“เหล่าฟูเหริน ท่านอยากให้ข้ารักษานางในสถานที่ใด” ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์พอจะมีการคาดเดาบ้างแล้ว แต่ยังคงอดถามไม่ได้
หากเป็ไปได้แล้วล่ะก็ นางอยากพาสตรีนางนี้ไปรักษาที่บ้านสกุลหลิงจริงๆ ในบรรยากาศอันอบอุ่นเช่นนั้นของบ้านสกุลหลิง นางที่เคยได้รับความตื่นตระหนกมาจะสามารถฟื้นฟูได้เร็วกว่า
ทว่า หากคนผู้นี้มีความสำคัญต่อซูเหล่าฟูเหรินถึงเพียงนี้ นางจะสามารถพานางไปได้หรือ?
“วันหลัง ทุกสองถึงสามวันข้าจะรับเ้ามาที่จวนตระกูลซู ภายนอกก็กล่าวว่ามาปรับสุขภาพให้ข้า เ้ารู้ว่าควรทำเช่นใดแล้ว?” ซูเหล่าฟูเหรินมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเฉียบขาด
บัดนี้ ตัวนางยังเหลือภาพหญิงชราผู้อารีเสียที่ใด เป็ผู้ที่สูงศักดิ์ที่ทรงอำนาจจนไม่อาจเก็บงำประกายต่างหาก
นี่จึงจะเป็สภาพที่แท้จริงของนาง หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจ มิใช่นางเสแสร้งตนเองอยู่ตลอด แต่เป็ดาบวิเศษในยามมิได้ใช้ ย่อมเก็บซ่อนอยู่ในปลอกดาบ ทันทีที่ชักออกมา นั่นย่อมเมฆลมเปลี่ยนแปร ซูเหล่าฟูเหรินในยามที่ยังเป็สาวนั้น ก็เป็ผู้ที่มีอิทธิพลผู้หนึ่ง เพียงแต่ยุคสมัยนั้นผ่านมานานเกินไป ผู้ที่รู้เื่ในอดีตของนางมีไม่มากแล้ว
บังเอิญที่หลิงมู่เอ๋อร์ก็เป็ผู้ที่รู้เื่ราวในอดีตของนาง ส่วนเื่ในอดีตพวกนั้นเป็ซั่งกวนเซ่าเฉินบอกกับนาง ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยากให้นางไม่มีความมั่นใจในตัวซูเหล่าฟูเหริน ดังนั้นจึงเล่าเื่ที่รู้ให้นางฟังทั้งหมด และให้นางรู้จักรักษาตนเอง
“ได้” หลิงมู่เอ๋อร์พูดเรียบๆ “เช่นนั้นวันนี้ข้าจะฝังเข็มให้นางเท่านั้น และเขียนเทียบยาให้นาง ท่านจัดคนมาดูแลนางอย่างใส่ใจเถิด!”
“นี่ย่อมแน่นอน ในเมื่อข้าจะรักษานางให้หาย ก็ย่อมทุ่มเททั้งกายใจ ไม่ให้ผู้อื่นแทรกเข้ามาในช่องโหว่ได้” ซูเหล่าฟูเหรินพยักหน้ากล่าว “อีกครู่เมื่อออกจากที่นี่แล้ว เ้าไปที่เรือนหลังอีกครั้ง ไท่จื่อเฟยก็้าให้เ้าตรวจอาการเช่นเดียวกัน ”
หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้เข้าใจว่า การคาดเดาของตนมิได้ผิดพลาด ไท่จื่อเฟยนับจากปรากฏกายก็แสดงความสนใจในตัวนางเป็อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าก็้าให้นางรักษาเช่นกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ฝังเข็มให้สตรีฟั่นเฟือน จากนั้นก็เขียนใบสั่งยา หลังจากมอบใบสั่งยาให้ซูเหล่าฟูเหรินแล้ว ก็ประคองซูเหล่าฟูเหรินออกจากเรือนที่เปลี่ยวไกลนั้นไป
ในยามที่นางจากมาไกลแล้ว เมื่อหันกลับไปมองทิศทางที่รกร้าง ก็เห็นเพียงที่นั่นมีเงาสีดำ เงาดำพริบตาเดียวก็หายไป
เมื่อกลับมาถึงในเรือนหลัง ไท่จื่อเฟยได้รออยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อครู่ซูเหล่าฟูเหรินออกจากงานเลี้ยงไป ไท่จื่อเฟยคุยกับเหล่าคุณหนูในห้องหออยู่ครู่หนึ่งก็ออกจากงานเลี้ยงไปเช่นกัน
มัวมัวชราข้างกายไท่จื่อเฟยมองสำรวจหลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวกับซูเหล่าฟูเหรินว่า “เหนียงเหนียงไม่อาจออกจากวังนานเกินไปนัก รีบทำเวลาเถิด!”
ซูเหล่าฟูเหรินพยักหน้าให้มัวมัวชรา “ได้ วิชาแพทย์ของมู่เอ๋อร์ยาโถวสูงส่งเป็อย่างมาก จะต้องไม่ทำให้เหนียงเหนียงผิดหวังแน่นอน”
ไท่จื่อเฟยเอนกายอยู่บนตั่งนุ่ม เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็ลืมตามองหลิงมู่เอ๋อร์ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หลับต่อ นางกล่าวอย่างเนือยๆว่า “สาวน้อย หากเ้าสามารถแก้ปัญหายากในใจของข้าได้ ภายหน้าข้าย่อมไม่ผิดต่อเ้า”
“ขอบพระทัยไท่จื่อเฟยมากเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “ในฐานะแพทย์ ช่วยผู้ป่วยแก้ปัญหา เป็เื่ที่ข้าควรทำ ข้าจะพยายามสุดกำลังเพคะ”
นำมือวางลงบนข้อมือของไท่จื่อเฟย ััถึงการเต้นของชีพจรของนาง
“เชิญไท่จื่อเฟยทรงนำพระหัตถ์อีกข้างออกมาเช่นเดียวกันเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยเปลี่ยนมืออีกข้าง
หลิงมู่เอ๋อร์จับชีพจรอีกครั้ง
ครั้งนี้ นางรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไท่จื่อเฟยทรงเคยดื่มหญ้าฝรั่นในปริมาณมากมาก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์มองไท่จื่อเฟยที่อยู่เบื้องหน้า อายุของนางไม่มาก โตกว่านางเพียงสามสี่ปีเท่านั้น
ทว่า บุคลิกที่สุขุมนั่น และความอ้างว้างเ็าในดวงตานั้น ก็ราวกับคนชราที่ค่อยสิ้นอายุขัยไป
“พื้นฐานร่างกายถูกทำร้าย หากไม่ทรงปรับสภาพกลับมา ก็ทรงมิอาจทรงพระครรภ์ได้เพคะ”
ด้านอื่นของไท่จื่อเฟยล้วนอยู่ดี มีเพียงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เื่ทายาทสำหรับราชวงศ์แล้วมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะบุตรของภรรยาเอก หากไท่จื่อเฟยไม่อาจคลอดบุตรของภริยาเอกได้ ในยามที่ไท่จื่อขึ้นครองราชย์นางก็ไม่อาจกลายเป็หวางโฮ่วได้ ในประวัติศาสตร์ ยามที่ไท่จื่อขึ้นครองราชย์แล้วมิได้สถาปนาภรรยาที่ผูกผมกันมาเป็หวางโฮ่วก็มิได้มีเพียงตัวอย่างเดียวหรือสองตัวอย่าง ไม่มีสิ่งใดแปลก
“เ้าสามารถช่วยข้าฟื้นฟูกลับมาได้หรือไม่?” เกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยของหลิงมู่เอ๋อร์นั้น ไท่จื่อเฟยมิได้มีความแปลกใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ในดวงตาของนางมีความเคียดแค้นวาบผ่าน
หญิงสาวที่ยังเยาว์วัยผู้หนึ่ง สูญเสียความสามารถในการเป็มารดาไป ไม่ว่าเป็ผู้ใดก็ย่อมรับไม่ไหว นางยิ่งไม่มีทางไปดื่มยาที่ทำให้ไม่อาจตั้งครรภ์จำนวนมากเช่นนั้นด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่ามีคนทำร้ายนาง ในส่วนลึกของวังหลวงนั้น ผู้ที่วางยาพิษตนมีโอกาสเป็พี่น้องที่ดีของตน และก็มีโอกาสเป็ผู้ที่อยู่ข้างหมอน นี่ก็คือความน่าเศร้าของราชวงศ์
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ “หมอหลวงในวังมีวิชาแพทย์สูงส่ง คิดว่าคงจะทรงให้พวกเขาตรวจอาการมาก่อน พวกเขาไม่มีวิธี แต่ข้ากลับมีวิธีเพคะ”
ไท่จื่อเฟยมองหญิงสาวผู้มีความเชื่อมั่นในตนเองเบื้องหน้าอย่างลึกซึ้ง ใช่แล้ว! นางคิดว่านางเชื่อมั่นในตนเอง แต่มิใช่ประเมินตนเองสูงไปหรือโอหัง
คนที่มีความสามารถพูดว่าตนสามารถ นั่นคือความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้ที่ไม่มีความสามารถจึงนับเป็การประเมินตนเองสูงเกินไปหรือโอหัง ไท่จื่อเฟยนำความหวังทั้งหมดวางไว้ที่ตัวนาง แน่นอนย่อมไม่คาดหวังว่านางจะเป็พวกหลงตัวเองหรือยโสโอหัง หลังจากได้ฟังข้อมูลปฏิเสธจำนวนมากเช่นนั้น คำยืนยันนี้ของนางสำคัญกับไท่จื่อเฟยมาก
“ดี วันหลังข้าจะเรียกตัวเ้าเข้าวัง” ไท่จื่อเฟยจับมือของนาง “ข้าจะประกาศต่อคนทั้งหมด นับจากวันนี้ เ้าก็คือหมอประจำตัวของข้า”
หมอประจำตัวของไท่จื่อเฟย ฐานะนี้เพียงพอให้นางเดินเชิดไปทั่วเมืองหลวง นี่เป็วิธีการที่ไท่จื่อเฟยใช้ดึงนางมาเป็พวกวิธีหนึ่ง
แน่นอนว่า หลิงมู่เอ๋อร์ย่อมไม่ปฏิเสธโอกาสที่จะทำให้ชื่อเสียงโด่งดังนี้ เพราะนาง้าให้คนจำนวนมากกว่านี้รู้ถึงทักษะทางการแพทย์ของนาง วิชาแพทย์ของตระกูลหลิงควรได้เปล่งประกาย
“ร่างกายของพระองค์เสียหายมากเกินไป ต้องฟื้นฟูกลับมาทีละน้อย” หลิงมู่เอ๋อร์ทางหนึ่งกล่าววาจา ทางหนึ่งเขียนเทียบยา “ข้าจะเขียนใบสั่งยาใบหนึ่งก่อน ไท่จื่อเฟยทรงเสวยครึ่งเดือน ถึงเวลานั้นข้าค่อยเขียนใบสั่งยาตัวใหม่ตามสภาพร่างกายของพระองค์ ถูกแล้ว นี่เป็ยาลูกกลอนที่ข้าปรุงขึ้นมา กินทุกวันสามารถบำรุงร่างกายได้ ยาลูกกลอนนี้ไม่มีผลข้างเคียง เป็เพราะข้าเก็บโสมพันปีบนูเามาได้ต้นหนึ่ง จากนั้น ได้ใช้น้ำพุในูเาปรุงเป็ยาลูกกลอนบำรุงร่างกายออกมา กินแล้วบำรุงรูปโฉมชะลอวัย ทั้งยังบำรุงร่างกายอีกด้วยเพคะ ”
“โสมพันปี? ดวงของเ้าดีจริงๆ ของวิเศษหายากเช่นนี้ก็ถูกเ้าพบเข้าแล้ว” ซูเหล่าฟูเหรินกล่าวอย่างประหลาดใจ “ยังมีอีกหรือไม่?”
ไท่จื่อเฟยมองซูเหล่าฟูเหรินอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง
ของล้ำค่าเช่นนี้ หญิงชรานางนี้ยังคิดไปเป็ของตน? ถึงแม้ว่ายังมี นั่นก็ควรเป็ของนาง
ซูเหล่าฟูเหรินยิ้มบาง “หากยังมีแล้วล่ะก็ ก็ส่งไปให้รัชทายาทสักขวด รัชทายาททรงงานหนักทั้งวันคืน ้าการบำรุงร่างกายที่ดีอย่างมาก”
ไท่จื่อเฟยเข้าใจขึ้นมาทันที เหตุใดนางจึงมิได้คิดถึงจุดนี้? ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ
“เหล่าฟูเหรินพูดได้ถูกต้อง แม่นางหลิง ยาลูกกลอนบำรุงร่างกายนี้ยังมีหรือไม่?” ไท่จื่อเฟยมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน
หากเมื่อครู่ สายตาที่มองหลิงมู่เอ๋อร์เหมือนกับมองเหยื่อตัวหนึ่ง เช่นนั้นตอนนี้ สายตาที่มองหลิงมู่เอ๋อร์ ก็ราวกับมองของวิเศษชิ้นหนึ่ง อย่างไรซะ ล้วนมิได้มองนางเป็คนก็ถูกต้องแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์เขียนอักษรตัวสุดท้ายจนเสร็จ ยิ้มให้ไท่จื่อเฟยว่า “แน่นอนว่า…ไม่มีแล้วเพคะ โสมพันปีมีเพียงต้นเดียว หลายวันมานี้ข้าตรวจโรคให้คนจำนวนมาก ผู้ที่มีอาการป่วยร้ายแรง ข้าล้วนให้พวกเขากินลงไปหนึ่งถึงสองเม็ด ไม่เช่นนั้น เหตุใดในมือข้าจึงไม่เคยมีคนตายกันเล่าเพคะ”
“เ้าช่าง…ใจกว้างจริงๆ” ไท่จื่อเฟยมุมปากกระตุก “ของล้ำค่าเช่นนี้เ้าไม่เก็บไว้ กลับมอบให้ผู้ป่วย”
“ในสายตาของแพทย์ ผู้ป่วยสำคัญยิ่งกว่าตนเอง” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าไม่เจ็บไม่ป่วย ยาพวกนั้นกินแล้ว ก็เพียงยืดอายุปรับสภาพร่างกายเท่านั้น ส่วนผู้ป่วยต้องอดทนต่อความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจบรรยายได้ พวกเขา้าผู้ที่จะมาช่วยพวกเขาสักคน”
“ในโลกนี้เหลือแพทย์เช่นแม่นางหลิงน้อยเต็มทีแล้ว ใครกล่าวว่าสตรีมิสู้บุรุษ? นั่นเป็เพราะพวกเขาไม่เคยเจอสตรีเช่นแม่นางหลิงมาก่อน” ครั้งนี้ไท่จื่อเฟยถอนใจจากใจอย่างแท้จริง “เช่นนั้นหากข้าฟังคำสั่งของเ้า ทำตามที่เ้าบอก ต้องใช้เวลานานเท่าใด จึงจะสามารถแก้ข้อบกพร่องนี้ได้”
“ครึ่งปี” หลิงมู่เอ๋อร์บอกตัวเลขที่เผื่อเวลาแล้วออกไป “หลังจากนี้ครึ่งปี ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงจะต้องตั้งครรภ์บุตรัได้อย่างแน่นอนเพคะ”
“ขอให้สมพรปากของเ้า” ไท่จื่อเฟยเผยรอยยิ้มที่เฉิดฉันออกมา “มัวมัว เก็บใบสั่งยาให้ดี หากเกิดความผิดพลาดใดขึ้นมา เ้าก็ไม่ต้องคิดจะมีชีวิตแล้ว”
มัวมัวชรารีบยอบกายลง กล่าวว่า “เพคะ”
“พวกเราก็ไม่เหมาะจะนั่งอยู่ที่นี่นานนัก หากเหนียงเหนียงไม่มีคำสั่งใดอีก ข้าก็จะพาสาวน้อยนางนี้ออกไปแล้ว” ซูเหล่าฟูเหรินกล่าวกับไท่จื่อเฟย
“ไปเถอะ! ข้าก็จะกลับวังพอดี ความช่วยเหลือที่เหล่าฟูเหรินมอบให้เปิ่นกง เปิ่นกงจะจดจำไว้ในใจ วันหลังย่อมต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” ไท่จื่อเฟยกล่าว
ซูเหล่าฟูเหรินรอหลิงมู่เอ๋อร์เก็บของเสร็จ จากนั้นจึงพานางออกไป ในยามที่กลับมาถึงเรือนด้านหน้า พูดคุยเื่ไร้สาระกับเหล่าคุณหนูที่ใบหน้ายิ้มแย้มแต่ในใจขัดแย้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฟังพวกนางชมกันเองว่ามีความยอดเยี่ยมเพียงใด ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ใกล้สัปหงกไปนั่นเอง เจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็ดึงแขนเสื้อของนาง
นางตื่นขึ้นมาจากความฝันอันงงงวย ดวงตาใสกระจ่างเต็มไปด้วยความสงสัยมองไปยังเจาหยางจวิ้นจู่น้อย ฝ่ายหลังมองดวงตาของนาง สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา นางหาวทีหนึ่ง กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “สิ้นสุดแล้วหรือ? ข้ากลับบ้านได้แล้วหรือไม่?”
ในที่สุด รอยยิ้มของเจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็กลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางชี้มาที่นาง หัวเราะเสียงดังออกมา “เปิ่นจวิ้นจู่ไม่เคยเห็นคนเช่นเ้ามาก่อน ที่แท้เ้ามาทำสิ่งใดกัน?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถอนใจเบาๆครั้งหนึ่ง นางก็อยากรู้เช่นกันว่าตนเองมาทำอะไรที่นี่ คุณหนูสูงศักดิ์นางอื่นมาที่นี่เพื่อหาคู่ครอง นางมาที่นี่ก็เพื่อรักษาอาการป่วยให้กับผู้อื่น และครั้งนี้ ยิ่งเกี่ยวพันถึงคนอีกสองคน หนึ่งเป็สตรีวิปลาส ดูแล้วลึกลับเป็อย่างมาก อีกผู้หนึ่งคือไท่จื่อเฟย นางยิ่งล่วงเกินไม่ไหว หากเป็ไปได้แล้วล่ะก็ นางไม่อยากก้าวเข้ามาในจวนจวิ้นอ๋องจริงๆ
นางถึงกับมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง จวนจวิ้นอ๋องแห่งนี้ คงจะมีชะตาแปดอักษรที่ชงกับนางกระมัง?
นางนั่งขึ้นมา มองไปรอบๆ เมื่อครู่ในห้องมีคุณหนูสูงศักดิ์หลากหลายรูปแบบนั่งอยู่เต็มไปหมด บัดนี้ เหลือเพียงนางกับเจาหยางจวิ้นจู่น้อย และเหล่าคนรับใช้พวกนั้น
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด เอ่ยปากช่วยแก้ความสงสัยให้นางว่า “คนอื่นตามท่านย่าของข้าไปชมดอกล่าเหมยแล้ว”
“พวกเขาไม่กลัวหนาวจริงๆ” โชคดีที่เมื่อครู่ ตอนกลับมาได้ชมไปแล้ว ก็เสียทีที่มาในครั้งนี้แล้ว อย่าพูดไป ล่าเหมยของจวนจวิ้นอ๋องแห่งนี้งดงามจริงๆ
“เ้าหิวแล้วกระมัง? ข้าจะพาเ้าไปกินของอร่อย” เจาหยางจวิ้นจู่น้อยกล่าว จากนั้นก็ดึงหลิงมู่เอ๋อร์ให้ลุกขึ้นมา
กระดูกอันเกียจคร้านของหลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ยืดออก จึงมิได้ระวังการกระทำของเจาหยางจวิ้นจู่น้อย เกือบถูกนางลากจนล้มลง นางโซเซตามฝีเท้าของนางไป