แม้หญิงสาวจะเดินด้วยท่าทางงดงามไปไกลกว่าร้อยก้าวแล้ว แต่ยังคงดึงดูดสายตาของศิษย์ในสำนักอยู่ บรรยากาศในห้องโถงเปลี่ยนเป็เงียบสงัด
“เสิ่นเฟยเสวี่ย ศิษย์สำนักเสวี่ยเจี้ยน คำนับประมุขสำนักหยวน ขอให้ประมุขอายุมั่นขวัญยืน” เสิ่นเฟยเสวี่ยกล่าวอวยพรหยวนฉางเทียนพร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน แล้วมอบของขวัญแด่ผู้าุโ
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ หยวนฉางเทียนก็ยิ้มอย่างพอใจแล้วกล่าวว่า “ตาแก่หัวรั้นสำนักเสวี่ยเจี้ยนโชคดีเสียจริงที่ได้เด็กดีมีมารยาทเช่นเ้าเป็ศิษย์”
“จุนเอ๋อร์ นำยาหนิงเสินไปให้เฟยเสวี่ยสิ”
หยวนฉางเทียนพยักหน้าให้หยวนจุน ในมือถือกล่องสวยงามใบเล็กที่ภายในเต็มไปด้วยยาหนิงเสิน
หลังจากรับกล่องไม้สวยงามมาจากหยวนฉางเทียน หยวนจุนรู้อยู่แล้วว่าปู่ของเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ การให้เขานำยาในมือไปมอบให้แก่เสิ่นเฟยเสวี่ยทั้งที่ไม่จำเป็นั้นเป็เพราะ้าให้เขามีตัวตน
เพราะการที่ยาราคาแพงเช่นนี้ผ่านมือย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นได้อยู่แล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ดึงดูดความสนใจจากเสิ่นเฟยเสวี่ยด้วยเช่นกัน
แต่หยวนจุนในตอนนี้ไม่ใช่หยวนจุนคนเดิมแล้ว เขาผ่านประสบการณ์เลวร้ายมามากมาย จะให้เขาหลงใหลหญิงสาวได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าหยวนจุนส่งกล่องไม้ที่บรรจุยาหนิงเสินให้ ใบหน้างดงามนั้นก็บ่งบอกถึงความดีใจ นางรับกล่องไม้มาถือไว้อย่างระวัง แล้วกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ขอบคุณประมุขน้อย”
หยวนจุนพยักหน้าไม่พูดจา ทั้งยังไม่มองใบหน้าเรียวงามที่ดึงดูดผู้คนมากมายนั้นด้วย เขาหันหลังกลับไปยืนที่เดิม
วั่นเฮ่าซิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในสายตาก็รู้สึกอิจฉา ทั้งสติปัญญา ทั้งพละกำลัง เรียกได้ว่าสำหรับคนทั่วไปแล้วเขาเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นจากหนึ่งในหมื่นคน
หากประมุขสำนักิเจี้ยนเป็ปู่ของตน ไม่ใช่หยวนฉางเทียน! วันนี้คนที่มอบยาและได้รอยยิ้มจากหญิงงามไปก็ต้องเป็เขา!
เขาเติบโตมาพร้อมกับหยวนจุน ทั้งยาสารพัดโรค และชิ้นส่วนสมบัติ์ ล้วนแต่ถูกมอบให้อยู่ในมือของคนที่ไม่เอาไหนและไร้เส้นปราณแต่กำเนิดอย่างหยวนจุน ส่วนเขาที่เป็หลานชายของผู้าุโใหญ่ได้กินเพียงแค่ “กากยา” เท่านั้น!
สิ่งที่ได้รับช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ความคิดนี้ติดอยู่ในใจวั่นเฮ่าซิงมานาน แต่หยวนฉางเทียนรักหยวนจุนมาก เขาจึงลงมือโจ่งแจ้งไม่ได้ มิเช่นนั้นคงไม่มีคนอย่างหยวนจุนในสำนักิเจี้ยนแล้ว!
วั่นเฮ่าซิงไม่อาจเผยความคิดในใจต่อหน้าผู้คน เขาจึงได้แต่ยิ้ม ทั้งที่ความโกรธอัดแน่นอยู่เต็มอก!
“เ้ามาจากแดนไกล ถ้านำแค่ยาหนิงเสินกลับไป ตาแก่หัวรั้นคงหัวเราะเยาะหาว่าสำนักิเจี้ยนของข้าใจแคบ ข้าว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน เ้าพักอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน ข้าจะกลั่นยาพั่วซิงให้อีกสักหน่อย ถือว่าเป็ของขวัญพบหน้าเ้า”
หยวนฉางเทียนเอ่ยปากให้ยาพั่วซิง!
นักยุทธ์ระดับดาราที่ได้กินจะมีโอกาสบรรลุผ่านสำเร็จถึง 3 เท่า หากวางยาไว้นอกสำนัก ทุกคนจะต้องแย่งชิงสมบัตินี้อย่างบ้าคลั่งแน่นอน!
แม้แต่เทพธิดา์อย่างเสิ่นเฟยเสวี่ยก็ยังมิอาจเมินยาพั่วซิงนี้เลย
“ขอบคุณประมุขที่เมตตา! เฟยเสวี่ยซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้!”
หลังจากผู้คนส่วนใหญ่ออกจากห้องโถง หยวนจุนก็หายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น ครั้นเมื่อเห็นนักยุทธ์หลายร้อยคนอยู่ที่ลานประลองกระบี่ แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
กระบี่ เขาเองก็เคยมีกระบี่ยาวอยู่เล่มหนึ่ง แต่เมื่อเขากำเนิดใหม่ กระบี่โหยวหลงที่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่รู้หายไปไหน
“กระบี่ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าสูงส่งและผู้คนต่างยกย่อง หรือประมุขน้อยก็สนใจทักษะกระบี่?”
หยวนจุนได้ยินเสียงเบาๆ จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เขาเห็นเสิ่นเฟยเสวี่ยกำลังเดินมาด้วยท่าทางงดงาม พร้อมกับน้ำเสียงแสดงความเป็มิตร
“ฟิ้วฟิ้ว”
เสียงแหลมสูงแหวกอากาศดังขึ้นบนท้องฟ้าแล้วตรงมาทางหยวนจุน วั่นเฮ่าซิงจับกระบี่ยาวด้วยสายตาเ็า จ่อลำคอหยวนจุนอย่างไม่ลังเล
หยวนจุนทำท่าโต้กลับด้วยการหันหลังมือ และใช้สองนิ้วเพื่อที่จะหนีบกระบี่ยาวอันคมกริบออกไป แต่ออกท่าไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็นึกได้ว่าหยวนจุนในตอนนี้ไม่มีแรงที่จะรับกระบี่!
ตามองคมมีดที่กำลังจะัันิ้ว จะหยุดตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว หยวนจุนจึงทำได้เพียงแสร้งจนมุม จากนั้นก็ถอยหลังไปหลายก้าวจนกระแทกเข้ากับเสาหินเสียงดัง
เมื่อเห็นหยวนจุนจนมุม แววตาของวั่นเฮ่าซิงก็เปลี่ยนไปทันที เขาดึงปราณดารากลับสู่ภายในร่างกาย และนำกระบี่ยาวที่ชักออกมาเมื่อครู่กลับเข้าฝัก
“ฮาฮา ทำให้แม่นางเฟยเสวี่ยใแล้ว น้องหยวนจุนไร้เส้นปราณแต่กำเนิดเลยทำให้บ่มเพาะพลังยุทธ์ไม่ได้ และไม่มีทางฝึกวิชากระบี่ได้สำเร็จ เราหยอกล้อเขาเป็ประจำ แต่ไม่เคยทำร้ายเขา!”
วั่นเฮ่าซิงยกแขนขึ้น ผายมือท่าทางเชื้อเชิญเสิ่นเฟยเสวี่ย “หากแม่นางเฟยเสวี่ยสนใจวิชากระบี่สำนักิเจี้ยน ข้าสามารถเป็ที่ปรึกษาเพลงกระบี่ให้แม่นางเฟยเสวี่ยได้นะ ว่าอย่างไรล่ะ?”
เสิ่นเฟยเสวี่ยเหลือบมองหยวนจุนที่ถูกวั่นเฮ่าซิงบีบให้จนมุม นางพยักหน้า แต่ในใจก็ยังใไม่หาย
หยวนจุนเป็คนไม่เอาไหนจริงๆ! หยวนฉางเทียนอุตส่าห์สะสมยาสารพัดโรคมาหลายสิบปีเพื่อเขา แต่แค่วิชากระบี่ธรรมดาเขาก็ยังรับไม่ได้!
“เชิญคุณชายเฮ่าซิง” เสิ่นเฟยเสวี่ยทิ้งสายตาความผิดหวัง นางพยักหน้าเบาๆ ให้กับวั่นเฮ่าซิงที่คุยกันระหว่างทางไปศาลาลานกระบี่ที่อยู่ไม่ไกล
“อยากใช้ความอับอายของข้าเพื่ออวดสตรี! วั่นเฮ่าซิง ข้าว่าเ้าเลือกผิดคนแล้ว! คิดว่าข้ายังเป็หยวนจุนที่ไม่สู้คน คนที่ยอมเ้าคนเดิมอย่างนั้นหรือ!”
หยวนจุนรู้ว่าการทะเลาะในห้องโถงนั้นไม่ค่อยเหมาะจึงไม่อยากต่อปากต่อคำกับวั่นเฮ่าซิง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดนี้ลงท้องไป
“ในใต้หล้า ไม่มีอำนาจใดเหนือกว่าสตรีและคนร้าย...” หยวนจุนเม้มปากแน่นแล้วเดินกลับห้องตนเองโดยไม่สนใจ
หลังจากเข้าห้องมาแล้ว เขานั่งขัดสมาธิ ระลึกความทรงจำของการฝึกฝนเคล็ดวิชา และดูดซับปราณดาราบางๆ อย่างไม่หยุดหย่อน
บนท้องฟ้ามีกลุ่มดวงดาวอยู่ทุกทิศทุกทาง และกลุ่มดาวประกอบด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน
ดาวที่กำเนิดมาแต่โบราณ เรียกว่า แปดกลุ่มดาว ได้แก่ จื๋อฝู เถิงเสอ ไท่หยาง ลิ่วเหอ จิ่วเทียน จิ่วตี้ โกวเฉิน และจูเชวี่ย
ดวงดาวมี 3 ชั้น โดยชั้นแรกเป็แกนหลักของดาว 8 ดวง ชั้นที่สองเป็ปราณธาตุดาว และชั้นที่สามเป็ดวงดาวทั่วไป ซึ่งนักยุทธ์สามารถใช้ประโยชน์จากการดูดซับกระแสปราณได้
และการเชื่อมประสานธาตุดาว ที่ไม่เพียงแต่ช่วยดูดซับปราณดาราเท่านั้น แต่ยังสามารถรวมิญญาดาราได้ด้วย ดังนั้น เมื่อเชื่อมประสานธาตุดาวกับร่างกายแล้วก็จะทำให้ได้รับคุณสมบัติธาตุลม ไฟ อากาศ น้ำ หรือดิน
ตอนแรกหยวนจุนไปถึงระดับสูงสุดของระดับตะวันวงแหวนใหญ่ขั้นเก้า และด้วยความพยายามทำให้เขาเชื่อมประสานปราณดาราของแกนดาวจูเชวี่ยได้สำเร็จ เพียงกวัดแกว่งนิ้ว ที่นั่นก็จะเป็ทะเลเพลิง!
“หวือ”
แสงประกายรวมตัวกันอย่างต่อเนื่องที่จุดตันเถียนของหยวนจุน แม้จะยังเบาบางเช่นเดิม แต่ก็มีสัญญาณของการรวมตัวกันเป็กระแสปราณ
“ใช้ร่างสร้างปราณ!”
แก่นแท้ของอักษรลับเก้าตะวันเป็อย่างนี้นี่เอง! และนี่ก็เป็ข้อพิสูจน์ว่าทำไมต้องทำลายปราณก่อนจึงจะฝึกเคล็ดวิชานี้ได้
หยวนจุนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการใช้ร่างสร้างปราณแล้ว หลังจากผ่านไปสามวัน กายเขาปกคลุมด้วยแสงของดวงดาวราวกับระฆังที่แผ่ออก เขาจึงบีบเค้นพลังปราณให้มารวมกันแล้วส่งไปที่จุดตันเถียน เพื่อเตรียมสำหรับการก่อตัวของกระแสปราณในขั้นสุดท้าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้