่นและต้องสูญเสียอนาคตเพราะความถือดีของคนรอบกายเธอ
"พายุ... รอก่อน คนดี รอลิด้าก่อน ลิด้าขอโทษ"
โดยไม่สนสายตาใครในงานเลี้ยง ไม่สนชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์นางเอกอันดับหนึ่ง ลิด้าหมุนตัวแล้วออกวิ่งไปในความมืดของค่ำคืนวันส่งท้ายปีทันที เธอวิ่งสุดกำลังมุ่งหน้าไปยังหอศิลปะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เสียงหัวใจที่เต้นรัวแข่งกับเสียงพลุที่เริ่มถูกจุดฉลองปีใหม่ในระยะไกล ในใจมีเพียงคำอธิษฐานเดียว...
อย่าเพิ่งไปไหนนะพายุ... ได้โปรด รอฉันก่อน! พายุจ้า...
