การลงมือเล่นงานใครจำเป็ต้องสู้บุคคลผู้นั้นให้ได้ก่อนเซินสือเย่แอบน้ำตาไหลอยู่ในใจอีกครั้ง ทว่าเขากลับกล่าวว่า“ข้าเป็คนชอบทำร้ายสตรีหรือ?”
เขาเชิดหน้าอย่างอวดดี “ข้าแลกภาพปักชิ้นนี้มาจากมือนางนางถูกไล่ออกมาจากวังแล้วไม่มีที่อาศัย พอดีข้ามีเรือนว่างอยู่ ดังนั้นข้าจึงทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับนาง”
คำพูดของเขาทำให้ซูเมี่ยวหลันรู้สึกเสียดายทว่าเมื่อคิดถึงองค์หญิงจาวหยางในอดีต เวลานี้กลับต้องขออาศัยที่พักจากคนอื่นนางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“ไม่ได้ทำก็ดีแล้ว” นางแสดงออกเหมือนกำลังโล่งใจพร้อมกะพริบตาคู่สวยสีหน้าแสดงความเห็นใจอย่างฉับพลัน
“องค์หญิงน่าสงสารจริงๆ นางถูกขับไล่ออกมาเช่นนี้อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินว่านางมีเพื่อนที่ไหน นางอยู่คนเดียวน่าจะโดดเดี่ยวยิ่งนัก”
กงอี่โม่จะรู้สึกโดดเดี่ยวไหม? ไม่รู้เป็เพราะเหตุใดเซินสือเย่พลันคิดถึงรอยยิ้มอันโดดเดี่ยวของนางยามที่นางหมุนตัวกลับมาเมื่อได้ยินว่าเขาจะให้ที่พักกับนาง
“พี่เซิน ท่านว่าทำเช่นนี้ดีไหม? อีกไม่กี่วันข้าเตรียมจัดงานเลี้ยงน้ำชาที่คฤหาสน์อีกแห่งพวกเราเชิญนางมาด้วยดีไหม? นางจะได้รู้จักหญิงสาวในเมืองหลวง บางทีนางอาจได้เจอเพื่อนหลายๆ คน?” ซูเมี่ยวหลันไม่เห็นความผิดปกติของเซินสือเย่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
แม้จะกล่าวเช่นนี้แต่ในใจของนางกลับกำลังยิ้มเย้ยหยัน
ตอนนี้ฝ่าาได้ถอดพระยศของนางแล้วจึงไม่ใช่เวลาที่นางจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเ่าั้ย่อมพยายามหลีกเลี่ยงพบปะกับนางขอแค่ไม่แสดงตัวโจ่งแจ้งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ให้ทำตัวสนิทสนมหรือ? หึๆ
ทว่าเซินสือเย่ไม่ได้คิดมากมายขนาดนี้ เขาเจตนาดีคิดว่าหญิงอัปลักษณ์เช่นกงอี่โม่ควรจะมีเพื่อนผู้หญิงบางส่วน นางเป็สาวเป็นางอ่อนแอสักหน่อยน่าจะดี นางจะเก่งกาจกว่าชายหนุ่มไปทำไม?
“ได้ เดี๋ยวข้าจัดการเื่นี้เอง” เมื่อได้ยินข้อเสนอของซูเมี่ยวหลันแล้วเขาจึงรีบพยักหน้า
“หากตอนนี้องค์หญิงกำลังเสียใจจนไม่ยอมมาจะทำอย่างไรดี?” ซูเมี่ยวหลันเกรงว่าอาจไม่สำเร็จนางจึงกล่าวขึ้นอีก
“วางใจเถิด เ้ามีเจตนาดีเช่นนี้ นางไม่มีทางปฏิเสธหรอก อีกอย่าง ข้าเป็ใคร? ถึงต้องมัดตัวนางมาข้าก็ต้องจัดการเื่นี้ให้เ้าสำเร็จ” เซินสือเย่โบกมือ เขาพลันลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ใครเป็คนเล่นงานเขาจนเขาไม่อาจตอบโต้แม้แต่น้อย
“พี่เซินช่างน่าขันจริงๆ” ซูเมี่ยวหลันจึงผ่อนลมหายใจ นางกล่าวขึ้น
ณตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาทในเวลานี้
“เป็อย่างไรบ้าง?มีข่าวคราวหรือไม่?”
เมื่อบุคคลผู้นั้นเข้ามาจึงถูกกงเช่อดึงตัวไว้ทันทีเวลานี้สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจ ใบหน้าซีดเซียวไม่เหลือร่องรอยความเคร่งขรึมอ่อนโยนเหมือนปกติ
ผู้ที่ถูกดึงตัวไว้นั้น จะคุกเข่าก็ไม่ได้ จะไม่คุกเข่าก็ไม่ควรจึงได้แต่แสดงสีหน้าลำบากใจ
“ไม่มีข่าวคราว องค์หญิงไม่ได้ไปหาผู้ใด แล้วก็ไม่ได้ไปที่ร้านค้าที่นางเป็เ้าของ”
“ไม่มีทาง” กงเช่อเข้าใจอย่างชัดเจน สำหรับกงเจวี๋ยแล้วกงอี่โม่คือทั้งหมดของเขา ส่วนกงอี่โม่ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อเขา
ครั้งนี้กว่ากงอี่โม่จะส่งกงเจวี๋ยไปอยู่กับตระกูลทางมารดาของเขาสำเร็จไม่ง่ายเลยอีกทั้งนางยังหาโอกาสให้เขาสร้างความดีความชอบ นางต้องกลัวว่าเขาจะเสียสมาธินางจึงต้องคิดหาวิธีปิดบังเื่นี้จากกงเจวี๋ย ทว่านางไม่มีคนของตัวเอง นางจำเป็ต้องยืมคนของทางตระกูลมารดาของกงเจวี๋ยก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าก่อนกงอี่โม่ออกจากวัง นางได้ส่งจดหมายไปหาอ๋องแดนประจิม เพื่อไม่ให้กงเจวี๋ยเป็กังวลดังนั้นสถานการณ์ที่เป็ไปได้สูงสุดก็คือนางต้องอยู่ด้านนอกตัวคนเดียว
ความคิดนี้ทำให้กงเช่อรู้สึกเ็ป ทว่าไม่เป็ไรอีกไม่กี่วันก็ถึงวันบวงสรวงแล้ว เสด็จพ่อต้องยกเลิกการลงโทษกักบริเวณของตนถึงเวลานั้นเขาจะไปตามหานางด้วยตัวเอง
ส่วนทางด้านกงอี่โม่ เมื่อได้ยินคำพูดของเซินสือเย่แล้วนางจึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
เซินสือเย่ไม่กล้าหายใจแรง ก่อนหน้านี้เขารับปากน้องซูอย่างเป็มั่นเป็เหมาะภายหลังเขาจึงเพิ่งคิดได้ว่ากงอี่โม่ไม่ใช่สาวน้อยธรรมดานางสามารถสยบเขาได้ทุกนาที เป็สตรีที่เก่งกล้ายิ่งกว่าบุรุษทว่าในเมื่อเขาได้เอ่ยปากออกไปแล้ว หากเขาทำไม่ได้ตามคำพูดแล้วเขาจะทำเช่นไร?
ดังนั้นเวลานี้เขาจึงรินน้ำชาให้กงอี่โม่อย่างเชื่อฟัง ์ย่อมรู้ดีว่าเขายังไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้ให้กับบิดาของเขา
กงอี่โม่แอบยิ้มในใจ นางจินตนาการล่วงหน้าได้เลย หากนางไปจริงๆสิ่งที่รอนางอยู่ต้องเป็ปัญหามากมายอย่างแน่นอนจากนิสัยที่ชอบแก้แค้นของซูเมี่ยวหลัน ก่อนหน้านี้นางแย่งงานปักมาโดยไม่ตั้งใจเพียงเื่นี้ก็ทำให้ซูเมี่ยวหลันคิดแค้นนางได้แล้ว ดังนั้นนางจะไปงานเลี้ยงแล้ววิ่งเข้าหาปัญหาเพื่ออะไรคิดว่าตอนนี้ชีวิตสุขสบายเกินไปอย่างนั้นหรือ?
“เด็กๆ พวกเ้าตายหมดแล้วหรือ? ทำไมจึงไม่มีน้ำในกาได้ล่ะ?”
เวลานี้เซินสือเย่ส่ายกาน้ำชา เขาพบว่าไม่มีน้ำแล้วจึงอดโมโหไม่ได้ ทว่าเขาร้องะโเสียงดังระยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่มีใครสนใจเขากงอี่โม่จึงเงยหน้ามองเขาอย่างเกียจคร้าน
“เลิกะโได้แล้ว ข้าบอกให้คนที่เฝ้าที่นี่กลับไปพักผ่อนแล้วที่นี่มีข้าอยู่คนเดียว ้าน้ำก็ต้มเอง ทำไมหรือ? อยากให้ข้าต้มน้ำให้ท่านหรือ?”
“ไม่เป็ไร ข้าไม่กระหาย” เซินสือเย่เงียบลงอย่างว่าง่าย เขามองถ้วยชาที่มีน้ำชาเต็มถ้วยของนางจากนั้นจึงกล่าวขึ้น
กงอี่โม่คลี่ยิ้ม ใบหน้าไร้เดียงสาของนางดูอ่อนโยนช่างแตกต่างจากใครบางคนที่ชอบเสแสร้งแกล้งทำ ความอ่อนโยนและความไม่คิดเล็กคิดน้อยของนางได้สลักลึกอยู่ในกระดูกแล้วทำให้ผู้คนรอบๆ ต่างอยากใกล้ชิดนาง
เซินสือเย่รู้สึกว่าท่าทีของอีกฝ่ายทำให้คนรอบๆ รู้สึกสบายใจแต่รายละเอียดเป็เช่นไร เขาก็ยังคิดไม่ออก ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นกงอี่โม่พลันลุกขึ้นยืน
“เริ่มมืดแล้ว ข้าอยากพักผ่อนแล้ว อีกอย่างงานเลี้ยงน้ำชาพวกนั้นข้าไม่มีทางไปหรอก หากท่านคิดว่าไม่รู้จะให้คำตอบกับนางเช่นไรก็บอกนางว่าข้าไม่สบายก็แล้วกัน”
ขณะที่กล่าวนั้น นางจึงผลักอีกฝ่ายออกไปนอกประตู ทว่านางทราบอย่างชัดเจนซูเมี่ยวหลันไม่มีทางยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เป็ไปตามคาด วันถัดมากงอี่โม่นอนหลับอย่างไม่ใส่ใจจนถึงเที่ยงก็ถูกเสียงเคาะประตูปลุกจนตื่น
กงอี่โม่ลูบท้อง เวลานี้นางเริ่มหิวแล้ว นางลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูด้านหน้าประตูมีสาวใช้สูงวัยนางหนึ่ง
เมื่อเห็นนางเปิดประตู สาวใช้สูงวัยผู้นั้นจึงกวาดตามมองนางด้วยสายตาดูถูกทว่าอีกฝ่ายก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น“แม่นาง คุณหนูของพวกเราขอเรียนเชิญ”
“ไม่ไป”
กงอี่โม่แสดงท่าทางไม่พอใจ เมื่อกล่าวจบจึงทำท่าปิดประตู ทว่าอีกฝ่ายกลับรีบขวางไว้ สายตาส่งสัญญาณเตือน
“แม่นางช่างไร้มารยาทนัก คุณหนูของข้าจิตใจดี จึงมาเชิญเองท่านอย่าปฏิเสธเลยดีกว่า”
“คุณหนูของพวกเ้าคือใคร?” กงอี่โม่มองอีกฝ่ายอย่างขบขัน
“คุณหนูของข้าคือบุตรสาวชายาเอกหนึ่งเดียวของหลิ่วจวิ้นอ๋องส่วนท่านเป็เพียงสามัญชนเท่านั้น ท่านอย่ามาทำให้คุณหนูของข้าโกรธจะดีกว่า” นางเชิดปลายคางน้ำเสียงหนักแน่น
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง!
กงอี่โม่จำได้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนเนื่องจากอีกฝ่ายล่วงเกินนางจึงถูกองค์รัชทายาทลงโทษ ตอนนี้อีกฝ่ายก็แสดงเจตนาอย่างชัดเจนแล้วแต่ไม่รู้ว่าซูเมี่ยวหลันขอร้องอีกฝ่ายมาได้อย่างไร?!
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ขอจัดการตัวเองก่อน”กงอี่โม่ยังคงสวมชุดฝึกวรยุทธ์ของเมื่อวาน ดูแล้วแตกต่างจากผู้อื่นเกินไปอีกทั้งยังไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
“แม่นางไปเช่นนี้เลยเถิด เดี๋ยวต้องรอนาน คุณหนูของข้าอาจอารมณ์ไม่ดี” สาวใช้ผู้นั้นกวาดตามองนางชั่วครู่ดวงตาเคลื่อนไหวเล็กน้อย นางกล่าวอย่างเจตนาร้าย
อีกฝ่ายบีบบังคับเช่นนี้ ทำให้กงอี่โม่เริ่มรู้สึกโมโห
กงอี่โม่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานาน นางจึงมีลักษณะของคนมีอำนาจที่คนธรรมดายากจะมีท่าทีเช่นนี้ทำให้สาวใช้อวดดีเมื่อสักครู่ถึงกับลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบตาหนีแล้ว กงอี่โม่จึงส่งยิ้มอย่างเ็า
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ถือว่าพวกเ้าหาเื่ใส่ตัวกันทั้งนั้นแล้วอย่ามาโทษข้าล่ะ!” เมื่อกล่าวจบนางจึงก้าวเท้ายาวๆ ออกไป
ทางด้านกงเจวี๋ยเขากำลังควบม้าเร็วอย่างเร่งรีบ
ตลอดการเดินทาง เนื่องจากพวกเขามีจำนวนคนมาก พวกโจรทั่วๆไปจึงรีบหลบไปทางอื่นั้แ่ระยะไกล ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขาเจอกลุ่มโจรดักโจมตีเพียงกลุ่มเดียว
จากการกวาดล้างของกงเจวี๋ย กลุ่มโจรกว่าพันคนบ้างก็ตาย บ้างก็หลบหนีส่วนผู้ที่วิ่งช้าก็ถูกกงเจวี๋ยใช้กระบี่แทงทะลุลำคอครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่ภาพเทพสังหารของกงเจวี๋ยถูกประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คนผู้ที่เคยไม่ยอมรับในตัวกงเจวี๋ยเพราะเห็นว่าเขาอายุยังน้อยจึงค่อยๆเปลี่ยนความคิด
ตอนเที่ยงพวกเขาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำ
ไป๋เซิงคือคนที่กงอี่โม่ส่งมาอยู่ข้างกายกงเจวี๋ยโดยเฉพาะ ดังนั้นกงเจวี๋ยจึงเชื่อใจเขามากเขาจะทานอาหารที่อีกฝ่ายยื่นให้เท่านั้น
กงเจวี๋ยมองออกไปไกลๆ ยิ่งเดินทางไปทิศประจิมมากเท่าไรก็ยิ่งรกร้างว่างเปล่ามากขึ้นมีสถานที่มากมายที่ยังเป็ดินเหลือง พืชพันธุ์จึงแคระแกร็นมาก
“หากยังเป็ความเร็วระดับนี้ เพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็น่าจะถึงแล้ว”กงเจวี๋ยกล่าวประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ซึ่งแตกต่างจากเวลาอยู่กับกงอี่โม่ที่นางมักจะมองว่าเขาเป็เด็กอยู่เสมอทว่าคนข้างกายของกงเจวี๋ยกลับรู้เป็อย่างดีว่าเ้านายของตนฉลาดหลักแหลมมีความคิดเ้าเล่ห์เพียงใด
ไป๋เซิงตอบกลับอย่างใจลอย อันที่จริงนับั้แ่สองสามวันก่อนที่เขาได้รับจดหมายฉบับแรกจากองค์หญิงเขาก็เริ่มไม่สบายใจสองสามวันนี้เขาต้องแอบจัดการจดหมายจากเมืองหลวงที่ส่งถึงกงเจวี๋ยไม่รู้ตั้งเท่าไรขณะที่ไป๋เซิงต้องดักสิ่งเหล่านี้อย่างกดดัน เขาก็ยิ่งรู้สึกใกับวิธีการของกงเจวี๋ย
ที่แท้ในขณะที่เขาไม่รู้ตัวนั้น มีคนมากมายมองกงเจวี๋ยเป็เ้านาย? มิฉะนั้นคงไม่มีคนจำนวนมากส่งจดหมายรายงานกงเจวี๋ยทั้งที่องค์หญิงและอ๋องแดนประจิมร่วมมือกันปิดบังเื่นี้แล้ว?
เวลานี้ไป๋เซิงมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของกงเจวี๋ย เขากลืนน้ำลายเด็กน้อยเบื้องหน้าฉลาดราวกับปีศาจ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการเสแสร้งเพียงแต่ตอนนี้เขาเป็คนที่องค์หญิงส่งมา ดังนั้นกงเจวี๋ยจึงหลับหูหลับตาเชื่อเขาเท่านั้นเอง
ทว่าหากมีสักวันกงเจวี๋ยพบว่าไป๋เซิงองค์หญิงและอ๋องแดนประจิมร่วมมือกันหลอกเขาไม่รู้ว่าเขาจะเล่นงานไป๋เซิงอย่างไรบ้าง
ช่างเป็งานลำบากงานหนึ่งจริงๆ ไป๋เซิงก้มศีรษะยิ่งคิดเขาก็รู้สึกว่าวันข้างหน้าคงไม่ค่อยดีนัก
ทว่าเวลานี้กงเจวี๋ยกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเขาไม่ได้เห็นถึงความผิดปกติของไป๋เซิง แต่กลับกำเส้นผมแน่นอยู่ในมือในใจของเขามีเพียงความคิดเดียว
เสด็จพี่อีกไม่นานข้าจะต้องยิ่งใหญ่ให้ได้ ท่านรอข้า รอข้านะ!