ณคฤหาสน์ชานเมือง
คฤหาสน์หลังนี้เป็ทรัพย์สินของฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวที่ได้รับจากทางมารดาตอนสมรสภายภาคหน้าจะกลายเป็ทรัพย์สินติดตัวของซูเมี่ยวหลันตอนสมรสอย่างแน่นอน
ในศาลายาวบริเวณูเาจำลองที่อยู่ไม่ห่างนักมีหนุ่มสาวที่ได้รับเชิญเดินเข้ามา ที่นี่ไม่ได้แบ่งแยกชายหญิงอย่างเคร่งครัดขอแค่ไม่ได้รวมตัวอยู่ในที่เดียวกันก็พอแล้ว
เวลานี้มีสตรีสูงศักดิ์ในชุดยาวปักลายร้อยบุปผาผู้หนึ่งนางกล่าวกับหญิงสาวที่แลดูเหมือนเป็ผู้นำในที่แห่งนี้เสียงเบา “องค์หญิงใหญ่ได้ยินมาว่าวันนี้กงอี่โม่ก็มาด้วยเพคะ”
“ก็แค่สามัญชนคนหนึ่ง นางมาทำอะไร?”
กงหานเยว่ผู้เป็องค์หญิงใหญ่เลิกคิ้วเรียวยาวของตนขึ้นเล็กน้อย นางสบถหนึ่งคำแม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้าอย่างเด่นชัด ทว่าในใจของนางกลับคาดไม่ถึงเป็อย่างมากนางไม่อยากเจอน้องสาวที่แต่ก่อนเคยเป็ที่โปรดปรานมากที่สุดผู้นี้เลย
“ได้ยินมาว่าซูเมี่ยวหลันยืมมือหลิ่วชิงชิงบีบนางมาเพคะ” สตรีสูงศักดิ์ในชุดร้อยบุปผาคลี่ยิ้ม
นางมององค์หญิงใหญ่เบื้องหน้า ท่าทางเหมือนยังไม่รู้เื่อะไรแต่นางไม่ได้กล่าวไปมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่นางควรกล่าวก็ได้กล่าวไปหมดแล้ว หากยังคิดไม่ได้อีกก็ไม่ควรกล่าวโทษนาง
แม้องค์หญิงใหญ่ผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็องค์หญิงใหญ่ ทว่ากลับไม่เป็ที่โปรดปรานอีกทั้งตอนนี้นางอายุเกือบยี่สิบปีแล้วแต่กลับยังไม่ได้แต่งงานซึ่งถือว่าเป็สาวเหลือในยุคสมัยนี้แล้ว
เวลานี้กงหานเยว่กำลังครุ่นคิดนางไม่เข้าใจว่าคำพูดที่ฉินเข่อเอ๋อร์กล่าวกับนางหมายความเช่นไรแต่ในเมื่อคิดไม่ออกนางจึงไม่คิดอีก
ส่วนอีกด้าน แม่นางน้อยในชุดยาวสีชมพูยู่หน้าเอ่ยถาม “พี่ซู ท่านใจดีเกินไปแล้วทำไมต้องเชิญนางมาด้วย นางน่ารำคาญจะตายแล้วยังแย่งผลงานปักที่ท่านใช้เวลาปักตั้งหนึ่งปีท่านควรปล่อยให้นางดิ้นรนตัวคนเดียวมากกว่า”
“อย่ากล่าวเช่นนี้เลย แค่นี้องค์หญิงจาวหยางก็น่าสงสารมากพอแล้ว” ซูเมี่ยวหลันป้องริมฝีปากกล่าวขึ้น
“องค์หญิงจาวหยางเสียที่ไหน นางไม่ใช่ตั้งนานแล้ว” สาวน้อยขมวดคิ้วมุ่น
“ท่านอย่ากลัวเลย ข้าจั่วซีจะต้องทวงความยุติธรรมคืนให้ท่านอย่างแน่นอน”
เวลานี้มีเสียงรายงานดังขึ้น จากนั้นหลิ่วชิงชิงก็มาถึงแล้วนางเดินอยู่หน้าสุดด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เวลานี้นางอยู่ในชุดผ้าอวิ๋นต้วนหายากศีรษะทำผมทรงย้อยจากหลังอาชาซึ่งเป็ทรงที่นิยมที่สุดของเมืองหลวงในเวลานี้ขณะย่างก้าวนั้น เส้นผมของนางจะเคลื่อนไหวไปมาตามจังหวะการก้าวเดินท่าทางกรีดกรายสง่างาม ทว่าเมื่อคนอื่นมองนางกลับมองผ่านไปอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงทอดสายตาอยู่ที่เื้ัของนาง
ช่วยไม่ได้จริงๆ องค์หญิงจาวหยางเป็ปริศนาเกินไปไม่ว่าจะเป็การกลับมาจากตำหนักเย็นหรือการเป็ที่โปรดปรานหนึ่งเดียวใน่สองปีที่ผ่านมาทว่านางกลับปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก
ส่วนผู้ที่มีคนในตระกูลทราบข่าวว่ากงอี่โม่จะเข้าร่วมงานนี้พวกเขาจะกำชับคนของตนว่าห้ามแสดงตัวเป็ปฏิปักษ์กับนาง ดังนั้นแม่นางน้อยที่อยู่ในวัยสดใสแข็งแรงจึงอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็เช่นไรกันแน่เพราะเหตุใดยังมีคนเกรงกลัวถึงเพียงนี้ทั้งที่นางถูกถอดพระยศจนกลายเป็สามัญชนแล้ว
เหตุการณ์ในเวลานี้ทำให้หลิ่วชิงชิงถึงกับกัดฟันกรอด
ทว่าเพียงไม่นาน นางก็คลี่ยิ้มออกมาคนที่พวกนางเหล่านี้รอคอยกำลังถูกขวางอยู่หน้าประตูใหญ่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาภายในงานได้หรือไม่!
“ข้าจะนับถึงสาม หากพวกเ้าไม่ให้ข้าเข้าไป ข้าจะเดินทางกลับทันที” เวลานี้เนื่องจากมีคนขวางไว้กงอี่โม่จึงยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ทว่านางไม่ได้โกรธ แต่กล่าวเพียงประโยคเดียว
โดยปกติหากเป็หญิงสาวคนอื่นจะรู้สึกเป็เกียรติที่ได้ปรากฏตัวในงานเลี้ยงเช่นนี้หรือบางคนอาจมีเจตนาอื่น พวกนางมักใช้งานเลี้ยงเช่นนี้ติดต่อผู้คนทั้งหลายทว่ากงอี่โม่กลับไม่้าอะไร นางไม่สนใจแม้กระทั่งงานเลี้ยงในพระราชวังจึงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงงานเลี้ยงส่วนตัวของสาวน้อยเหล่านี้เลย
สายตาไม่สนใจของกงอี่โม่เหมือนไม่ใช่การเสแสร้งตอนที่หลิ่วชิงชิงเดินเข้าไปเมื่อสักครู่นั้นนางได้แอบส่งสายตาสื่อสารให้พวกเขาสร้างความอับอายให้กับสาวน้อยเบื้องหน้าทว่าหากกงอี่โม่ไม่ได้เข้าไป พวกเขาจะถูกลงโทษหรือไม่?
มีคนรีบไปรายงานเ้านายในงานเลี้ยงครั้งนี้เดิมทีซูเมี่ยวหลัน้ารอชมเหตุการณ์อย่างเพลิดเพลินทว่าหากกงอี่โม่ไม่ได้เข้ามา แล้วนางจะมีโอกาสรับชมความสนุกได้อย่างไร? ดังนั้นนางจึงไม่สนใจเสียงคัดค้านของผู้อื่นแต่กลับเดินออกไปต้อนรับด้วยตนเอง ท่าทางของนางดูนอบน้อมยิ่งนัก
กงอี่โม่มองใบหน้าที่แสนคุ้นเคยเบื้องหน้าด้วยสายตาเ็านางยิ้มเย็นจากนั้นจึงเดินตรงไป
ทว่านางเป็เพียงสามัญชนคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็สามัญชนที่เคยเหนือกว่าใครๆเมื่อถูกซูเมี่ยวหลันพาเข้ามาด้วยวิธีเช่นนี้จึงเป็การวางเพลิงเผานางอย่างไม่ต้องสงสัย เจตนาเช่นนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก
ทว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?