“อุ๊ย! ตอนแรกข้ายังคิดอยู่เลยว่าใครกันถึงกับต้องให้พี่ซูออกไปรับด้วยตัวเองจึงจะยอมเข้ามาที่แท้ก็คือองค์หญิงจาวหยางผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนี่เอง”
“อุ๊ยตาย! ข้าเกือบลืมไปแล้ว ยังมีองค์หญิงจาวหยางเสียที่ไหนก็แค่กงอี่โม่หญิงสามัญชนเท่านั้นเอง” จั่วซีเป็คนแรกที่แสดงเจตนาอย่างชัดเจนขณะที่กล่าวนั้น นางยังป้องปากหัวเราะ
แค่กงอี่โม่เดินเข้ามา ท่ามกลางเนินเขามวลบุปผา นางััได้ถึงสายตาที่เป็อริจากหญิงสาวจำนวนไม่น้อย
เวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดของจั่วซีแล้ว นางก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใดกงอี่โม่หาที่นั่งด้วยตนเอง จากนั้นจึงนั่งลงนาง้าดูว่าหญิงสาวกลุ่มนี้จะทำอะไรนางได้บ้าง?
เมื่อเห็นกงอี่โม่ไม่สนใจ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆนางอย่างซูเมี่ยวหลันจึงร้อนใจยิ่งนัก นางกะพริบตาพร้อมขมวดคิ้วจากนั้นจึงเอ่ยเตือน “ซีเอ๋อร์ ผู้มาเยือนย่อมเป็แขกเ้าเสียมารยาทกับน้องกงได้อย่างไร?”
“นางจะนับเป็น้องสาวของข้าได้อย่างไร?” ใช่ กงอี่โม่น่าจะมีอายุน้อยที่สุดในที่แห่งนี้แล้ว จั่วซีอารมณ์เสีย
เมื่อผู้คนได้ยินประโยคนี้ ทุกคนต่างรอการตอบโต้จากกงอี่โม่แม้กระทั่งซูเมี่ยวหลันก็รอดูนางออกอาการทว่ากลับเห็นเพียงกงอี่โม่มีท่าทางตามปกติราวกับไม่เห็นสายตาเ่าั้กงอี่โม่กวาดตามองเบื้องหน้า นางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“ไหนว่าเป็งานเลี้ยงน้ำชาไม่ใช่หรือ? ของว่างล่ะ? สุราล่ะ? ซูเมี่ยวหลัน เ้าคงไม่ได้เชิญข้ามาเพื่อนั่งเฉยๆ เช่นนี้หรอกนะ”
คำพูดของนางยังคงไม่มีความเกรงใจใดๆ เหมือนเช่นเคยเมื่อได้ยินนางเรียกชื่อของตนด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งอย่างเป็ธรรมชาติแล้วซูเมี่ยวหลันจึงนิ่งงันอยู่ที่เดิม เมื่อนางได้สติกลับคืนมาความอัปยศที่เคยได้รับจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่ของนางพลันคลอไปด้วยน้ำตาทว่านางยังคงกัดฟันฝืนยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น
“เป็เพราะข้าเตรียมการไม่พร้อม น้องกงโปรดรอสักครู่”
ท่าทางของซูเมี่ยวหลันทำให้จั่วซีโกรธจัดนางตบโต๊ะเตี้ยเบื้องหน้าอย่างแรงพร้อมกล่าวอย่างเดือดดาล
“เ้าเป็ใครกัน?! กล้าชี้นิ้วสั่งท่านพี่เช่นนี้? ผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างมีศักดิ์สูงกว่าเ้านับพันเท่า! เ้าไม่คุกเข่าทำความเคารพก็ช่างเถอะ! แต่เอาแต่คิดถึงเื่กินเื่ดื่ม? ถุย! ช่างไร้มารยาทไร้การสั่งสอนจริงๆ!”
เสียงของจั่วซีดังมากแม้กระทั่งหญิงสาวที่กำลังชื่นชมดอกไม้ในระยะไกลก็ทยอยหันศีรษะกลับมา
“จากเสียงเอะอะเช่นนี้ นางน่าจะมาถึงแล้ว” ฉินเข่อเอ๋อร์ประคององค์หญิงใหญ่กงหานเยว่นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นาง?” กงหานเยว่ชะงักไปชั่วครู่นางหยุดคิดไปสองสามวินาทีจึงเพิ่งเข้าใจ จากนั้นจึงเลิกคิ้วเรียวขึ้นั์ตาสะท้อนเจตนาร้าย
“ในเมื่อเป็เช่นนี้พวกเราก็เข้าไปดูกันเถอะ”
ฉินเข่อเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างจนปัญญา นางได้แต่รับคำ
“ข้ากล่าวผิดหรือ?” กงอี่โม่เห็นจั่วซีโกรธจัดเช่นนี้ อีกฝ่ายเหมือนกำลังนิ่งงันอยู่กับที่แต่แล้วจึงลูบใบหน้าอย่างฉับพลัน เพียงไม่นานจึงเอ่ยปากยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“เป็เพราะเ้าเชิญข้ามาดื่มน้ำชาดื่มสุราอยู่หลายครั้งตอนนี้เ้ากลับยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน คิดจะดูละครต่อไปอย่างนั้นหรือ? เมื่อสักครู่เ้าบอกว่าจะไปเตรียมการแล้วทำไมเ้าต้องยืนทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงนี้? หรืออยากทำตัวน่าสงสารจึงกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจอย่างนั้นหรือ?” นางหันศีรษะไปมองซูเมี่ยวหลันที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้นางจึงแสดงท่าทางรำคาญ
คำพูดของนางทำให้ซูเมี่ยวหลันใบหน้าซีดขาวเจตนาที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คนอื่นช่วยกันรุมรังแกกงอี่โม่ ส่วนนางก็จะรอชมละครอย่างเพลิดเพลิน ทว่าตอนนี้นางถูกคนอื่นระบุโดยตรงว่านางแกล้งทำตัวน่าสงสารคิดจะยืมมือผู้อื่นเล่นงาน ส่วนตัวเองกลับรอชมละคร คำกล่าวเช่นนี้จึงแทงใจยิ่งนัก
“น้องกง ข้า ข้าเปล่า” นางรีบโบกมือ
นางกล่าวไม่ทันจบ ท่าทางเหมือนจะล้มลง จึงดูน่าสงสารยิ่งนักจั่วซีดึงนางไปด้านหลัง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
“ร้ายมาก เ้าไม่ได้ยินข้าพูดหรืออย่างไร? คุกเข่า! เ้าต้องคำนับสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายในที่แห่งนี้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าเ้า! นี่คือมารยาทพื้นฐานที่สามัญชนอย่างเ้าจำเป็ต้องรู้!”
กงอี่โม่ทำท่าราวกับไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังบีบบังคับตนเอง นางกวาดตามองรอบตัวหญิงสาวบริเวณนี้บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืน ต่างรวมตัวเป็กลุ่มเล็กๆ อยู่ด้วยกัน
ไม่รู้เป็เพราะเหตุใด เมื่อถูกนางกวาดตามองด้วยสายตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ผู้คนทั้งหลายต่างรู้สึกเกรงกลัวอยู่ในใจ
ในกลุ่มนี้มีบางส่วนที่เคยเจอกงอี่โม่บ้างก็ถูกคนในตระกูลกล่าวย้ำหลายครั้งว่าไม่ควรไปหาเื่นางเวลานี้คนเหล่านี้จึงรู้สึกหวั่นเกรง
“พวกเ้าก็้าให้ข้าคำนับด้วยหรือ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งๆ ที่นางอายุยังน้อยทว่าการกระทำของนางกลับทำให้คนอื่นตื่นตระหนก
เดิมทีจั่วซีคิดว่าคนอื่นๆ จะร่วมกดดันกงอี่โม่ด้วยเช่นกันทว่าหญิงสาวเหล่านี้กลับตะลึงกับสายตาของกงอี่โม่พวกนางจึงไม่กล้าเงยหน้าร่วมประสมโรง
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงกลัวข้า?” เวลานี้กงอี่โม่จึงมองไปที่จั่วซีนางพลันอ้าปากหัวเราะเสียงดังสองสามครั้ง
นางนั่งอย่างเกียจคร้านพร้อมชี้ไปทางผู้คน ท่าทางมั่นใจ ดูไม่แยแสแม้แต่น้อย
จั่วซีงุนงงแล้ว ไม่รู้เป็เพราะเหตุใดนางพลันรู้สึกว่าสาวน้อยที่นั่งอยู่เบื้องหน้ามีท่าทางราวกับท่านปู่ผู้เป็แม่ทัพของตนอย่างบอกไม่ถูกดังนั้นนางจึงเอ่ยต่ออย่างมึนงง
“เพราะเหตุใดหรือ?”
กงอี่โม่เงยหน้าขึ้นยิ้ม ท่ามกลางแสงตะวัน รอยยิ้มนี้กลับบาดตายิ่งนัก
“เพราะว่าตอนที่ข้าสิบขวบข้าสังหารนักฆ่าสิบสามคนต่อหน้าสตรีในวังหลังและขุนนางใหญ่จำนวนมาก คุณหนูเ้าเคยสังหารคนหรือเปล่า?”
ขณะที่กล่าวประโยคสุดท้าย นางก็ตวัดตามองอย่างเ็าสายตาเช่นนี้เต็มไปด้วยไอพิฆาตและความเมินเฉย ทำให้จั่วซีรู้สึกขาอ่อน นางทรุดนั่งอยู่กับพื้นอย่างฉับพลัน
แม้จะมีท่าทางหวาดกลัวหมดสภาพเช่นนี้ทว่าผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะนาง
“ผู้ที่กลัวสามัญชนคนหนึ่งอย่างเ้ามีสิทธิ์อะไรให้ข้าต้องคุกเข่าคำนับ?” ส่วนกงอี่โม่ทำเพียงก้มหน้ามองนางพร้อมยิ้มอย่างราบเรียบ
หลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เมื่อจั่วซีได้สติกลับคืนมา นางจึงรู้สึกเจ็บใจ
ทว่าเมื่อนางเงยหน้าขึ้น สายตาของอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยความเวทนา ความเ็า และความอาฆาตทั้งๆ ที่เป็เพียงชั่วพริบตาแต่กลับทำให้จั่วซีรู้สึกราวกับถูกของแหลมคมบางอย่างกรีดเข้าใส่นางกรีดร้องออกมาหนึ่งคำ
ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าจะมีคนที่มีสายตาน่าสะพรึงถึงเพียงนี้
เมื่อจั่วซีพ่ายไปแล้ว ซูเมี่ยวหลันที่อยู่ด้านหลังของนางจึงเริ่มแสดงสีหน้าอาฆาตขึ้นบ้าง
ขณะที่คนอื่นยังไม่ทันสังเกตนั้น นางถลึงตาใส่จั่วซีที่ยังตื่นตระหนกอยู่ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ปกติดูอวดดีราวกับคนบ้าทว่าถูกอีกฝ่ายขู่ไม่กี่คำก็ถึงกับทรุดตัวล้มลง
เดิมทีนางคิดจะเล่นงานกงอี่โม่ให้อับอายขายหน้าแต่คาดไม่ถึงว่าแม้กงอี่โม่จะเป็เพียงสามัญชน แต่กลับเล่นงานไม่ง่ายเลยนางกำหมัดขึ้น ดูเหมือนว่ากำลังกัดฟันกรอด
กงอี่โม่มองใบหน้าบิดเบี้ยวของซูเมี่ยวหลันที่อยู่เบื้องหน้าของตนช่างสะใจยิ่งนัก นางชอบมองคนที่ไม่ชอบนางแต่กลับไม่สามารถเล่นงานนางได้เช่นนี้
“นางไม่มีสิทธิ์! แล้วไม่ทราบว่าข้ามีสิทธิ์หรือไม่?”