หยวนชิวถูกโยกย้ายไปยังเรือนจิปาถะ เบื้องลึกเื้ัของเื่นี้มีค่าพอให้ค้นหาอย่างละเอียด
ส่วนหน้าของเรือนจิปาถะใหญ่มาก ข้าหลวงทุกคนต่างทำงานอยู่หน้าเรือน
หยวนชิวทำงานอยู่ที่เรือนจิปาถะได้หลายวันแล้ว พักอยู่ในห้องพักกับข้าหลวงคนอื่น
จากการยืนยันของหัวหน้านางกำนัลที่ดูแลเรือนจิปาถะหลี่เทียนเสียงกับนางกำนัลของห้องพักยืนยันว่าไม่ได้เจอหยวนชิวมาสองวันแล้ว
เสิ่นจือเหยียนถาม “ไม่เจอนางมาสองวันแล้ว เ้าที่เป็หัวหน้าของนางไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?”
มู่หรงฉือจ้องคนพวกนี้ บรรดานางกำนัลต่างคุกเข่าอย่างนอบน้อม ก้มหน้าลงนิ่ง ตัวสั่นด้วยความกลัว
พวกนางไม่กล้าขยับ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวยำเกรง กังวลว่าจะถูกองค์รัชทายาทมองอะไรออกแล้วลงโทษ
หลี่เทียนเสียงนิ่งกว่าสักหน่อย อย่างไรเขาก็มีอายุมากกว่าผู้อื่นหลายปี เจอสถานการณ์ใหญ่มาไม่น้อย แต่ว่ายังคงมีท่าทีเคารพนอบน้อม ไม่กล้าแสดงอะไรออกมา
เรือนจิปาถะเคยได้เจอคนใหญ่คนโตอย่างองค์รัชทายาทเสียที่ไหน?
ดังนั้น ทุกคนที่หน้าเรือนต่างจมอยู่ในความหวาดผวากับหวาดกลัว ไม่กล้าทำอะไรเอิกเกริกจนเกินไป
“เรียนใต้เท้า หนูฉายคิดว่านางป่วย...จึงให้นางพักผ่อนวันสองวันขอรับ...” หลี่เทียนเสียงตอบตะกุกตะกัก “นางเพิ่งจะมาทำงานที่เรือนนี้ได้เพียงไม่กี่วันก็ป่วยเสียแล้ว มีครั้งหนึ่งยังเป็ลมไปด้วย พวกเราเห็นกันหมด...”
“ใช่เ้าค่ะ หยวนชิวป่วย” เหล่านางกำนัลพากันพูดเสริม ประหนึ่งว่าหากไม่พูดเสริมจะถูกลงโทษ
“ไม่เจอหน้าสองวัน เ้าไม่เคยไปหาหรือไต่ถามนางเลยหรือ?” มู่หรงฉือถามเสียงเข้ม เพิ่มความน่าเกรงขามไปอีก
“ไม่ได้ไปพ่ะย่ะค่ะ...องค์รัชทายาท หยวนชิวก็เป็เช่นนี้ หากไม่ป่วยก็จะไม่ได้เห็นนางทั้งวัน...หนูฉายคิดไม่ถึงว่า...” เขาใจนอุจจาระปัสสาวะราด “หนูฉายจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะตายแล้ว...เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้า หนูฉายไม่ได้ฆ่าคน...หนูฉายถูกใส่ร้าย...”
หยวนชิวเป็เพียงนางกำนัลที่ไม่สะดุดตาผู้หนึ่ง นึกไม่ถึงว่านางตายไปแล้วจะเรียกให้องค์รัชทายาทกับศาลต้าหลี่มาสอบถาม เื่นี้เป็สิ่งที่เขาคิดไม่ถึง เขารู้สึกเสียใจภายหลังมาก ก่อนหน้านี้ควรจะมาหาหยวนชิว
เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างน่าเกรงขาม “ทางที่ดีเ้าก็ตั้งใจตอบคำถามดีๆ เสียเถิด ไม่เช่นนั้นชีวิตจะหาไม่...”
หลี่เทียนเสียงใจนตัวสั่น “หนูฉายจะต้องพูดออกมาทั้งหมด ไม่กล้าปิดบังขอรับ...”
มู่หรงฉือก็ถามอีก “ใครเป็คนพบศพของหยวนชิว?”
นางกำนัลคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา พูดเสียงทุ้ม “เป็หนูปี้เพคะ ด้านหลังมีอ่างน้ำที่ไม่ได้ใช้งานมาหลายปี มามาบอกให้ย้ายอ่างน้ำไปรองน้ำเพื่อทำความสะอาดที่เรือนหน้า หนูปี้จึงไปดูที่หลังเรือน ใครจะรู้...”
นางดวงหน้าขาวซีด ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมเพราะหวาดกลัวเข้าไปถึงกระดูก “ตอนที่หนูปี้พบ หยวนชิงก็ขดตัวอยู่ในนั้น ทั้งยังไม่มีลมหายใจแล้ว...”
“หยวนชิวหายไปสองวัน เห็นได้ชัดว่าตายไปสองวันแล้ว อ่างน้ำด้านหลังเรือนไม่มีคนสังเกตเห็นเลยหรือ?” มู่หรงฉือขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ทูลเตี้ยนเซี่ย ที่เรือนหลังไม่มีคนไปเพราะว่าตอนเช้าข้าหลวงทำงานกันจนถึงเย็น ไม่มีเวลาว่างเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง อ่างน้ำนั้นถูกทิ้งเอาไว้ใต้ต้นไม้ มีต้นหญ้าบดบังไว้ ดังนั้นสองวันนี้จึงไม่มีคนพบเห็น” หลี่เทียนเสียงตอบ
“ศพของหยวนชิวอยู่ที่ไหน?”
ดวงหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงสง่าของเสิ่นจือเหยียนดึงดูดสายตาของข้าหลวงทั้งเรือน บางทีก็ใช้สายตาสะเทิ้นอายหรือหลงใหลมองไปที่ตัวเขา อยากจะพูดถึงเื่ลูกสาวที่บ้าน ทว่าพวกนางเองก็รู้ดี พวกนางกับใต้เท้าเสิ่นเซ่าชิงของศาลต้าหลี่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ใช่คนจากโลกใบเดียวกัน ไม่มีทางเป็ไปได้
แต่ว่านี่ก็ไม่ได้ขัดขวางมิให้พวกนางชื่นชมบุรุษหล่อเหลาอย่างหลงใหล
เห็นองค์รัชทายาทไม่ได้สงสัยตนเอง หลี่เทียนเสียงที่ใจนิญญาหลุดลอยไปก็ได้สติกลับมา ตอบว่า “หนูฉายเอาศพของหยวนชิงไปไว้ในห้องที่ไม่มีคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองหน้ากัน ก่อนจะเรียกให้ข้าหลวงที่พบศพไปที่เรือนหลังกับพวกนาง
หลี่เทียนเสียงนำทางอยู่ด้านหน้า เรือนหลังใหญ่ สถานที่ที่อยู่ติดกับห้องเป็พื้นที่กว้าง มีต้นไม้หลายต้นอยู่ใกล้ๆ ใบไม้ปกคลุมเขียวขจี ใต้ต้นไม้มีต้นหญ้าปกคลุมสูงขนาดครึ่งตัวคน ต้นหญ้าติดกับกำแพงมีอ่างน้ำใหญ่อ่างหนึ่งซึ่งปกติโรงครัวจะใช้สำหรับกักเก็บน้ำ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอามาทิ้งไว้ที่นี่
ข้าหลวงคนที่พบศพยังอยู่ในอาการหวาดผวา อธิบายเหตุการณ์ที่พบในตอนนั้นไปด้วยตัวสั่นเทา “ด้านในอ่างน้ำมีน้ำ...หยวนชิวแช่อยู่ในน้ำ...”
มู่หรงฉือยืนอยู่ท่ามกลางพงหญ้า สายตากวาดมองไปทั่ว
แมลงวันบินดังหึ่งๆ อยู่เต็มไปหมด รอบด้านมีการตัดหญ้าออกไปไม่น้อยแล้ว อ่างน้ำวางอยู่โดยรอบ เห็นได้ชัดว่าฆาตกรสังหารคนที่นี่ แต่ก็มีความเป็ไปได้ว่าจะเป็ข้าหลวงที่หิ้วศพของหยวนชิวมาจัดการสถานที่บริเวณนี้ไปแล้ว
เสิ่นจือเหยียนเดินเข้าไปใกล้อ่างน้ำก่อนเป็คนแรก มู่หรงฉือเองก็เดินตามเข้าไป หลี่เทียนเสียงพูดเตือน “เตี้ยนเซี่ย โปรดระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่เป็จุดเกิดเหตุ ระวังกลิ่นอายอัปมงคลมาถูกตัวพ่ะย่ะค่ะ”
นางไม่สนใจข้าหลวงแล้วเดินไปด้านหน้าต่อ
อ่างน้ำใหญ่มากจริงๆ เพียงพอที่จะใส่สตรีเข้าไปได้คนหนึ่ง ในอ่างมีน้ำอยู่ประมาณแปดส่วน ทั้งยังสกปรก คิดไปแล้วน่าจะเป็น้ำฝน เพราะว่ามีศพเข้าไปแช่อยู่ด้านในถึงได้เปลี่ยนมาสกปรก
เสิ่นจือเหยียนมองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงต่ำ “ที่พื้นกับรอบๆ อ่างน้ำไม่มีรอยเื”
มู่หรงฉือพยักหน้า มองอยู่อีกครู่หนึ่งก็ออกไป
พวกเขาไปดูศพของหยวนชิว นางให้หลี่เทียนเสียงสั่งการให้ข้าหลวงแยกย้ายกันไปทำงานตามปกติ หากมีเื่จำเป็ค่อยเรียกพวกเขามาถาม
ภายในห้อง หลี่เทียนเสียงยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าเข้าใกล้ศพ เพราะว่าได้กลิ่นเหม็นเน่าของคนตาย เขายกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก ขมวดคิ้ว ไม่กล้ามองศพ
เสิ่นจือเหยียนตัดสินใจว่าจะเริ่มชันสูตรศพที่นี่ เขาสวมถุงมือบางที่พกติดตัว ก่อนจะเริ่มตรวจสอบจากศีรษะ “ผู้ตายหยวนชิว ดูจากการเน่าของศพแล้ว คงจะตายมาแล้วสองวัน เนื่องจากศพถูกแช่อยู่ในน้ำ ผู้ตายจึงอืดไปทั้งร่าง...” เขากดที่ส่วนท้องไปสองที ปากของผู้ตายก็มีน้ำทะลักออกมา เขาตั้งสมาธิแล้วพูดต่อ “ผู้ตายจมน้ำตาย”
มู่หรงฉือยืนอยู่ด้านข้าง เนื่องจากศพส่งกลิ่นเหม็นมาก ทั้งยังไม่ได้เตรียมตัวมา นางจึงทำได้แค่ปิดปากปิดจมูกเพื่อลดกลิ่นเท่านั้น “ดูจากศพของผู้ตายแล้วไม่มีาแ”
เขาพยักหน้า พลางแกะเสื้อของหยวนชิวออก
หลี่เทียนเสียงหันหน้าหนีทันที ทั้งยังพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วก่อนจะอาเจียนอยู่ที่ด้านนอกประตู
“เ้าอยู่รอด้านนอกเถิด” นางส่ายหัวอย่างจนใจ
“พ่ะย่ะค่ะ...หนูฉายทูลลาพ่ะย่ะค่ะ...” เขาได้รับคำสั่งก็รีบพุ่งไปด้านนอก แล้วก็อาเจียนอีกรอบใหญ่
“เตี้ยนเซี่ยดูเถิด ด้านหลังคอของผู้ตายมีรอยช้ำ เป็การกระทำที่ทำก่อนตาย” เสิ่นจือเหยียนตรวจสอบอย่างละเอียด “เหมือนรอยนิ้วมือใช่หรือไม่?”
“เหมือนมากจริงๆ” มู่หรงฉือยกมือขึ้นกางนิ้วทั้งห้าแล้วทำท่าทางกดอยู่ที่ด้านหลังคอของคนคนหนึ่ง “คนร้ายคงจะกดด้านหลังคอของหยวนชิว แล้วกดนางลงไปในอ่างน้ำ นางถึงได้จมน้ำตาย”
เขาตรวจศพต่อ “แขนทั้งสองข้างของผู้ตายมีรอยแผลไม่น้อย คงจะได้มาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่”
นางพยักหน้า “ข้าหลวงเจอหัวหน้าโกรธด่าทอและทุบตีเป็เื่ธรรมดามาก”
เสิ่นจือเหยียนตรวจสอบมือทั้งสองข้างของผู้ตายต่อ “เล็บของผู้ตายแตกไปครึ่งหนึ่ง หลายนิ้วผิวแตก คงจะเป็ตอนที่ผู้ตายโดนกดน้ำ แขนทั้งสองข้างปัดป่ายจับอ่างน้ำ”
มู่หรงฉือพูดต่อ “เมื่อครู่เปิ่นกงเห็นเล็บแตกสองเล็บอยู่ในอ่างน้ำ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ตรวจศพเสร็จจึงถอดถุงมือออก แล้วบอกหลี่เทียนเสียงให้คนนำศพไปส่งที่ตำหนักบูรพา จะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด อีกทั้งจะทำลายศพไม่ได้
หลี่เทียนเสียงกังวลว่าตนจะถูกสงสัยว่าเป็คนร้าย จึงตั้งใจทำเื่นี้อย่างดี
ครั้นพวกนางมาถึงที่พักของหยวนชิวก็สอบถามข้าหลวงสองสามคน พวกนางบอกเป็เสียงเดียวกันว่าตอนเช้าของเมื่อสองวันก่อนตื่นมาก็ไม่เห็นหยวนชิวแล้ว
เสิ่นจือเหยียนถามอย่างไม่พอใจ “คนหายไปคนหนึ่ง พวกเ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ?”
เหล่าข้าหลวงก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว กลั้นหายใจไม่กล้าเอ่ยปาก
มู่หรงฉือรู้ดี ในเรือนของวังหลัง ในมุมๆ หนึ่งอันซับซ้อนยุ่งเหยิง ชีวิตของข้าหลวงก็เหมือนกับต้นหญ้า จะมีชีวิตอยู่หรือตายไปใครจะสน? คนๆ หนึ่งหายตัวไปไม่ได้สร้างความสั่นไหวอะไร ในเมื่อเดาได้ว่าคนๆ นั้นอาจจะตายไปแล้ว กลายเป็ิญญาอยู่ในวังหลวง ก็ไม่มีใครสนใจจะพูดขึ้นหรือแม้แต่จะเอ่ยถาม
เพราะว่าในวังสีทองเรืองรองแห่งนี้ เดิมทีก็เป็ปีศาจที่กลืนกินคน
พวกเขาตรวจสอบตำแหน่งที่นอนของหยวนชิวก็ไม่พบสิ่งใด
ดูเหมือนว่าคนร้ายจะลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งอะไรที่เป็เบาะแสไว้เลย
“กลาวดึกวันนั้น หรือก็คือกลางดึกวันที่สอง เรือนจิปาถะไม่มีเื่แปลกๆ เกิดขึ้นบ้างเลยหรือ?”
มู่หรงฉือเรียกทุกคนมารวมตัวกันพร้อมกับถามคำถามนี้
ทว่า ข้าหลวงทุกคนต่างส่ายหน้า
ตอนกลางวันพวกเขาทำงาน เหน็ดเหนื่อยกันแทบตาย หัวถึงหมอนก็หลับทันที ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่ว่านอนไม่พอ จะไปมีคนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเจอเื่ผิดปกติได้อย่างไร?
นางกับเสิ่นจือเหยียนออกจากเรือนจิปาถะ เพิ่งจะอออกมาก็เจอกับนางกำนัลคนหนึ่ง ดูจากชุดแล้วคงจะเป็นางกำนัลจากหน่วยลิ่วชาง
พอเห็นทั้งสองตน นางกำนัลคนนั้นก็รีบโค้งตัวทำความเคารพ
มู่หรงฉือมองกล่องกำมะหยี่ที่นางกำนัลคนนั้นถือไว้ ก็มีความคิดแล่นเข้ามา พร้อมถาม “เ้ามาหาคนที่เรือนจิปาถะหรือ?”
“เ้าค่ะ” นางกำนัลหน้าตาสะสวยคนนั้นตอบเสียงเบา ชัดเจนว่าไม่รู้จักพวกเขา “หนูปี้ทำความเคารพใต้เท้าทั้งสอง”
“เ้ามีชื่อว่าอะไร? เป็นางกำนัลจากตำหนักไหน?” มู่หรงฉือถามเสียงเย็น
“หนูปี้เป็นางกำนัลของหน่วยลิ่วชาง มีนางว่าฉางชิงชิง หนูปี้มาหาหยวนชิวที่เป็สหายอยู่เรือนจิปาถะเ้าค่ะ” นางกำนัลคนนั้นตอบกลับด้วยสีหน้ากล้าหาญมั่นใจ
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองตากัน ช่างเป็การย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย[1]
พวกเขาพานางมาที่ศาลาใกล้ๆ ฉางชิงชิงจะอย่างไรก็ไม่กล้าเงยหน้ามอง
มู่หรงฉือถาม “เ้าไปหาหยวนชิวมีเื่อะไรหรือ?”
ฉางชิงชิงตอบกลับอย่างระมัดระวัง “หนูปี้กับหยวนชิวเป็คนบ้านเดียวกัน ที่หนูปี้มาหาหยวนชิวเป็เพราะว่า...ขอถามใต้เท้าทั้งสองได้หรือไม่...หนูปี้ควรจะเรียกพวกท่านว่าอย่างไร?”
นางเอ่ยถามอย่างกล้าหาญ เ้านายในวังนี้มีมากมาย จะต้องถามให้ชัดเจนจึงจะตอบได้
“เปิ่นกงคือองค์รัชทายาท” มู่หรงฉือเลิกคิ้วให้เขาเป็สัญญาณว่านางกำนัลคนนี้ทำอะไรระมัดระวังดี
“หนูปี้ถวายบังคมเตี้ยนเซี่ย” ฉางชิงชิงคุกเข่าลงเอาหัวแตะพื้น “หนูปี้ล่วงเกินเตี้ยนเซี่ยสมควรตาย เตี้ยนเซี่ยโปรดลงโทษเพคะ”
“ขอแค่เ้าตอบคำถามเปิ่นกงอย่างซื่อสัตย์ เปิ่นกงจะละเว้นโทษเ้า ในมือของเ้าถือสิ่งใดอยู่?”
“เพคะ” ฉางชิงชิงก้มหน้าตอบ “หนูปี้กับหยวนชิวเป็คนบ้านเกิดเดียวกัน จึงเรียกขานกันเป็พี่น้อง เมื่อไม่นานมานี้หยวนชิวถูกโยกย้ายไปทำงานที่เรือนจิปาถะ แต่หยวนชิวรู้มาว่าที่บ้านเกิดเื่ พี่ชายของนางถูกคนตีตาย บิดาของนางก็โกรธจนล้มป่วย ส่วนมารดานางเดิมทีก็นอนป่วยอยู่บนเตียง ที่บ้านใกล้จะไม่มีข้าวกินแล้ว จึงไม่มีเงินไปเชิญหมอมารักษา สามวันก่อน หยวนชิวมาหาหนูปี้ อยากให้หนูปี้ช่วยนางซ่อมปิ่นทองในกล่องกำมะหยี่นี้เพคะ”
เชิงอรรถ
[1] 踏破铁鞋无觅处、得来全不费工夫呐 หมายถึงพยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจกลับได้มาง่ายๆแบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้