“พี่สาวก็ชอบพูดเล่นเสียจริง” ซูเมิ่งหรูนั้นยิ้มออกมาอย่างงดงามแต่กลับแฝงไปด้วยความคิดชั่วร้ายในใจนางนั้นเกลียดซูฉีฉียิ่งกว่าอะไรดี ระหว่างที่อยู่ด้วยกันในจวนมาหลายปีนางพยายามทำตัวให้เป็จุดเด่นมาโดยตลอดและคิดว่าบนโลกนี้สตรีอัมดับหนึ่งจะต้องเป็ตนอย่างแน่นอนทว่าที่คาดไม่ถึงคือ เมื่อหลายวันก่อนพี่สาวของนางกลับมีฝีมือพิณยอดเยี่ยมจนเอาชนะเฝินเหวินได้
ใครบ้างมิรู้ว่าฝีมือดนตรีของเฝินเหวินนั้นเป็ที่หนึ่งในแผ่นดิน
เมื่อม่อเวิ่นเฉินเห็นท่าทีที่สงบนิ่งดุจธาราบุคลิกงามสะอาดดุจกล้วยไม้ของซูฉีฉีแล้วหางตาของเขาก็กระตุกน้อยๆ เอาความอ่อนสยบความแข็งช่างร้ายกาจจริงๆ
นางเป็ถึงพระชายาของติ้งเป่ยโหวถ้าหากเื่ที่นางขึ้นไปร่ายรำบนเวทีเผยแพร่ออกไปนั่นมิกลายเป็เื่ตลกสำหรับผู้คนหรอกหรือ
ครั้งนี้ม่อเวิ่นเฉินรู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของซูฉีฉีเป็อย่างมาก
เมื่อเหล่าสนมหาเื่มิสำเร็จ พวกเขาก็เริ่มหันมาสนทนาพูดคุยกันอีกครั้งซูเมิ่งหรูเองก็ยิ้มพูดคุยไปกับพวกเขาด้วย มีเพียงซูฉีฉีเท่านั้นที่ทำตัวนิ่งเฉยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา
นั่นทำให้ม่อเวิ่นเสวียนอดมิได้ที่จะมองนางเปลี่ยนไปแม้ว่านางจะไม่มีรูปโฉมที่งดงาม ทว่ากลับมีความสามารถเป็หนึ่งในแคว้นมีความองอาจกล้าหาญ ปัญญาเฉียบแหลม ปฏิภาณไหวพริบเป็เลิศ ความรู้สึกเสียดายค่อยๆก่อตัวขึ้นในหัวใจ
เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนอื่นๆ ทุกคนล้วนมีความละม้ายคล้ายคลึงกันไร้ซึ่งจุดเด่นซึ่งนั่นก็รวมไปถึงซูเมิ่งหรูด้วยเช่นกัน
เมื่องานเลี้ยงยามค่ำคืนจบลงม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีก็เดินตามกันกลับเรือนรับรองไป
แสงเทียนดูราวกับเม็ดถั่วกำลังเริงระบำ ส่ายไหวไปมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อซูฉีฉีจัดเตียงให้ม่อเวิ่นเฉินเรียบร้อยแล้วนางก็ล้มตัวลงนอนพักที่เก้าอี้ข้างๆ อย่างรู้สถานะของตนดี
ม่อเวิ่นเฉินเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างออกมาทว่าสุดท้ายก็ทนที่จะไม่เอ่ยขึ้น เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมเสื้อผ้าครบชุดบนลำตัวเขาไม่ได้หลับสนิทแต่ทำเพียงแค่พักผ่อนสายตาคอยฟังว่าด้านนอกเกิดเหตุอันใดขึ้นหรือไม่
เหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงมิได้ตามเข้ามาในวังหลวงด้วยพวกเขาต้องรับผิดชอบนำกองทหารโลหิตไปซ่อนตัวอยู่ภายนอกวังหลวง
อีกทั้งถ้าสองคนนั้นปรากฏตัวจะเป็การเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของม่อเวิ่นเฉินอีกด้วย
รู้ทั้งรู้ว่าเป็ถ้ำเสือแต่ก็ยังคิดจะย่างกรายเข้าไปนั้นเป็สิ่งที่ม่อเวิ่นเฉินชอบทำมาโดยตลอดถ้าหากไม่ทำเช่นนี้ม่อเวิ่นเสวียนจะกล้าลงมืออย่างไม่หวาดกลัวได้เช่นไร
เขารู้ดีว่าค่ำคืนนี้ไม่มีทางสงบสุขเป็แน่
ภายนอกเกิดเสียงเพียงแ่เบาแต่กลับทำให้ม่อเวิ่นเฉินเบิกตาทั้งสองขึ้นอย่างรวดเร็วเขาเลิกผ้าห่มขึ้นก่อนจะคว้าเอาดาบมาไว้ในมือและหมุนตัวกลิ้งลงจากเตียงท่าทางของเขานั้นพลิ้วไหวดุจสายน้ำ ทุกอย่างเกิดขึ้นในรวดเดียวไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
ขณะที่เขากลิ้งลงจากเตียงนั้นก็ได้ดึงเอาซูฉีฉีที่กำลังหลับสนิทมาไว้ในอ้อมกอด
ซูฉีฉีที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างกะทันหันนั้นมิได้ร้องโวยวายนางทำเพียงแค่ลืมตาและหันไปมองรอบๆก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่กำลังโอบตัวนางเอาไว้ในขณะนี้ ความอบอุ่นในจิตใจค่อยๆก่อตัวขึ้น
นางเป็ผู้ที่ใฝ่ฝันหาความห่วงใย
และม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้ไม่ได้ทิ้งนางไป แค่นี้ก็ทำให้นางพอใจมากแล้ว
นางสูดดมกลิ่นกายของบุรุษผสมผสานเข้ากับกลิ่นหอมบนเสื้อผ้าของเขากลิ่นนี้กลับทำให้นางรู้สึกว่านางปลอดภัยและอ้อมกอดนี้เป็สิ่งที่นางพึ่งพาได้
สำหรับการแสดงออกของซูฉีฉีนั้นม่อเวิ่นเฉินแอบให้คะแนนเต็มอยู่ในใจสตรีผู้นี้สงบนิ่งเสียจริงๆภายในสถานการณ์เช่นนี้ยังสามารถใช้สายตาของตนวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างเฉียบคม
ความชื่นชมที่มีต่อนางค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รวมไปถึงความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นในหัวใจก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเช่นกัน
คนชุดดำกว่าสิบนายปีนเข้ามาทางหน้าต่างอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงดาบในมือของพวกเขาแกว่งไปมาในค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้ยิ่งทำให้ดูโหดร้ายและเยือกเย็นมากกว่าปกติ
พวกเขาไม่มีการหยั่งเชิง ไม่มีการเอ่ยคำใดๆคนทั้งสิบวิ่งพุ่งไปที่หัวเตียงก่อนจะยกดาบขึ้นฟันลงบนนั้นโดยทันที
และในขณะเดียวกันนั้นดาบในมือของม่อเวิ่นเฉินก็ขยับเช่นกันมีดดาบเคลื่อนไหวดุจอสรพิษ รวดเร็วดุจกระต่ายที่กำลังหลบหนีนายพราน แค่เพียงดาบสะกิดไปโดนนั้นก็มีคนถึงสามคนล้มตัวลงนอนอยู่บนผิวพื้นที่แสนเย็นะเืเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
กระทั่งเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานก็ยังมิทันได้ปล่อยออกมา
ในสถานการณ์เช่นนี้ ซูฉีฉีกลับไม่มีความตื่นใแม้แต่น้อยนางพยายามทำตัวให้คุ้นชิน
เสียงกระทบกันของดาบดังออกมาจากที่ไกลๆ เสียงนั้นค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปแสงไฟมากมายจากด้านนอกก็สาดส่องเข้ามาในเรือนรับรองพร้อมทั้งเสียงะโจับนักฆ่าแพร่กระจายไปทั่วทั้งวังหลวง
ซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินหันมาสบตากันแล้วหัวเราะออกมา
ประตูถูกเปิดออก พลธนูกว่าสิบนายเล็งไปที่คนชุดดำด้านในอย่างแม่นยำซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็รวมไปถึงม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีด้วย
“นอนลง” ม่อเวิ่นเฉินเหวี่ยงซูฉีฉีให้เข้าไปอยู่ใต้เตียงเสียงเ็าของเขาเอ่ยออกคำสั่งต่อนาง จากนั้นก็ะโตัวไปข้างหน้าและคว้าศพของนักฆ่าที่อยู่บนพื้นขึ้นมาบังกายของตนเองเอาไว้
ฝนธนูยิงมาอย่างต่อเนื่องเป็เวลาเกือบสิบนาที
ซูฉีฉีที่นอนหลบอยู่ใต้เตียงก็กำฝ่ามือและกัดฟันของตนไว้แน่น
นางรู้อยู่แล้วว่าการมาที่นี่ก็เท่ากับเป็การมาตาย ทว่าที่คาดคิดไม่ถึงก็คือม่อเวิ่นเสวียนนั้นจะทนรอไม่ได้ถึงเพียงนี้
“ทุกคนหยุดได้แล้ว”
ท่ามกลางแสงของคบเพลิง ม่อเวิ่นเสวียนเดินมาถึงด้วยชุดคลุมัเต็มยศโครงหน้าสะท้อนกับแสงสีนวลแดงของเพลิงไฟเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงด้วยไอสังหาร
เวลาที่เขามาถึงนั้นช่างพอดียิ่งนัก ถ้าหากแผนการสำเร็จม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีในตอนนี้เกรงว่าจะถูกแทงจนทะลุไม่ก็มีมีาเ็ปางตายเสียแล้ว
แต่ไม่ว่าแผนการจะสำเร็จหรือไม่นั้น เขาก็ต้องปรากฏตัวขึ้น
และสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังเป็อย่างมากก็คือม่อเวิ่นเฉินนั้นยังยืนอยู่ที่นั่นด้วยสภาพสมบูรณ์ดีซูฉีฉีเองก็ปีนป่ายออกมาจากใต้เตียงอย่างยากลำบากรูปร่างอันผอมบางของนางนั้นไม่มีความสะบักสะบอมแม้แต่น้อย
“เ้าพวกไม่ได้เื่ ไม่เห็นหรือว่าน้องของข้าอยู่ที่นี่ด้วยบังอาจกล้ายิงธนูเข้าไปด้านใน ทหารนำตัวพวกนี้ไปปะาให้หมด” ม่อเวิ่นเสวียนะโสั่งเสียงดังใบหน้าในตอนนี้ได้กลายเป็สีเขียวคล้ำแล้ว
จากนั้นกลุ่มองครักษ์ฝ่ายในก็เดินมาข้างหน้าและจัดการทำความสะอาดสถานที่รวมไปถึงนักฆ่าและพลธนูอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
เมื่อเห็นเรือนรับรองกลับมาสะอาดดังเดิม ม่อเวิ่นเฉินก็มิได้พูดอะไรเสด็จพี่ของเขาล้วนรู้ดีกว่าใคร ทำเื่อันใดนั้นไม่เคยทิ้งหลักฐานไว้แม้แต่น้อย
ซูฉีฉีเองก็รู้สึกนับถือม่อเวิ่นเสวียนออกมาจากใจช่างเป็คนที่โหดร้ายเสียจริงๆ
มิเสียแรงที่เป็ถึงกษัตริย์ของแผ่นดิน
ทว่าการที่เขาโหดร้ายกับม่อเวิ่นเฉินซึ่งมิได้สนใจบัลลังก์ฮ่องเต้แม้แต่น้อยนั้นเกรงว่าจะเป็ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
“น้องเวิ่นเฉิน น้องสะใภ้ พวกเ้าไม่ได้ใขวัญเสียใช่หรือไม่” เมื่อเห็นสีหน้าคนชุดดำและคนชุดแดงทั้งสองเดินออกมานั้นสงบนิ่งดังเดิม ม่อเวิ่นเสวียนก็แอบกำมือของตนเองไว้แน่นก่อนจะหันไปจับจ้องที่ซูฉีฉีอีกครั้ง
“ขอบคุณเสด็จพี่ที่ทรงเป็ห่วง ไม่เป็อันใดแล้ว” ม่อเวิ่นเฉินสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ความสง่างามยังคงเผยออกมาจากร่างของเขาตอนนี้ทั่วทั้งร่างของม่อเวิ่นเฉินเต็มไปด้วยไฟโทสะชุดคลุมตัวยาวสีดำของเขายิ่งเพิ่มความโหดร้ายน่าเกรงขามในตัวเขาขึ้นไปอีก
เรือนรับรองได้กลับมาเงียบสงบดังเดิม ทว่าในใจของซูฉีฉีนั้นกลับเหมือนมีคลื่นั์พัดโหมกระหน่ำก็ไม่ปานนางไม่รู้ว่าการมาครั้งนี้จะเป็การมาอย่างกลับไปไม่ได้หรือไม่นางเหลือบสายตาไปมองม่อเวิ่นเฉินที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะนี้แสงเทียนสาดส่องไปบนใบหน้าที่หล่อเหลาสะกดสายตาผู้คนของเขาทำให้เหมือนมีแสงรัศมีล้อมรอบตัวเขาไว้ชั้นหนึ่งก็มิปาน
ในใจของนางยังคงกล่าวโทษตัวเอง ถ้าหากว่านางไม่ใช่ซูฉีฉีม่อเวิ่นเสวียนก็จะไม่มีเหตุผลไม่มีวิธีมาบีบบังคับให้ม่อเวิ่นเฉินตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
“เ้า...ไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” ม่อเวิ่นเฉินยังคงขยับสายตามองไปทางซูฉีฉีและถามออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ
ซูฉีฉีส่ายหน้า แววตาสงบนิ่งทว่ายังคงปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิดไม่ว่าเขาจะทำไปเพราะจุดประสงค์อะไร ยังไงเสียก็ถือว่าเขาเริ่มจะเป็ห่วงนางแล้ว
ซูฉีฉีเหมือนหญิงที่พึ่งแตกสาวก็มิปาน หัวใจก็เต้นรัวไม่เป็จังหวะ
“ไม่เป็อะไรก็นอนเถิด” ม่อเวิ่นเฉินเองก็ดับไฟลงแล้วหันตัวนอนตะแคงบนเก้าอี้“บนเตียงปลอดภัยแล้ว”
ทุกการกระทำของเขาเป็ไปอย่างธรรมชาติ มิได้ตั้งใจสื่อความห่วงใยออกมา
แต่นั่นก็ทำให้ซูฉีฉีเข้าใจว่าเมื่อครู่ที่เขานอนบนเตียงนั้นก็เพื่อที่จะป้องกันการลอบโจมตีของนักฆ่า
บุรุษผู้นี้เป็เหมือนกับที่เขาได้กล่าวไว้...เริ่มชื่นชมในตัวนางแล้วงั้นหรือ?
ถ้าหากว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นสามารถแลกหัวใจของเขามาได้นั่นก็นับว่าคุ้มแล้วใช่หรือไม่
อย่างน้อยซูฉีฉีก็รู้สึกว่ามันคุ้มแล้ว
ไม่ทันได้ระวังนางก็ได้จมลึกเข้าไปอยู่ในโลกของบุรุษผู้นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
เมื่อกลับจวนอัครมหาเสนาบดีนั้นม่อเวิ่นเฉินก็มิได้มาด้วยแต่กลับออกเดินทางไปเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์กับม่อเวิ่นเสวียนเพื่อทำการล่าสัตว์แทนซูฉีฉีและซูเมิ่งหรูนั่งประทับบนเกี้ยวหยกกลับจวนพร้อมกัน
จวนอัครมหาเสนาบดีนั้นก็มีคนคุกเข่าเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของฮองเฮาและพระชายาอยู่ก่อนแล้ว
สตรีทั้งสองแต่งให้กับเชื้อพระวงศ์พร้อมกันนั่นนับเป็เกียรติคุณอันล้นพ้นแล้ว ตอนนี้ยังกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกันอีกยิ่งมีผู้คนมาเฝ้ารอกันอย่างเอิกเกริก สร้างความอิจฉาริษยาให้กับผู้คนทั่วท้องถนน
ทุกคนล้วนแต่อยากจะมาดูโฉมหน้าของบุตรสาวสกุลซูทั้งสองคน