หน้าเล็กๆ ของเซียงจิ้งบูดบึ้งในบัดดล นางไม่เคยได้ยินเื่เล่านั้นเสียที่ไหน ั้แ่อายุยังน้อยนางก็คิดว่ารูปโฉมของตนไม่เป็สองรองใคร ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินรองรับปากกับนางแล้วว่าจะยกนางให้เป็อนุของนายท่านรองหลังจากจัดการเื่นี้เสร็จสิ้น ทว่าอย่างไรเสียนายท่านรองก็เทียบคุณชายวัยหนุ่มผู้หล่อเหลาไม่ได้ หากมีโอกาสถูกตาต้องใจคุณชายคนไหนเหมือนเสี่ยวเชี่ยน... นางไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไปเลย
“เช่นนั้นก็รบกวนแม่เฒ่าตู้แล้ว” ไป๋เซียงจู๋ทำทีราวกับมองไม่เห็นเซียงจิ้งที่ไม่เต็มใจนัก นางเดินนำตู้เจวียนไปทางเขาหลังวัด
พอเห็นไป๋เซียงจู๋นำตู้เจวียนไปก่อน เซียงจิ้งรีบจับมือของแม่เฒ่าตู้ไว้อย่างสนิทสนม ยิ้มแย้มออดอ้อนเต็มที่
“แม่เฒ่าตู้ เซียงจิ้งได้ติดตามขึ้นเขามาในครั้งนี้เพราะท่านโดยแท้ กำไลหยกนี่เป็ของที่ฮูหยินรองมอบให้ข้า สาวใช้อย่างข้าสวมไปก็น่าละอาย เหมาะกับคนมากความสามารถเช่นแม่เฒ่าตู้มากกว่า” เซียงจิ้งพูดแล้วก็ถอดกำไลหยกขาวจากข้อมือตนออกมาสวมบนข้อมือของแม่เฒ่าตู้แทน
“นี่มันควรที่ไหนกัน...” แม่เฒ่าตู้มองกำไลหยกนั่นตาเป็ประกาย แม้ปากบอกเช่นนั้น ทว่ามืออีกข้างกลับหมุนดูมันอย่างไม่วางตา จากนั้นจึงหันหน้าไปพูดกับเซียงจิ้ง “เดือนสี่ดอกซิ่งบานสะพรั่ง อยู่แต่ในจวนเ้าคงห่อเหี่ยวแย่สินะ ให้ข้าเฝ้าคัมภีร์นี่แล้วกัน เ้าตามคุณหนูไปเถอะ แต่ธุระที่ฮูหยินรองสั่งน่ะ...”
“แม่เฒ่าตู้วางใจเถิดเ้าค่ะ เซียงจิ้งจะไม่ทำเสียเื่เด็ดขาด” เซียงจิ้งยิ้มน้อยๆ รับคำ นางยกชายกระโปรงขึ้นและรีบรุดตามไปทันที
นกนางแอ่นน้อยยังไม่กลับรัง ความงามแห่งวสันต์กลับใกล้สิ้นสุดเสียแล้ว แม้ชาติก่อนไป๋เซียงจู๋จะเคยได้ยินชื่อป่าดอกซิ่งของวัดต้าโฝแต่นางก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยือน ไป๋เซียงจู๋พร้อมด้วยตู้เจวียนและเซียงจิ้งค่อยๆ เดินเอ้อระเหยไปยังเขาหลังวัดต้าโฝท่ามกลางกลิ่นต้นจันทน์หอมอบอวล
ในอดีตชาตินางไม่มีกระทั่งโอกาสชมดอกบ๊วย [1] ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับโอกาสขึ้นเขามาชมดอกซิ่งบานสะพรั่งเต็มต้นเช่นนี้ นางจำได้เพียงแค่ว่าในสามวันของการขอพรเมื่อชาติก่อนนั้น นางถูกแม่เฒ่าตู้จับตามองตลอดเวลา หนีห่างไปไม่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว ได้แต่คัดลอกคัมภีร์ด้วยความเหงาหงอยจืดชืดทั้งสามวัน สุดท้ายอวี๋ซื่อก็ส่งรถม้ามารับนางกลับจวน ทว่านางประสบเคราะห์ร้ายกลางทาง...
เมื่อเห็นกลีบดอกซิ่งลอยละล่องอย่างอิสระ ไป๋เซียงจู๋ตกตะลึงยิ่ง นางไม่เคยรู้เลยว่าดอกซิ่งจะงดงามได้ถึงเพียงนี้ สดใสได้ถึงเพียงนี้ สีชมพูเจือแดงดั่งแต้มชาด
ดอกซิ่งไม่ได้มีเพียงสีเดียว มันมีสีแดงสดเหมือนเมฆบนฟ้ายามย่ำรุ่งในตอนเป็ดอกตูม และจางลงเมื่อกลีบดอกเบ่งบานขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งถึงเวลาร่วงโรยก็ขาวโพลนดุจหิมะ
เมื่อกวาดสายตามองไปในตอนนี้จะเห็นสีขาวกับแดงผสมผสานกัน ค่อยๆ กลายเป็ทิวทัศน์สีชมพูปนแดง เจริญตาเหลือเกิน
ไป๋เซียงจู๋ที่อยูชุดสีชิงอันเรียบง่ายและสง่างามเยื้องกรายท่ามกลางป่าบุปผาแห่งนี้ เอื้อมมือไปรองหยาดน้ำค้างที่จวนจะร่วงบนกลีบดอกบ้าง ก้มหน้าจรดปลายจมูกลงบนดอกไม้เพื่อดอมดมเบาๆ บ้าง
กลิ่นหอมจางนี้ทำให้ไป๋เซียงจู๋เกิดความรู้สึกสบายใจบางอย่าง
พอเซียงจิ้งที่ยืนเฝ้าอยู่ไกลๆ เห็นท่าทางเช่นนี้ของไป๋เซียงจู๋ อารมณ์หงุดหงิดก็แล่นผ่านในดวงตา ไม่มีบัณฑิตผู้ใดเดินผ่านบริเวณนี้โดยสิ้นเชิง ส่วนนางจิ้งจอกนี่ก็อยู่ตรงนี้ ต่อให้มีบุรุษสักคนผ่านมาก็คงจะถูกรูปลักษณ์ของนางจิ้งจอกวัยกระเตาะนี่ล่อใจไปกันหมด
เป็ใบหน้าอย่างปีศาจจิ้งจอกร้ายโดยแท้ ไม่แปลกใจที่ฮูหยินรองและคุณหนูรองจะจงเกลียดจงชังไป๋เซียงจู๋มากขนาดนี้
ขณะเซียงจิ้งกำลังนึกคิดด้วยความขุ่นเคือง ก็เห็นไป๋เซียงจู๋ที่อยู่ท่ามกลางดงดอกซิ่งหันหน้ามายิ้มให้ตู้เจวียน
“ตู้เจวียน”
ไป๋เซียงจู๋ยิ้มพริ้มพราย เดิมทีตั้งใจจะเรียกตู้เจวียนสาวใช้ส่วนตัวของตน แต่กลับเห็นร่างสีขาวที่ยืนข้างหลังตู้เจวียนไปไม่ไกล...
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องฌานเ้าอาวาสวัดต้าโฝ
เจวี๋ยคงต้าซือผู้เริ่มเก็บตัวบำเพ็ญจิตั้แ่วันที่เห็นคำทำนายที่ถูกเสี่ยงทายโดยไป๋เซียงจู๋ บัดนี้มีสีหน้าตึงเครียดอย่างยิ่ง นิ้วมือของเขาสั่นเทา คิ้วที่กลายเป็สีขาวหมดจดย่นเข้าหากันแน่น
เป็ไปได้อย่างไร... เป็ไปไม่ได้!
“เจี้ยจิ้ง รีบไปตามศิษย์พี่เจวี๋ยเฉินของเ้ามา บอกว่าข้ามีธุระจะสนทนากับเขา”
เมื่อเจี้ยจิ้งที่กำลังกวาดลานวัดด้านนอกได้ยินคำสั่งของเ้าอาวาสแล้วก็รีบทิ้งไม้กวาด คารวะเ้าอาวาสเจวี๋ยคง และหันหลังไปตามอาจารย์เจวี๋ยเฉินทันที
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ประตูห้องฌานถูกเปิดออก ศิษย์ฉายาเจี้ยจิ้งผลักประตูเดินเข้ามารายงานเจวี๋ยคงที่หลับตานั่งสมาธิอยู่ “ท่านเ้าอาวาส เจี้ยอู้บอกว่าท่านอาจารย์เจวี๋ยเฉินไปเก็บสมุนไพรที่เขาข้างหลัง อาจารย์กลับมาเมื่อไร เจี้ยอู้จะแจ้งอาจารย์ว่าท่านเ้าอาวาสเรียกพบ”
พอได้ยินเจี้ยจิ้งว่าดังนั้น เจวี๋ยคงลืมตาขึ้นช้าๆ และพูดกับเจี้ยจิ้งอย่างสงบนิ่ง “ได้ ข้ารับรู้แล้ว เ้าไปเถอะ!”
เจี้ยจิ้งคารวะอีกครั้ง จากนั้นก็หันกายกลับเปิดประตูเดินออกไป
เจวี๋ยคงนั่งขัดสมาธิบนอาสนะ สองมือประกบชิดและสวดภาวนากับประคำในมือ “อมิตาภพุทธ—”
สายตามองกว้าเซี่ยง [2] ที่ตนคำนวณออกมา เขาถอนใจ สุดท้ายสิ่งที่จะเกิดมันก็ต้องเกิดนั่นแล!
ชะตาเป็ไปตามกรรม กรรมคือชะตา ชะตาผูกกรรม กรรมเป็รากชะตา
----------------------------------------
หลังไป๋เซียงจู๋เพ่งมองร่างขาวนั่นจนเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว นางก็รู้สึกแสบเคืองจมูก เบ้าตาแดงก่ำ
เจวี๋ยเฉิน!
เป็เขาไม่ผิด!
เจวี๋ยเฉินในชาติก่อนเป็ศิษย์คนสุดท้ายของเจวี๋ยคงต้าซือ มีปัญญาแก่กล้า เจวี๋ยคงต้าซือชื่นชมศิษย์ผู้นี้มาก ในอดีตชาติ นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเจวี๋ยคงต้าซือเข้าเป็พรรคพวกให้เหยียนอี้เลี่ย ทว่าพระเจวี๋ยคงบรรลุว่าโลกคือความว่างเปล่า มองทุกสิ่งด้วยจิตใจที่ปลงแล้ว ต่อมานางได้รู้ว่าเขามีศิษย์คนสุดท้ายอย่างเจวี๋ยเฉิน อีกทั้งยังเชิดชูศิษย์คนนี้อย่างยิ่ง มีเค้าว่าจะให้เจวี๋ยเฉินสืบทอดผ้ายอมฝาดกับบาตรของตน
เชิงอรรถ
[1]ในที่นี้คือการออกไปเที่ยวชมบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
[2]卦象 กว้าเซี่ยง คือ สัญลักษณ์ซึ่งประกอบขึ้นจากเหยา (เส้นประและเส้นเต็ม แทนหยินและหยาง) แต่ละเส้นเป็ตัวแทนของสรรพสิ่งบนโลก ใช้ในการทำนายดวงชะตา