เซินสือเย่รู้สึกงุนงงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนางเขาอยากถามต่อ ทว่าเมื่อเห็นว่าร่างของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโดดเดี่ยวเขาจึงไม่กล้าเอ่ยถามสักคำ
“เ้าจะไปไหน?” เมื่อเห็นกงอี่โม่ทำท่าเหมือนจะเดินจากไปเขาจึงเอ่ยถามโดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง
คำพูดของเขาทำให้กงอี่โม่แสดงท่าทางสับสนนางต้องรอกงเจวี๋ยกลับมา ทว่าเมืองหลวงกลับไม่มีสถานที่ให้นางพักพิงเลย
จังหวะที่นางทำท่าครุ่นคิดทำให้ใบหน้าน้อยๆของนางสะท้อนถึงความอ่อนแอ นางเพิ่งอายุสิบสองปี ถูกไล่ออกจากวังแล้วนางจะใช้ชีวิตอย่างไร? เซินสือเย่พลันลืมความโกรธแค้นเมื่อสักครู่ เขามองขึ้นฟ้าพร้อมกล่าวเสียงเบา
“หากเ้าไม่มีที่ไปมารดาของข้าเก็บเรือนหลังหนึ่งไว้ให้ข้า”
เมื่อสิ้นเสียงเซินสือเย่จึงเห็นกงอี่โม่หันมามองที่เขาพร้อมคลี่ยิ้มใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างรวดเร็ว “เ้าอย่าเข้าใจผิดล่ะข้าก็แค่เห็นว่าไม่มีใครทำความสะอาดมานานแล้ว เลยคิดจะหาคนทำความสะอาดเท่านั้นเอง”
คำโกหกของเขาช่างไร้ศิลปะทว่ากลับทำให้กงอี่โม่อารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด
“จริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอรับไว้”
เวลานี้กงอี่โม่อาศัยอยู่ในเรือนของเซินสือเย่ ทว่า ณสถานที่ที่ห่างออกไปนับพันลี้ กงเจวี๋ยกำลังมองเส้นผมในมือของตนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
ตอนนี้เขายังคงอยู่ระหว่างทาง แดนประจิมไกลเกินไปทรายสีทองระหว่างทางและความคดเคี้ยวอันเงียบเหงา ท้องฟ้ามืดแล้วพวกเขากำลังตั้งค่ายค้างแรม เพียงไม่นานกลิ่นหอมของเนื้อย่างก็โชยออกมา
ไม่รู้ว่าเสด็จพี่เป็อย่างไรบ้าง? ไม่มีเขาคอยจ้องมองตลอดเวลาแล้ว นางจะทานอาหารเช้าหรือไม่? ซินเอ๋อร์คนนั้นก็ไม่ได้เื่ชอบพูดจาเบาๆ แล้วเสด็จพี่จะฟังนางได้อย่างไร?
นางจะฝึกวรยุทธ์ตามเวลาหรือเปล่า? ในวังมีอันตรายรอบด้านหากนางยังละเลยอีกแล้วจะเป็ผลดีได้อย่างไร?
กงเจวี๋ยไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนเองเป็คนจู้จี้จุกจิกขนาดนี้เขาแอบหัวเราะประชดตัวเองอยู่ในใจ ทว่าสายตาของเขากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ที่แท้เวลาคิดถึงใครสักคนก็เป็ความอ่อนหวานและทุกข์ทรมานเช่นนี้เองมีเพียงเวลายุ่งมากเท่านั้นที่เขาจะไม่ตกในภวังค์เช่นนี้
เสด็จพี่ รอข้า รอให้ข้ายิ่งใหญ่ก่อนแล้วข้าจะกลับมาอยู่ข้างกายท่าน
มีเพียงความยิ่งใหญ่ ต้องยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้นยิ่งใหญ่จนไม่มีใครสามารถขัดขวาง ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่ต้องฝืนทนกับความทุกข์ทรมานอีกแล้ว
เวลานี้เขายังไม่รู้เลยว่าเสด็จพี่ที่เขาคะนึงหาตลอดเวลาถูกถอดพระยศแล้วนางไม่ใช่องค์หญิงอีกแล้ว
เดิมทีอ๋องแดนประจิมที่อยู่ห่างไกลถึงแดนประจิมรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งเมื่อทราบข่าวว่าหลานชายของตนกำลังมาทว่าผ่านไปไม่กี่วัน เขากลับได้รับจดหมายนกพิราบว่ากงอี่โม่ถูกถอดพระยศเสียแล้ว
เมื่อดูจากเจตนาขององค์หญิงนางกังวลว่าข่าวการถูกถอดพระยศของนางจะถึงหูของกงเจวี๋ยแล้วส่งผลต่อความรู้สึกของเขาดังนั้นนางจึง้าให้อ๋องแดนประจิมช่วยจัดการเื่นี้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้กงเจวี๋ยรู้เื่นี้
เพราะกงเจวี๋ยไม่มีทางคาดคิดว่าภายในเวลาสั้นๆที่เขาเดินทางออกมาจากเมืองหลวงจะเกิดเหตุร้ายเช่นนี้เขาจึงไม่มีทางสงสัยว่าองค์หญิงและอ๋องแดนประจิมจะมีเื่ปิดบังตนเองอยู่
เมื่ออ๋องแดนประจิมอ่านจดหมายจบแล้ว เขาเผาทิ้งทันทีจากนั้นจึงสั่งการลงไป เขาถอนหายใจหนึ่งคำพร้อมลูบเคราไปพลางไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
“ตอนนี้หลานชายของพวกเราใกล้จะกลับมาแล้วเพราะเหตุใดท่านจึงดูไม่ดีใจล่ะ?” ฮูหยินอ๋องแดนประจิมเห็นเขาทำหน้าหนักใจนางจึงเอ่ยถาม
อ๋องแดนประจิมมีรูปร่างสูงใหญ่เนื่องจากออกกำลังต่อเนื่องเป็เวลานาน เขาจึงดูไม่ชราอันที่จริงเขาดูแข็งแรงมากเสียด้วยซ้ำ เวลานี้เขากำลังดื่มสุราจอกใหญ่ แต่ดูเหมือนยังไม่ค่อยสะใจเขาจึงยกไหสุราขึ้นดื่มแทน
“เฮ้อ! ก็เื่กลอุบายตอบโต้กันในเมืองหลวงน่ะสิองค์หญิงเป็คนจิตใจดี ตอนนี้นางถูกเล่นงานเสียแล้วแต่พวกเราต้องห้ามให้เ้าหนูรู้เื่นี้ มิฉะนั้นเขาจะต้องหันศีรษะกลับเมืองหลวงทันทีเป็แน่”
จากนั้นเขาจึงเล่ารายละเอียดในจดหมายให้ฮูหยินของตนฟังหลี่จางซื่อเป็คนขี้ใ เมื่อได้ยินเื่นี้แล้วจึงรู้สึกกังวลทันที “แล้วจะทำอย่างไรดีองค์หญิงเพิ่งอายุสิบสองเท่านั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร?”
“กลัวแค่คนที่เคยถูกองค์หญิงข่มมาก่อนจะถือโอกาสนี้แก้แค้นนางแต่หากเป็การใช้ความสามารถตามปกติขององค์หญิง ข้าก็ไม่กังวลสักเท่าไร” อ๋องแดนประจิมถอนหายใจ
ขณะที่กล่าวนั้นเขาจึงกล่าวปลอบภรรยาของตน“อย่ากังวลไปเลย องค์หญิงเป็คนเอาตัวรอดเก่งเมื่อสักครู่นางเขียนในจดหมายไว้แล้วว่านางจะดูแลตนเองอย่างดีนางเคยทำให้พวกเราผิดหวังั้แ่เมื่อไร?”
ส่วนด้านเซินสือเย่ เมื่อเขากลับถึงตัวเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่ได้สนใจว่าใครๆต่างกำลังตามหาเขา วันถัดมาเขาเดินทางไปที่จวนเจิ้นกั๋วโหวโดยตรง
ทว่าเขาเป็หลานชายฝั่งมารดาจึงไม่สามารถพบลูกพี่ลูกน้องที่เป็หญิงสาวได้ตามลำพัง ดังนั้นเขาจึงขอพบท่านน้าและให้ท่านน้าอยู่เป็เพื่อนเพื่อเจอหน้าซูเมี่ยวหลัน
ขณะที่เซินสือเย่กำลังรออยู่นั้นซูหรูซื่อมารดาของซูเมี่ยวหลันกำลังกล่าวโน้มน้าวบุตรสาวของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ลูกเอ๋ย แม่รู้ว่าเ้าคิดถึงแต่องค์รัชทายาททว่าตอนนี้เขากำลังตกที่นั่งลำบากบทบาทยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าาก็ลดน้อยลง แม่คิดว่าเซินสือเย่เด็กคนนี้ก็ดีนะเขาเป็ผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋องโดยตรง แล้วยังทำตัวดีกับเ้าเสียด้วย”
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดถึงเื่นี้แล้วลูกมีความคิดเป็ของตัวเอง”
เสียงของสตรีที่อ่อนโยนดุจเทพธิดาดังขึ้นนางเปิดม่านมองดูผู้มาเยือน เมื่อเห็นว่าเป็เซินสือเย่แล้ว นางจึงคลี่ยิ้มน้อยๆให้เขา
นางอยู่ในชุดยาวละพื้นสีฟ้า ส่วนบนเป็สีบัวขาวบนศีรษะประดับด้วยมรกต แต่ละชิ้นล้วนงดงามและสูงค่าการแต่งตัวของนางดูเรียบง่ายธรรมดา ทว่ากลับมีมูลค่ามหาศาล
เซินสือเย่มองนางอย่างนิ่งงัน ลูกพี่ลูกน้องของเขานางนี้ช่างงามมากจริงๆ
ทว่าวินาทีถัดไปไม่รู้เป็เพราะเหตุใดเมื่อเห็นการแต่งตัวอย่างพิถีพิถันของลูกพี่ลูกน้องของตนแล้วเขากลับคิดถึงแม่นางน้อยที่มีอายุน้อยกว่าอีกฝ่ายสองปีอย่างอดไม่ได้
ทั้งสองต่างอยู่ในวัยที่รักสวยรักงามทว่าตอนที่เจอกงอี่โม่เมื่อวานนั้น นางกลับอยู่ในชุดวังอันเรียบง่ายแขนเสื้อก็ถูกนางพับขึ้นมา บนศีรษะไม่มีเครื่องประดับใดๆนางรวบผมไว้ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจทุกการกระทำทุกการก้าวเดินล้วนเป็ธรรมชาติยิ่งนัก
การแต่งกายเรียบง่าย ทว่ากลับดึงดูดสายตาเป็อย่างมากตอนแรกเขาไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อน ทว่าตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเขากลับรู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงผู้เป็ลูกพี่ลูกน้องของตนแม้แต่น้อย
“พี่เซิน ท่านแม่ข้าบอกว่าท่านมีธุระด่วนกับข้าหรือ?” ซูเมี่ยวหลันเข้าใจว่าเขามองนางอย่างตกตะลึงในใจของนางแอบยิ้มเย้ยหยัน ทว่าสีหน้ายังคงแสดงออกอย่างไร้เดียงสา
นางมองเขาด้วยท่าทางเขินอายราวกับไม่กล้ามองอีกฝ่ายเลยทีเดียวหากเป็บุรุษที่เริ่มมีความรักอาจคิดว่าตนเองเป็ที่ต้องตาของสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงจากนั้นจึงแอบดีใจอย่างแน่นอน
เซินสือเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนหากเป็กงอี่โม่ ถึงนางจะเขินอาย นางก็ไม่มีทางทำท่าออดอ้อนเป็เด็กๆเช่นนี้เป็แน่
เวลานี้เขาพลันใ เพราะเหตุใดตนเองจึงชอบคิดถึงยายผีบ้าน่ารำคาญผู้นั้นได้ล่ะ?! แล้วเขายังคิดว่าลูกพี่ลูกน้องของตนทำท่าออดอ้อนเป็เด็กๆเสียด้วย? สมองของเขาต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!
“พี่เซิน?”
เมื่อเห็นเซินสือเย่เหม่อลอยอยู่หลายครั้งซูเมี่ยวหลันจึงเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
“อืม?” เมื่อได้สติแล้วเซินสือเย่จึงตบหน้าผากของตนหนึ่งครั้ง
“เกือบลืมไปเลย! ข้ามาเพื่อมอบของให้กับเ้า”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ซูเมี่ยวหลันจึงอยากรู้เป็อย่างยิ่ง เนื่องจากเซินสือเย่ร่ำรวยเขามักจะเสาะหาของมีค่าหายากมอบให้นางอยู่เสมอ ดังนั้นเวลามีงานเลี้ยงน้ำชานางจึงมักโดดเด่นไม่เหมือนใคร
ทว่านางคาดไม่ถึงว่าครั้งนี้สิ่งที่เขาหยิบออกมาจะเป็ของที่นางคุ้นตาเป็อย่างดีซูเมี่ยวหลันรับมาอย่างงุนงง เป็ไปตามที่นางคิดไว้มันเป็ภาพปักสองด้านลายดอกโบตั๋นที่นางเป็ผู้ปักเองมากับมือ
โบตั๋นเป็าามวลบุปผา ตอนนั้นนางมอบผลงานที่นางพอใจมากชิ้นนี้ในวันเกิดขององค์รัชทายาทในนามตระกูล
เหตุผลหนึ่งเป็เพราะท่านพี่รัชทายาทจะได้เห็นถึงความสามารถของนางอีกเหตุผลหนึ่งเป็เพราะของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาทจากนิสัยกตัญญูของเขาแล้ว สุดท้ายภาพนี้จะต้องตกถึงมือฮองเฮาอย่างแน่นอนเช่นนี้ก็ถือว่านางจะได้สร้างภาพประทับใจให้กับแม่สามีในดวงใจของนางล่วงหน้า ทว่าคาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะมอบภาพชิ้นนี้ให้กับองค์หญิงจาวหยางอย่างรวดเร็ว
เมื่อคิดถึงองค์หญิงจาวหยางนางเคยเห็นอีกฝ่ายจากระยะไกล
วันนั้นเป็วันอากาศสดใส นางติดตามมารดาของนางเข้าวังเพื่อขอเฝ้าหลงกุ้ยเฟยนางเจอเกี้ยวขององค์หญิงตรงทางเดินภายในวัง ดังนั้นนางจึงต้องรีบคุกเข่าอยู่ด้านข้างเพื่อให้องค์หญิงผ่านไปก่อน
องค์หญิงช่างเป็ที่โปรดปรานยิ่งนักภายในวังแม้กระทั่งพระสนมชายายังกล้าใช้เพียงเกี้ยวเล็กสี่คนหามเท่านั้นแต่เป็เพราะองค์หญิงกล่าวว่ารู้สึกอึดอัดเพียงประโยคเดียวฝ่าาจึงพระราชทานเกี้ยวใหญ่ขนาดสิบหกคนหามให้กับนางหลังหนึ่งซูเมี่ยวหลันมองเห็นแต่ไกล เป็ภาพดุจศาลาลอยเคลื่อนช่างงดงามหรูหราไม่มีใครเทียบเคียง
้าเป็หลังคาเคลือบสีทอง เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์จึงสะท้อนเป็ประกายระยิบระยับส่วนม่านทั้งสี่ด้านซ้อนทับกัน ้าประดับด้วยอัญมณีกำลังเคลื่อนไหวราวกับภาพในความฝัน
ว่ากันว่าเกี้ยวหลังนี้กรมโยธาธิการใช้เวลาสี่เดือนจึงทำออกมาสำเร็จผู้ที่นั่งอยู่ด้านในจะไม่รู้สึกอึดอัดและไม่ต้องัักับแรงกระแทกจึงถือเป็ความโปรดปรานระดับสูงสุด
ซูเมี่ยวหลันกำลังคุกเข่า นางรู้สึกไม่ยอมแพ้อยู่ในใจทั้งที่เป็สตรีเช่นเดียวกัน แต่เพราะเหตุใดกงอี่โม่จึงสูงส่งเช่นนี้ส่วนนางที่ได้ชื่อว่าเป็สาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงกลับต้องคุกเข่าอยู่ข้างทางปล่อยให้อีกฝ่ายผ่านไปก่อนราวกับเป็เพียงเศษหญ้าเท่านั้นอีกทั้งอีกฝ่ายก็ไม่ได้เหลือบมองนางแม้แต่นิดเดียว
เมื่อคิดถึงองค์รัชทายาทที่นางชื่นชอบก็ปฏิบัติต่อกงอี่โม่เป็พิเศษแค่คำว่าชอบของอีกฝ่ายก็ทำให้องค์รัชทายาทยกภาพปักที่นางใช้เวลาปักถึงหนึ่งปีมอบให้อีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
ความเจ็บใจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆขณะที่เกี้ยวกำลังผ่านไปนั้น ซูเมี่ยวหลันเงยหน้าขึ้นมองอย่างอดไม่ได้เวลานั้นมีลมพัดผ้าม่านพอดี ผ้าสีฟ้าชวนฝันปลิวขึ้นนางจึงเห็นใบหน้าด้านข้างของกงอี่โม่ที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่พอดี
องค์หญิงจาวหยาง อายุเพียงสิบเอ็ดปีทว่าใบหน้าด้านข้างกลับงามมากจริงๆ เป็ความสวยงามลงตัวหากมีจุดใดเพิ่มขึ้นก็ดูมากไป หากลดบางส่วนลงก็ดูน้อยไปนางที่กำลังหลับตาไม่มีความอวดดีตามคำร่ำลือของคนด้านนอกแม้แต่นิดเดียวท่าทางของนางดูสงบนิ่งใจเย็นผู้ที่พบเห็นย่อมรู้ทันทีว่านางก็คือองค์หญิงที่เป็ที่โปรดปรานมากที่สุดพระองค์นั้น
ซูเมี่ยวหลันพลันรู้สึกไม่ปลอดภัย หากองค์หญิงพระองค์นี้โตขึ้นอีกนิดบางทีฉายาสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอาจไม่ใช่ของนางอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทราบข่าวว่าองค์หญิงถูกถอดพระยศนางยังดีใจมากอยู่หลายวัน ตอนนี้นางยังคงเป็บุตรสาวผู้เป็ที่รักของเจิ้นกั๋วโหวแต่อีกฝ่ายกลับตกจากฟากฟ้าดำดิ่งอยู่ในโคลนตม ว่ากันว่าหงส์ตกอับยังสู้ไก่ไม่ได้นางจึงไม่จำเป็ต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นแย่งความโดดเด่นไป
วันนี้ภาพปักชิ้นนี้ก็กลับมาอยู่ในมือของนางอีกครั้งดวงตาของนางเป็ประกาย นางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“พี่เซิน ภาพปักชิ้นนี้อยู่ในมือขององค์หญิงจาวหยางไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมจึงอยู่ที่ท่านได้ล่ะ? ท่านพบองค์หญิงจาวหยางแล้วหรือ?”
นางแอบดีใจตอนนั้นเซินสือเย่เคยกล่าวไว้ว่าหากมีโอกาสจะช่วยนางแก้แค้นอย่างแน่นอนเขาคงไม่ได้แย่งภาพปักชิ้นนี้มาหรอกนะ
“พี่เซิน ท่านคงไม่ได้ลงมือเล่นงานนางใช้ไหม?!” นางแอบตื่นเต้นอยู่เงียบๆ ทว่านางกลับกล่าวด้วยท่าทางร้อนใจ