หลังจากนั้น ผมกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม แตกต่างขึ้นตรงที่ ในทุกวันผมพยายามส่งไลน์หาหมอ เขาตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง ผมไม่ใส่ใจมากนัก ยังคงทำตัวเป็เด็กดี เพื่อสักวันเขาจะขาดผมไม่ได้....
“ทำอะไรอะ” เสียงของเจย์เอ่ยขึ้นจากด้านข้าง มันชะเง้อคอมองแล้วถามด้วยความแปลกใจ
“ส่งให้สาวเหรอ คนไหนวะ สวยไหม?” มันถามมาเป็ชุด ผมรีบคว่ำมือถือแล้วหันไปหามัน
“ไม่เสือกสักเื่ได้ไหม?”
“เดี๋ยวนี้มีความรักก็ไม่บอก” ผมหันมองหน้าไอริส ตามตรงก็ยังห่วงความรู้สึกเธอ ก่อนไอริสจะยิ้มแล้วตอบกลับ
“เด็กคณะไหน พวกเรารู้จักไหม?”
“ไหนขอดูหน่อยดิ๊” เจย์เอื้อมมาหยิบมือถือไปกดดู โชคดีที่ผมล็อกรหัสไลน์ไว้ สีหน้าของมันเปลี่ยนเล็กน้อย
“นี่มึง มีความลับกับเพื่อนด้วยเหรอวะ” ผมแย่งมือถือกลับมา แล้วมองหน้ามันอย่างกวน ๆ
“ความลับอะไร กูก็ล็อกอย่างนี้มานานแล้ว ข้อมูลโรงแรมที่คุยกับแม่กูเยอะ ปลอดภัยไว้ก่อน” คำตอบผมทำให้เจย์มันพยักหน้างึกงัก
“กูได้ข่าวว่าแม่มึงเรียกค่าเสียหายจาก ส.ส. พิชัยหลายล้านเลย ค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียเวลา ค่าทำขวัญ และก็ค่าปิดข่าวด้วย” เอาจริง ๆ ผมก็เพิ่งรู้จากปากธันน์เหมือนกัน แต่ก็ทำเนียนตอบกลับ
"ขนหน้าแข้งมันไม่ร่วงหรอก”
“ดูง่ายดีเนอะ ไม่เห็นว่าพวกมันจะลำบากอะไร” ผมนั่งฟังพวกมันพูดถึงเื่นี้อย่างเงียบ ๆ พร้อมสายลมพัดมาปะทะกายเบา ๆ ก่อนจะเห็นน้องรูแปงที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ แอบมองผมอยู่ห่าง ๆ เหมือนเดิม ผมจึงตัดสินใจกวักมือเรียกเธอ
“มึงทำอะไรวะ?” เจย์ขมวดคิ้วแล้วรีบแตะไหล่ผมทันที มันเองก็กลัวน้องรูแปงอยู่มากเหมือนกัน ก่อนฝีเท้าของเธอจะเดินเข้ามา แล้วยื่นขนมให้
“หนูแวะร้านโดนัท ก็เลยซื้อมาฝาก”
“ไม่ได้ขอ!” เจย์เอ่ยขึ้นทันทีด้วยท่าทางกวน ๆ พร้อมสีหน้าของน้องรูแปงเปลี่ยนสีในทันที ก่อนผมจะตอบน้องไป
“ขอบคุณมากนะ” คำตอบผมทำให้น้องรูแปงที่ทำท่ากล้า ๆ กลัว ๆ ค่อย ๆ ปล่อยยิ้มออกมา แล้วหันตัวเดินกลับไปด้วยท่าทางเขินขาย
“มึงตัวร้อนปะ?” ธันน์เอื้อมมาแตะหน้าผากผม ก่อนเจย์จะเอ่ยขึ้น
“ที่มึงเห็นไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้า คีย์มันก็รับตุ๊กตาของรูแปงมาแล้ว กูเห็นกับตา” ธันน์ที่ไม่เคยรู้อะไร หันขวับมายังผม แล้วเขย่าเบา ๆ
“มึงถูกรถชนจนสมองกลับไปแล้วแน่ ๆ?” ผมหลุดยิ้มให้กับคำพูดกวน ๆ ของมัน ไอริสนั่งอยู่ไม่ห่างเอื้อมมาหยิบกล่องขนมในถุง แล้วหมุนดูช้า ๆ
“เ้านี้อร่อยจริง ๆ นะ เรากินมาแล้ว” ผมหันมองโดนัทแล้วเข้าใจได้ว่า สำหรับคนที่เราชอบแล้ว เราจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาเสมอ รูแปงก็ไม่ต่างอะไรกับมยุรา...ผมยิ้มแล้วเอื้อมไปหยิบกล่องโดนัทเปิดออก
“ไอ้คีย์ มึงยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนี้ มึงอย่าบอกนะว่ามึง...” ผมเห็นมันเบิกตาโพลง คงคิดไกลไปถึงไหนต่อไหน
“พวกมึง! หยุดคิดทุกอย่างที่อยู่ในหัว” ผมชี้มือไปยังทุกคนแล้วพูดต่อ
“กูไม่ได้คิดอะไรกับน้องรูแปงทั้งนั้นแหละ”
“แล้วมึงรับของมันมาทำไม?” ธันน์ย่อตัวลงด้านข้างแล้วถามผมด้วยความอยากรู้
“ถึงกูไม่ได้คิดอะไรกับน้องมันอะ กูก็ไม่ควรทำทางท่ารังเกียจ ไม่ควรทำร้ายจิตใจน้องมันเปล่าวะ พวกมึงดูดิ พอกูรับของมาแล้วอะ มันก็ไม่ได้อยู่กวนใจอะไรหนิ” ผมเห็นทุกคนหันมองหาน้องรูแปง แล้วนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ พร้อมสายลมพัดมาปะทะกายเบา ๆ
“ตอนที่กูรักษาตัว พวกมึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่า น้องรูแปงถามหาตลอด บางทีพวกเราอาจมองข้ามหรือลืมไป ว่าตอนที่กูนอนอยู่โรงพยาบาลอะ อาจเป็่เวลาที่รูแปงแม่งกระวนกระวายที่สุดเลยก็ได้ ไม่รักก็ไม่จำเป็ต้องทำร้ายกันก็ได้หนิ!” ผมพูดจบ ทุกคนก็นิ่งเงียบไป เจย์ที่เคยมีท่าทีกวน ๆ ก้มหน้าลงนิ่งสุด
“กูรู้ดี ว่าคนที่โดนมองข้าม มันเ็ปยังไง กูไม่อยากให้ใครต้องเจออย่างกู” ผมไม่รู้ว่าเผลอพูดคำพวกนั้นออกมาได้ยังไง พอรู้ตัว ก็ลุกแล้วเดินขึ้นตึกเรียนไปอย่างเงียบ ๆ คนเดียว
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นของทางเดินในตึกเรียนดังขึ้นช้า ๆ ผมไม่ได้เร่งฝีเท้าและไม่ได้รู้สึกโกรธใคร แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตีวนอยู่ในอก รู้ดีว่าการถูกมองข้ามมันเ็ปยังไง ทว่าเสียงรองเท้าดังกุกกักตามมาเบา ๆ จากด้านหลัง ผมจึงหันกลับไป ก่อนจะเห็นไอริสยืนอยู่ห่าง ๆ
“ขอเดินเป็เพื่อนได้ไหม?” เธอถามเสียงเรียบแต่แฝงความอบอุ่น ผมยิ้มแล้วพยักหน้า ชะลอฝีเท้าลงให้เธอเดินข้างกัน
“เมื่อกี้นายพูดดีนะ” อยู่ ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นพร้อมสายลมพัดมาเบา ๆ
“ฉันก็เคยเป็คนที่ถูกมองข้ามเหมือนกัน เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นดี จริง ๆ แล้ว ฉันว่ารูแปงอาจจะไม่ได้หวัง ให้นายชอบกลับหรอกนะ แค่ได้รับการมองเห็น ได้รับความใส่ใจจากคนที่เขาชอบ มันก็อาจพอแล้ว” ผมเลื่อนสายตามองใบหน้างดงามของเธอ ความรู้สึกผิดลึก ๆ ในใจกลับทำให้ผมอึดอัดอีกครั้ง
“ไอริส เราขอโทษจริง ๆ นะ เราไม่ควรให้ความหวังเธอ ทุกอย่างเราผิดเอง” แทนที่เธอจะต่อว่า กลับยิ้ม
“ฉันรู้ว่านายรู้สึกผิด แต่ฟังนะคีย์” ไอริสหันมาสบตาผมตรง ๆ สีหน้าเธอไม่มีร่องรอยโกรธเคือง หรือเสียใจ มีเพียงความสงบและแน่วแน่
“ฉันไม่ได้อยากให้นายรู้สึกผิดกับสิ่งที่ผ่านมา ทุกคนล้วนเคยทำสิ่งผิดพลาดกันมาทั้งนั้น ถึงนายไม่ได้เลือกฉัน ถึงนายไม่ได้ชอบรูแปง แต่ก็นายเลือกจะไม่ทำร้ายใคร มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?” ในเวลานั้น ความรู้สึกผิดทั้งหมดคลายออก ผมยิ้มให้เธอพร้อมเสียงเรียกของเพื่อนดังอยู่ด้านหลัง
“ไอ้คีย์ รอด้วย” พวกมันสองคนวิ่งตามมาหลังมา แล้วพวกเราทั้งหมดก็พากันเข้าห้องเรียนโดยไม่พูดเื่นั้นกันอีก
หลังจากนั้น ผมก็เฝ้ารอให้ถึงวันไปแม่ฮ่องสอนโดยเร็ว เตรียมเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็ยัดใส่กระเป๋าใบใหญ่ แน่นอนว่าผมได้ขออนุญาตพ่อกับแม่แล้ว ในตอนแรกพวกท่านไม่เชื่อว่าผมจะอยู่ในสถานที่กันดารได้ พากันยกตัวอย่าง ยกเหตุผลต่าง ๆ นานาถึงสิ่งที่ผมต้องเผชิญ
“มันไม่ได้สนุกนะ!” เป็คำพูดของคุณพ่อที่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ผมไปแม่ฮ่องสอนกับหมอนาวิน เพราะกลัวอันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่คนอย่างผม...เมื่อมีจุดมุ่งหมายแล้วอะไรก็ขวางไม่ได้ ระหว่างที่ผมจัดกระเป๋าอยู่นั้น เสียงมือถือก็ดังขึ้น
“ครับคุณหมอ” ผมกดรับพร้อมยัดถุงเท้าเก็บใส่ช่องสุดท้ายแล้วปิดกระเป๋าทันที
“เตรียมตัวแล้วหรือยัง?”
“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ขึ้นเครื่องกี่โมง?”
“ใครบอกคุณว่าเราจะขึ้นเครื่อง?”
“ก็...” ผมพูดอะไรไม่ออก ถ้าไม่ขึ้นเครื่องแล้วจะไปทางไหนได้
“ถ้าเราไม่ได้ขึ้นเครื่อง หมายความว่าจะขับรถไปเองหรือครับ?”
“สถานที่ที่เราจะไป ไม่ใช่จะขับรถไปเองง่าย ๆ มีหุบเหวลึกเต็มไปหมด”
“ถ้างั้นเราจะไปกันยังไง?”
ภายในรถทัวร์ที่กำลังจะออกเดินทาง กลับเริ่มเต็มไปด้วยเสียงคน เสียงเครื่องปรับอากาศครางเบา ๆ กลบความเงียบจากความประหม่าในใจ ผมหันมองซ้ายขวาอย่างเงอะงะ ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นพลาสติกรถใหม่ และผู้คนที่ทยอยกันขึ้นมา
“นั่งตรงนี้ คุณนั่งด้านในแล้วกัน” เสียงของหมอเอ่ยขึ้นทำให้ผมมองไปยังที่นั่งตรงหน้า แล้วเดินเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย สายตาสอดส่องมองไปรอบ ๆ อย่างไม่คุ้นชิน
“เคยนั่งรถทัวร์ไหม?” คำถามของเขาทำให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมองมาเป็จุดเดียวกัน ด้วยความเงียบ ทำให้ผมไม่ตอบเขาแต่ขยับนั่งให้เข้าที่ ขณะที่คุณหมอก็จัดกระเป๋าให้เป็ระเบียบ
ผมหันมองเบาะหนังเทียมสีน้ำตาลเข้ม ดูเหมือนจะปรับเอนได้ แต่เอาเข้าจริงกลับแข็งกว่าที่คิด ที่วางแขนพลาสติกด้านข้างก็แข็งแปลก ๆ ก่อนคุณหมอจะเข้ามานั่งด้านข้างแล้วหันมองผมเหมือนจะพูดอะไร ก่อนเสียงประกาศจากลำโพงก็ดังขึ้นเบา ๆ ทว่าแทรกซึมเข้ามาในทุกอณูของห้องโดยสาร
“ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านนั่งประจำที่และรัดเข็มขัดนิรภัย รถจะออกจากสถานีหมอชิตภายใน 5 นาทีข้างหน้า ปลายทาง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ…” ผมสูดหายใจลึกช้า ๆ ขณะที่เสียงเครื่องยนต์เริ่มครางต่ำอยู่ใต้พื้นรถ ท้องไส้เหมือนกำลังตีลังกาไปพร้อม ๆ กับตัวรถที่รอเวลาเคลื่อนตัวออกจากช่องจอด