ซูฉีฉีเห็นมารดาของตนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังคุกเข่า ปลายจมูกของนางก็รู้สึกแสบๆขึ้นมา เมื่อใดกันที่นางให้มารดาของตนต้องมาคุกเข่าต้อนรับตนเองทว่าซูเมิ่งหรูที่อยู่ข้างๆกลับแสดงท่าทีเหมือนดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าก็มิปาน
ในฝูงคนนั้น ใบหน้าของซูชือฉางประหนึ่งมีแสงสีแดงแห่งโชคลาภสาดส่องลงมาความภาคภูมิใจและพึ่งพอใจปรากฏอยู่บนหน้าอย่างปิดไม่มิด
ทว่าเมื่อเขาเห็นผู้ที่ก้าวลงจากเกี้ยวหยกเป็ซูเมิ่งหรูตามมาด้วยซูฉีฉีนั้นแววตาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
สายตาที่เขามองซูฉีฉีนั้นมีความไม่เข้าใจ ความสงสัยมากไปกว่านั้นคือความไม่เป็มิตร
ถ้าไม่ใช่เพราะบุตรสาวคนโตผู้นี้ของเขาฮ่องเต้ก็คงไม่ต้องพิโรธถึงเพียงนั้น
ยิ่งมิต้องจัดเตรียมละครฉากนี้ขึ้นมาอย่างยากลำบาก
เมื่อเห็นสีหน้าไม่เป็มิตรของบิดานั้น ซูฉีฉีก็ได้แต่ก้มหน้า พยายามไม่เผชิญหน้ากับเขาตรงๆ นางกลับมาก็เพื่อที่จะมาเยี่ยมมารดาของตนหลายปีมานี้บิดาของนางมิได้ทำหน้าที่บิดาที่ดีแม้แต่น้อย
นางไม่ได้เกลียดเขา แต่ก็ไม่ได้คิดถึงเขาเช่นกัน
ซูเมิ่งหรูเดินหน้าไปพยุงมารดาของตนขึ้นในขณะที่ซูฉีฉีเองก็พยุงมารดาของตน คนทั้งสี่เดินหน้าเข้าไปในจวน
เมื่อเสี่ยวเตี๋ยเห็นซูฉีฉี แววตานางก็ฉายความสบายใจออกมายอมให้บุตรสาวพยุงตนเองเข้าไปในฝั่งเรือนหลังหลายปีมานี้นางเป็ถึงฮูหยินเอกแต่กลับยอมลดตัวไปพำนักอยู่ที่เรือนหลังไม่เคยมีครั้งใดที่จะเอ่ยวาจาตัดพ้อแม้แต่น้อย
“ฉีฉี ในที่สุดเ้าก็กลับมาแล้ว แม่คิดว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ได้เจอเ้าอีกแล้ว” เสี่ยวเตี๋ยนั้นมีนิสัยอ่อนโยนบอบบางตอนนี้ดวงตาทั้งสองของนางเป็สีแดงก่ำคิดว่าในตอนที่ซูฉีฉีไม่ได้อยู่ในจวนนั้นนางคงจะมีน้ำตานองหน้าทุกวันเป็แน่
ซูฉีฉียกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำตาที่หางตาของเสี่ยวเตี๋ยสีหน้าเต็มไปด้วยความเ็ปใจ “ท่านแม่ฉีฉีไม่ใช่กลับมาเยี่ยมท่านแล้วหรือ? อย่าร้องไห้เลยท่านร้องไห้จนตาบวมปูดไปหมดแล้ว”
“ได้ยินแม่รองของเ้าพูดว่า...ท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวนั้นมีนิสัยป่าเถื่อนโหดร้ายและเ็ามาก...” เสี่ยวเตี๋ยเอ่ยได้ไม่นานน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าไม่มีคนมารังแกนางทว่านางมัวแต่กังวลว่าบุตรสาวของตนแต่งออกไปแล้วจะถูกรังแกทุกวี่ทุกวันถึงได้มีสภาพทรุดโทรมเช่นนี้
“ท่านแม่ อย่าไปฟังที่แม่รองพูดเลย ข้ามีชีวิตอยู่อย่างดีที่จวนอ๋องท่านอ๋องดูแลข้าเป็อย่างดี ท่านดูข้าสิ ข้ากลับมาเยี่ยมท่านอย่างปกติดีมิใช่หรือ” ซูฉีฉีพยายามให้ตนเองยิ้มออกมาได้อ่อนหวานมากขึ้นพยายามแสดงท่าทีประหนึ่งตนเองนั้นมีความสุขเป็อย่างมาก
สุขหรือ? หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนมาแล้วซูฉีฉีกลับรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย
บุรุษเช่นม่อเวิ่นเฉินนั้นยังไงเสียก็ไม่เหมาะสมกับความรู้สึกรักใคร่ของหนุ่มสาวเพราะฉะนั้นสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ซูฉีฉีก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้วอย่างน้อยนางก็ไม่ได้มีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนตอนไปที่จวนอ๋องแรกๆ อีก
เสี่ยวเตี๋ยมองขึ้นมองลงสำรวจบุตรสาวของตนก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตาและพยักหน้าแรงๆ “อืมแค่ผอมไปหน่อย แต่สภาพอารมณ์นั้นนับว่าไม่เลวทีเดียว”
ดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้จะมีจิตใจดีและไร้เดียงสามากคำพูดของซูฉีฉีนั้นนางเชื่อสนิทใจเลย
ซูฉีฉีหยิบเอากำไลหยกออกมาจากอกเสื้อตน สีหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือของเสี่ยวเตี๋ย“ท่านแม่ ก่อนที่ข้าจะออกจากวังท่านอ๋องให้กำไลหยกนี้กับข้าเองกับมือและบอกให้ข้านำมาให้ท่านเป็ของขวัญเขาพูดว่าเขาไม่อาจมาพบท่านด้วยตัวเองแล้ว”
นี่ก็เป็สิ่งที่ซูฉีฉีคาดคิดไม่ถึงเช่นกัน
แน่นอนว่าขณะที่ม่อเวิ่นเฉินมอบกำไลหยกนี้ให้นางเขายังเสริมอีกประโยคด้วยว่า
“ไม่ว่าซูชือฉางจะให้เ้าทำอะไร เ้าก็ต้องตอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไข”
ประโยคนี้เมื่อม่อเวิ่นเฉินเอ่ยออกมานั้นแววตาเขาก็ฉายประกายแห่งความอันตรายออกมา
ด้วยปัญญาอันหลักแหลมของซูฉีฉีนั้นนางย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าบิดาของตนนั้นเป็พวกเดียวกับฮ่องเต้ฮ่องเต้คิดหาหนทางวางแผนให้พวกเขาทั้งสองคนเดินทางจากเมืองอ้าวมาถึงที่นี่ย่อมไม่ได้ทำไปเพื่อให้นางมาเยี่ยมครอบครัวเพียงเท่านั้นหรอก
เสี่ยวเตี๋ยมองไปที่กำไลหยกบนข้อมือ แววตาก็ระยิบระยับเป็ประกายเวลานี้นางเชื่อแล้วว่าบุตรสาวของตนอยู่ที่จวนอ๋องเป็อย่างดีไม่เหมือนกับที่แม่รองพูดว่านางนั้นลำบากแสนเข็ญแม้แต่น้อย
เพียงครู่เดียวนางก็ดูสดใสขึ้นหลายเท่ากระทั่งรอยตีนกาที่หางตาก็ดูคลายตัวขึ้นไม่น้อย
เมื่อเสี่ยวเตี๋ยก้มลงมองกำไลหยกที่มีตัวเนื้อหยกใสกระจ่างเห็นได้ชัดว่ามีมูลค่าสูงไม่น้อยนั้น สีหน้าตื่นเต้นของนางก็ค่อยๆมืดคล้ำลงจนกระทั่งกลายเป็สีขาวซีด นางกัดริมฝีปากตัวเองแรงๆไม่พูดไม่จาเสียอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเตี๋ยมีท่าทีผิดปกติคิ้วของซูฉีฉีก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ในใจก็รู้สึกเป็กังวลขึ้นมานางเหมือนจะเข้าใจอะไรสักอย่างแล้วแต่แค่ไม่อาจยอมรับได้เท่านั้น “ท่านแม่...ท่านพ่อฝากท่านมาพูดอะไรกับข้าใช่หรือไม่?”
สำหรับมารดาของตนนั้น ซูฉีฉีไม่ได้ตั้งกำแพงระวังตัวเท่าใดนักมีอะไรนางก็จะพูดออกมาตรงๆ
เสี่ยวเตี๋ยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ซูฉีฉีบุตรสาวที่ทำให้นางเป็กังวลทุกวัน และเป็บุตรสาวที่ทำให้นางวางใจไม่ลงจริงๆ “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
สำหรับการตอบสนองของมารดานั้น ซูฉีฉีทำเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ “ลูกต้องรู้อยู่แล้วสิ เื่บางเื่นั้นท่านแม่พูดออกมาเถอะ”
แม้ว่าจวนนี้จะกำแพงมีหู ประตูมีช่อง ข่าวสารรั่วไหลไปได้ง่ายมากทว่านางเชื่อว่าเื่นี้จะต้องไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตนเองอย่างแน่นอน
เสี่ยวเตี๋ยลังเลเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะไม่มีอันใดหรอก”
นางรู้ว่าตนเองอยากให้บุตรสาวใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตอนนี้บนใบหน้านางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันหวานช่ำเช่นนี้เื่บางเื่นางคิดที่จะแบกรับมันเอาไว้เอง
ซูฉีฉีก็ร้อนรนขึ้นมาเช่นกัน เื่นี้อยู่ในความคาดเดาของม่อเวิ่นเฉินมาั้แ่แรกแล้วนางเชื่อในความสามารถของม่อเวิ่นเฉิน เพราะฉะนั้นนางเลยไม่กังวลอะไรทว่าตอนนี้มารดาของนางกลับไม่ยอมเอ่ยออกมาเสียที นางว้าวุ่นใจยิ่ง “ท่านแม่ ท่านพ่อผู้ยิ่งใหญ่มีอะไรจะรับสั่ง ท่านก็พูดออกมาเถอะลูกจะต้องทำตามอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความร้อนรน
“ฉีฉี พ่อของเ้า...อยากจะให้เ้า...ช่วยเขาทำเื่เื่หนึ่ง” เสี่ยวเตี๋ยจ้องมองไปที่ซูฉีฉีด้วยสีหน้าจริงจังน้ำเสียงของนางก็อ่อนลงเช่นกัน เดิมนางไม่คิดจะเอ่ยอันใดออกมาทว่าตอนนี้ก็ไม่รู้จะปิดบังต่อไปเช่นไรดี
อีกทั้งต่อให้เื่นี้จะปิดบังได้แล้วก็ใช่ว่าซูชือฉางจะยอมปล่อยนางไป
แต่นางก็ไม่อยากให้บุตรสาวต้องลำบากใจ
เพราะฉะนั้นเสี่ยวเตี๋ยในตอนนี้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนแต่ลำบากใจไม่รู้จะเอ่ยออกมาเช่นไรดี
“ท่านแม่...” ซูฉีฉีลากเสียงยาวขึ้นพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ“ท่านไม่พูด ข้าจะไปหาท่านพ่อเองนะ”
พูดจบนางก็ก้าวเท้าออกไป
ถูกแล้ว เื่นี้นางไปหาซูชือฉางเองจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องดึงมารดาตนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อีกไม่กี่วันนางก็ต้องจากจวนนี้ไปถึงตอนนั้นถ้าหากม่อเวิ่นเฉินนั้นถือไพ่เหนือกว่าจริงๆ ชีวิตของมารดานางในจวนนี้คงต้องไม่ดีเป็แน่
ความจริงแล้ว ซูฉีฉีในตอนนี้ก็สับสนมากเช่นกัน
นางอยากจะช่วยม่อเวิ่นเฉิน แต่ก็ไม่อยากทำให้มารดาของตนต้องลำบากใจ
“ฉีฉี...” เสี่ยวเตี๋ยเดิมคิดอยากจะวิ่งตามไปแต่สุดท้ายก็นั่งกลับลงไปดั่งเดิม นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าทว่าแววตากลับเหม่อลอย“ฮูหยิน...เสี่ยวเตี๋ยควรทำอย่างไรดี? ”
ซูชือฉางกำลังลิ้มรสชาอยู่ในห้องโถงหลักเขายิ้มจนตาหยีเป็เส้นตรงขณะมองไปที่ซูเมิ่งหรู สีหน้ามีความปลาบปลื้มใจเป็อย่างมาก
“ท่านพ่อ” ซูฉีฉียังคงเป็เหมือนเมื่อก่อนนางเดินมาถึงนอกประตูอย่างระวังก่อนจะเรียกขานด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
เมื่อเงยหน้าเห็นซูฉีฉี รอยยิ้มบนใบหน้าของซูชือฉางก็มลายหายไป แววตาปรากฏประกายเพลิงแห่งโทสะขึ้นแต่ก็เหมือนจะพยายามสะกดมันเอาไว้
ต่อให้บุตรสาวคนนี้ของเขาจะไม่ได้เป็ที่โปรดปรานในจวนอ๋องแต่ถึงอย่างไรเสียก็มียศเป็พระชายาขั้นที่หนึ่งต่อให้เขาอารมณ์เสียมากแค่ไหนก็ไม่กล้าบันดาลโทสะใส่นาง
“ฉีฉีหรือ”
ซูชือฉางพยายามเค้นยิ้มอันจอมปลอมขึ้นมาบนใบหน้าก่อนจะกวักมือเรียก“ทำไมไม่อยู่พูดคุยกับมารดาเ้านานกว่านี้ล่ะ”
เขารู้อยู่แล้วว่าซูฉีฉีมาที่นี่ทำไม
ซูฉีฉีค่อยๆ ก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขานางไม่ได้นั่งลงแต่ยังคงยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าเขา “ท่านพ่อได้ยินท่านแม่พูดว่าท่านมีเื่้าให้ข้าช่วยหรือ”
ซูชือฉางนิ่งอึ้งไปก่อนจะสบตากับซูเมิ่งหรูและฮูหยินรองที่หลบอยู่ด้านหลังฉากกั้นแล้วจึงพยักหน้า“แม่เ้ามิได้บอกเ้าหรือ? เช่นนี้พ่อก็จะบอกเ้าเองแล้วกัน”
เขาหมุนตัวออกจากห้องโถงหลัก เดินผ่านทางเดินยาวๆ ก่อนจะไปถึงโถงเล็กข้างๆ
ซูฉีฉีเดินตามเขาไปติดๆ ในใจก็วิตกกังวลไม่น้อยทว่านางยังคงแสดงท่าทีสงบนิ่งออกมา
นางจำเป็ต้องสงบนิ่ง ระหว่างม่อเวิ่นเฉินและม่อเวิ่นเสวียนนั้นไม่ว่าจะเป็เพราะเหตุผลใดนางก็ยืนอยู่ได้แค่ฝั่งม่อเวิ่นเฉินเท่านั้น
“ได้ยินว่าท่านอ๋องลดตำแหน่งเ้าให้ไปอาศัยอยู่ที่โรงซักล้างเื่นี้เป็ความจริงหรือ?” เมื่อซูชือฉางเอ่ยประโยคนี้ออกมาเขาก็บีบคั้นสีหน้าแห่งความเ็ปใจออกมาด้วย “ต้องโทษพ่อเองที่มีอำนาจไม่เพียงพอทำให้เ้าต้องถูกรังแกแล้ว”