ในห้องหออันอบอุ่น ทั่วทั้งสี่ทิศวางเตาผิง ในเตาผิงมีกลิ่นหอมโชยออกมา ทำให้กลิ่นของถ่านอ่อนลงไปไม่น้อย
หลิงมู่เอ๋อร์ค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง ทันทีที่นางเข้าไปในห้อง คนทั้งหมดก็จ้องมองมาที่นาง นางเม้มปากยิ้ม หาที่ว่างนั่งลง ทว่าบั้นท้ายยังไม่ทันััเก้าอี้ ซูเหล่าฟูเหรินก็กวักมือเรียกนาง รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนและเอ็นดู ราวกับครั้งแรกที่ได้พบกัน
“เ้าเด็กคนนี้ เหตุใดจึงไปนั่งห่างเช่นนั้นเล่า? แล้วข้าจะพูดคุยกับเ้าอย่างไร?” ซูเหล่าฟูเหรินติติงนาง “รีบมาเร็วเข้า เ้ากับเจาหยางอายุเท่ากัน พวกเ้าสองคนสนิทสนมกันไว้ให้ดี”
หลิงมู่เอ๋อร์มองเจาหยางจวิ้นจู่น้อยที่อยู่ด้านข้าง ความคาดหวังในดวงตานางทำเอานางเกือบจะโรคกระเพาะกำเริบ
ต่อหน้าทุกคน นางก็ไม่สะดวกที่จะขัดความประสงค์ของซูเหล่าฟูเหริน ได้แต่ลุกขึ้นมาเดินไปหาเจาหยางจวิ้นจู่น้อย
นางยอบกายให้เจาหยางจวิ้นจู่น้อย นั่งอยู่ข้างกายของนาง
ไท่จื่อเฟยงดงามมาก ความงามเช่นนั้นประกอบไปด้วยความเย่อหยิ่งอยู่บางส่วน ทำให้ในใจของนางรู้สึกไม่ชอบ แต่ว่า นางไม่ใช่บุรุษจึงไม่จำเป็ต้องชอบไท่จื่อเฟยผู้นี้มากนัก
ไท่จื่อเฟยมองสำรวจหลิงมู่เอ๋อร์ คิดว่าสตรีนางนี้กลับไม่เหมือนผู้อื่น กุลสตรีนางอื่นแทบจะกระตือรือร้นในการปรากฏตัวต่อหน้านาง นางกลับดี ไกลได้เท่าใด ก็หลบไปไกลเท่านั้น
ในโลกนี้ ยังมีผู้ที่ละโมบต่อความหรูหราร่ำรวยและยศถาบรรดาศักดิ์เช่นนี้อีกหรือ? หรือว่า นางเสแสร้งได้ดีเกินไป แม้แต่สตรีออกเรือนแล้วที่ผ่านการเข่นฆ่าในเรือนหลังออกมาก็ยังมองไม่ออก?
“พักผ่อนดีแล้วใช่หรือไม่?” เจาหยางจวิ้นจู่น้อยยามที่อ่อนโยนขึ้นมาก็ราวกับพี่สาวใหญ่ที่รู้ใจ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เกือบจะซึ้งใจแล้ว แต่เมื่อคิดถึงวัตถุประสงค์ของนาง ความซาบซึ้งของนางก็หายไปอย่างรวดเร็วอย่างไร้ร่องรอย นางแอบเตือนตนเอง อย่าได้เป็เพราะความตื้นตันชั่วคราว ก็ขายพี่ชายของตนไปเสียแล้ว คุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์เช่นนี้จะต้องไม่ใช่คู่ที่ดีของพี่ชายอย่างแน่นอน
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณจวิ้นจู่ที่เป็ห่วง ข้าไม่มีปัญหาใดมากแล้ว”
“เ้าเรียกข้าว่าเจาหยางเถิด! ข้าเรียกเ้าว่าพี่มู่เอ๋อร์ดีหรือไม่?” เจาหยางจวิ้นจู่น้อยมองนางอย่างคาดหวัง “วันหลังข้า้าจะมาเล่นกับเ้าบ่อยๆ”
“พี่ชายของข้าต้องเรียนหนังสือ” ต้องพูดให้ชัดเจนแต่แรกก่อน ไม่เช่นนั้นวันหลังจะสร้างปัญหาให้หลิงจือเซวียนได้ หลิงจือเซวียนเห็นนางก็ราวกับเห็นภูตผีกระนั้น จะพบนางได้อย่างไร?
แก้มของเจาหยางจวิ้นจู่น้อยเป็สีแดง “ข้ารู้ ข้าจะไม่ทำให้เขาล่าช้าในการเรียน หากเขาสอบได้ตำแหน่งทางราชการ วันหลังเมื่อมาสู่ขอข้ากับท่านพ่อ ท่านพ่อของข้าจึงจะยอมรับปาก หากเขาไม่มีศักดิ์ฐานะไปตลอด ทั้งยังไม่มีตำแหน่งทางราชการ ท่านพ่อของข้าไม่มีทางยอมรับปากแน่”
“…” หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่านางกับจวิ้นจู่น้อยผู้นี้จะต้องมิได้อยู่ในโลกใบเดียวกันแน่ ไม่เช่นนั้น คนทั้งสองพูดจากัน คงไม่เหมือนกับไก่พูดกับเป็ดอยู่ครึ่งวันเช่นนี้
ในความเป็จริง หลิงจือเซวียนไม่ได้ชอบนาง ต่อให้เขาสอบได้ตำแหน่งทางราชการ ก็ไม่มีทางมาสู่ขอนางที่บ้าน จวิ้นจู่น้อยท่านนี้เหตุใดจึงไม่ยอมเผชิญหน้ากับความเป็จริงข้อนี้เล่า?
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลามาพูดเื่นี้ ภายหลัง ให้จวิ้นจู่น้อยท่านนี้ค่อยๆััไปแล้วกัน!
“ยากนักที่เปิ่นกงจะออกจากวัง นานแล้วที่ไม่ได้พบสาวน้อยพวกนี้ ช่างน่าถอนใจต่อความไร้ไมตรีของกาลเวลา พริบตาเดียว เด็กน้อยในปีนั้น ได้เติบโตขึ้นมาราวกับดอกไม้ที่งดงามบอบบางแล้ว” ไท่จื่อเฟยมองเหล่าหญิงสาวทั้งหลาย บนใบหน้าแย้มเป็รอยยิ้มที่เฉิดฉาย เพียงแต่หากสังเกตอย่างละเอียด ในรอยยิ้มนั้นไม่มีจิติญญาแม้เพียงเศษเสี้ยว มีเพียงความเ็าที่ไร้ไมตรีเท่านั้น
“ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ เมื่อเปรียบกับความงดงามระดับอาณาจักรและความหอมล้ำจากชั้นฟ้า[1] พวกเราก็ราวกับต้นหญ้าเล็กๆข้างกายของท่าน ยากนักที่จะนำมาออกงานได้” หลันเชี่ยนหยิ่งใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนกล่าว
“ในใต้หล้านี้ นอกจากหวางโฮ่วเหนียงเหนียงแล้ว ก็เป็ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงที่สูงศักดิ์และเลอโฉมที่สุด ” “ปากน้อยๆนี้ของเ้าไม่ว่าเมื่อใดก็หวานล้ำเช่นนี้” ไท่จื่อเฟยแสร้งทำเป็ตำหนิมองหลันเชี่ยนหยิ่งทีหนึ่ง “ใครเข้ามา ประทานรางวัล คุณหนูสูงศักดิ์ทุกท่านล้วนมีรางวัล”
มัวมัวชรานางหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลัง มัวมัวชราโบกมือให้นางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง ก็เห็นนางกำนัลสองสามนางนำกล่องที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแจกจ่ายไปยังมือของคุณหนูทั้งหลาย ในยามที่กล่องหนาหนักใบหนึ่งถูกส่งมาสู่มือของหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยักคิ้ว นางมองไท่จื่อเฟยที่อยู่เบื้องหน้า ก็เห็นไท่จื่อเฟยกำลังดื่มชามิได้สนใจนาง
มิใช่บอกว่าคุณหนูสูงศักดิ์ทุกคนล้วนแต่มีรางวัลหรือ? ฐานะเช่นนี้ของนางก็เรียกคุณหนูสูงศักดิ์หรือ? เหอะ! ไม่ใช่ว่าตั้งใจแสดงอำนาจหรอกนะ?
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ให้แล้วก็รับไว้ละกัน! จะได้ไม่พูดว่านางใจแคบ
รับกล่องในมือของนางกำนัลมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา สตรีนางอื่นล้วนแต่มิได้เปิดกล่องออก นางย่อมไม่เปิดเช่นกัน แม้นางจะสงสัยมากว่าด้านในใส่อะไรไว้
เมื่อครู่คุณหนูสูงศักดิ์พวกนี้ได้ไปดูตำราโบราณและเหล่าโบราณวัตถุที่เรือนด้านหน้าแล้ว ในบรรดาหญิงสาวเ่าั้มีหลายนางที่มีสีหน้าเลื่อนลอย
“นางก็คือน้องสาวของคุณชายหลิง?” ในกลุ่มคน มีคนแอบถามผู้ที่อยู่ข้างกาย
“อย่างไรหรือ? เ้าก็ถูกคุณชายหลิงท่านนั้นทำให้ลุ่มหลงเข้าแล้วหรือ? ข้ายังคิดว่าเ้าจะชอบจวิ้นอ๋องน้อยเสียอีก!” คุณหนูสูงศักดิ์ที่อยู่ข้างกายเย้าแหย่
“อย่าได้พูดเหลวไหล จวิ้นอ๋องน้อยนั้นเป็ของพี่เชี่ยนหยิ่ง ฐานะเช่นพวกเราจะคู่ควรได้อย่างไร กลับเป็คุณชายหลิง…รูปลักษณ์งามสง่า เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้วมิใช่หรือ? เผชิญหน้ากับนักปราชญ์จำนวนมากเช่นนั้น เขายังพูดได้อย่างลื่นไหลและเปี่ยมไปด้วยเหตุผล ทำให้นักปราชญ์พวกนั้นไร้คำพูดไปเลย ข้ากล้ายืนยันว่าภายภาคหน้าเขาจะต้องมิใช่คนธรรมดาสามัญอย่างเป็แน่”
“เอ๊ะ! แต่ว่าหรูเอ๋อร์ ถึงเป็เช่นนั้นแล้วอย่างไร? แม้ปีหน้าเขาจะเข้าสอบเคอจวี่ ก็มิได้เป็ที่แน่นอนว่าเขาจะได้ตำแหน่งจ้วงหยวน และต่อให้ได้เป็จ้วงหยวน ก็ไม่แน่ว่าจะได้ตำแหน่งราชการที่ดี เ้ามิเคยได้ยินหรือว่า ครอบครัวของพวกเขาเป็เพียงชาวนาธรรมดา แม้ฐานะของเ้าและข้าจะไม่นับว่าสูงส่ง แต่ก็ไม่อาจแต่งงานกับชายจากครอบครัวชาวนาได้”
เป็ครั้งแรกที่หลิงมู่เอ๋อร์รังเกียจที่ตนเองมีหูดีเกินไป ความสามารถในการฟังดีเกินไป ได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน อารมณ์ย่อมได้รับผลกระทบ
“มู่เอ๋อร์ยาโถว[2] อายุมากแล้วจึงรู้สึกง่วงและอ่อนเพลียได้ง่าย เ้าประคองข้ากลับไปนั่งพักในห้องเถิด” ซูเหล่าฟูเหรินพูดกับหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์รับคำ “เ้าค่ะ”
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยอยากจะถือโอกาสนี้สานสัมพันธ์กับหลิงมู่เอ๋อร์ เห็นหลิงมู่เอ๋อร์จากไปแล้วก็จะลุกขึ้นมาเช่นกัน ซูเหล่าฟูเหรินกวาดตามองนางทีหนึ่ง “เ้ารั้งอยู่ที่นี่คอยดูแลเหล่าพี่น้องของเ้า ย่าอายุมากแล้ว เ้าก็อายุมากแล้วเช่นกันหรือ?”
“เ้าค่ะ” เจาหยางจวิ้นจู่น้อยเบะปาก ไม่อาจไม่นั่งกลับไป
ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ประคองซูเหล่าฟูเหรินไปจากสถานที่แห่งนั้น ซูเหล่าฟูเหรินก็ดึงมือของนาง ตบหลังมือของนางเบาๆ “เ้าเป็เด็กฉลาด อีกครู่ไม่ว่าเห็นสิ่งใด ล้วนไม่อาจถาม เ้าเพียงจัดการเื่ที่ข้ามอบหมายให้เสร็จสิ้นก็พอ เข้าใจหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ผงกศีรษะเบาๆ “เหล่าฟูเหรินโปรดวางใจ สิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด ข้ายังคงเข้าใจดี”
“ข้ารู้ว่าเ้าเฉลียวฉลาด” ซูเหล่าฟูเหรินจับมือของนาง เดินไปยังมุมเปลี่ยวร้างที่ห่างไกล
พวกนางหยุดลงที่เรือนร้างแห่งหนึ่ง
หากมิใช่ซูเหล่าฟูเหรินอยู่เป็เพื่อนนางโดยตลอด นางจะต้องคิดว่ามีคนคิดเล่นงานนาง ไม่เช่นนั้น เหตุใดจึงชักนำนางมายังสถานที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้?
“สำหรับข้าแล้ว ผู้ที่อยู่ด้านในมีความสำคัญมาก หากเป็ไปได้แล้วล่ะก็ ไม่อยากดึงเ้าเข้ามาเกี่ยวข้องเลยจริงๆ แต่ว่านอกจากเ้าแล้ว ข้าก็หาผู้อื่นที่สามารถเชื่อใจไม่ได้แล้ว” ซูเหล่าฟูเหรินมองนางอย่างลึกซึ้ง
“กล่องยาของข้ายังอยู่ในรถม้า” หลิงมู่เอ๋อร์พูดคำหนึ่ง
“ข้าได้ให้คนหิ้วมาแล้ว ตอนนี้ควรจะวางอยู่ในห้อง เ้าเข้าไปเถอะ!” ซูเหล่าฟูเหรินกล่าว
เปิดประตูออก ก็พบว่าในห้องมีกลิ่นคาวเืฉุนโชยมา นางมองสำรวจไปรอบๆ พบร่างสั่นเทาร่างหนึ่งอยู่ในมุม
ร่างนั้นขดเป็ก้อนกลม ในยามที่ได้ยินเสียงก็สั่นไม่หยุด มองดูแล้วราวกับหวาดกลัวเป็อย่างมาก
คนผู้นี้…ไม่ใช่ไท่จื่อเฟย! นางเข้าใจมาตลอดว่าที่ซูเหล่าฟูเหรินเรียกนางมาก็เพื่อไท่จื่อเฟย หรือว่าเดาผิดแล้วหรือ? เช่นนั้นคนผู้นี้…เป็คนบ้า?
คนผู้นั้นสั่นไม่หยุด ราวกับแมวตัวน้อยที่ได้รับความตื่นตระหนก นางผมเผ้าสยาย ทั่วร่างแผ่กระจายกลิ่นคาวเืออกมา เมื่อสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่าบนมือของนางมีาแฉกรรจ์สายหนึ่งอยู่
“อย่าทำร้ายข้า! อย่าทำร้ายข้า!” หญิงสาวที่เสียสตินางนั้น กล่าวอย่างน่าเวทนา “ข้าเป็เด็กดี ข้าไม่พูด ไท่จื่อไม่ใช่ข้าคลอดออกมา ข้าไม่พูด ”
ใจของหลิงมู่เอ๋อร์บิดเกร็งขึ้นมา ที่หญิงสติฟั่นเฟือนนางนี้กล่าวถึงคือไท่จื่อ? นางเป็อะไรกับไท่จื่อ?
“มู่เอ๋อร์” ซูเหล่าฟูเหรินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเตือน “อย่างได้ถูกหลอกลวง ไม่ฟัง ไม่ดู เพียงทำตามหน้าที่ของเ้าให้ดีก็พอแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้สติกลับมา เดินไปหาสตรีฟั่นเฟือนนางนั้น แต่สตรีที่เสียสตินางนั้นกลับไม่ยอมให้นางเข้าใกล้แม้แต่น้อย นางเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกหมดความอดทนขึ้นมาอยู่บ้าง จึงใช้เข็มเงินฝังไปที่จุดสลบของนางเสียเลย หญิงเสียสติที่ดิ้นรนอยู่ในมือของนางพลันสงบลงทันที
นางแหวกใบหน้าของนางออก ก็พบกับรูปโฉมที่งดงามยิ่ง เพียงแต่เ้าของใบหน้านี้น่าจะมีอายุพอสมควร บนใบหน้าอันงดงามได้ทิ้งร่องรอยของสายลมและน้ำค้างแข็ง ที่แสดงถึงการผ่านกาลเวลาอย่างยากลำบากไว้
ซูเหล่าฟูเหรินยังคงดูอยู่ด้านข้าง หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อาจแสดงออกอย่างสงสัยเกินไปนัก เพียงนำนางไปวางไว้บนเตียงด้านข้าง จากนั้นตรวจชีพจรให้นาง
“เหล่าฟูเหรินอยากรักษานางอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์จับการเต้นของชีพจร รู้สภาพอาการโดยรวมแล้ว จากนั้นจึงโยนโจทย์ยากนี้กลับไปให้เหล่าฟูเหรินอีกครั้ง
ซูเหล่าฟูเหรินมองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า กล่าวด้วยดวงตาลึกซึ้งมา “ร่างกายของนางเป็อย่างไร?”
“นอกจากโรคสติฟั่นเฟือนแล้ว บนร่างยังมีาแและความบอบช้ำอีกหลายแห่ง แท้งบุตรมากกว่าสามครั้ง หลังการแท้งบุตรยังไม่ได้รับการดูแลให้ดี ร่างกายเสียหายไปนานแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวตามจริง “อาการป่วยบนร่างกายแม้จะซับซ้อน แต่สำหรับข้าแล้วไม่นับเป็อย่างไรได้ ที่รักษาได้ยากจริงๆคืออาการเสียสติของนาง นั่นมิใช่วันเดียวก็จะรักษาหายได้”
“เ้า้าเวลานานเท่าใด?” ซูเหล่าฟูเหรินหมุนอังคุฐธำมรงค์[3]บนมือ ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“หากดื่มยาทุกวัน และชักนำนางอย่างใส่ใจ อย่างเร็วสามเดือน อย่างช้าหลายปี” หลิงมู่เอ๋อร์มีท่าทีอยากช่วยเหลือแต่ไร้ความสามารถ “ที่ข้าสามารถทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ นางจะสามารถรักษาหายได้หรือไม่ ยังต้องดูโชคของตนเอง ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะรักษานางให้หายได้เสียด้วยซ้ำ”
“ความบอบช้ำบนร่างกายเ้าสามารถรักษาไม่หายได้ แต่โรคสติฟั่นเฟือนของคนผู้นี้ จะต้องรักษาให้หายให้ได้” ซูเหล่าฟูเหรินมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างจริงจัง
“ดูแล้วเหล่าฟูเหรินมิได้สนใจความเป็ตายของนาง ดังนั้น แม้อาการเจ็บป่วยบนร่างกายของนางจะร้ายแรงมาก ท่านก็มิหวังให้ข้าสามารถรักษานางจนหาย ส่วนโรคฟั่นเฟือน ทั้งที่รักษายากกว่าร่างกาย ท่านกลับจะให้ข้ารักษานางให้หายให้ได้ เห็นได้ว่าท่านสร้างความลำบากให้ข้าอย่างมากจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์มองซูเหล่าฟูเหรินอย่างไม่แสดงอารมณ์ “เหล่าฟูเหริน ท่านกำลังสร้างความลำบากใจให้ข้า!”
ซูเหล่าฟูเหรินก็รู้ว่า ท่าทีเมื่อครู่ของตนไม่ถูกต้อง แต่ว่า นางจะทำอย่างไรได้เล่า? คนผู้นี้ สำหรับพวกนางแล้วสำคัญมากจริงๆ
ไม่อาจเกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย คนผู้นี้ จำเป็จะต้องได้สติกลับมา ท้ายที่สุด หลิงยาโถวก็กำเนิดมาในครอบครัวที่มีฐานะต่ำเกินไป มองความสำคัญของเื่ราวไม่ออก ดังนั้น การตัดสินใจของนางไม่ได้ผิดพลาด แม้จะเป็การหาภรรยาให้หลานชาย นั่นก็ควรจะหาผู้ที่มีฐานะครอบครัวทัดเทียมกัน หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดาไม่คู่ควรกับหลานชายที่โดดเด่นผู้นั้นของนาง
“มู่เอ๋อร์เป็เด็กสาวที่มีจิตใจดีงาม แต่จะต้องรู้ว่า ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ มิได้มีเพียงความผิดชอบชั่วดี มีบางครั้ง เพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญของเราไว้ ถึงแม้บางครั้งจะทำสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมในจิตใจบ้าง เช่นนั้นก็เป็เื่ที่จนแก่ใจ” ซูเหล่าฟูเหรินกล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ “ข้ารู้ว่าเ้ามีใจเมตตา เ้าไม่อาจตัดใจเห็นนางได้รับความทุกข์ เช่นนั้น ก็รักษานางให้หายดีอย่างสมบูรณ์เถิด! ก็ถือว่าไม่ผิดต่อนางแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า สตรีนางนี้เป็ไพ่ของซูเหล่าฟูเหริน ไพ่นี้สำหรับนางแล้ว มีความสำคัญต่อนางอย่างมาก แม้ว่าจะรักษาสตรีนางนี้จนหายดีแล้ว อนาคตของนางก็ยากที่จะคาดเดา ทว่า นางเป็แพทย์ ขอเพียงทำการรักษาช่วยคนจากความอาการเจ็บป่วยล้มตายให้ได้ก็พอแล้ว เื่อื่นมิได้สำคัญถึงเพียงนั้น
หลิงมู่เอ๋อร์มองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า นางอายุประมาณหยางซื่อ ทว่าร่างกายของนางได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ก็ไม่รู้ว่าเป็ฝีมือของผู้ใด ถึงกลับทำให้นางแท้งบุตรถึงสามครั้ง
[1] ความงามของอาณาจักรและความหอมล้ำจากชั้นฟ้า เป็การพรรณนาถึง ดอกโบตั๋น
[2] ยาโถว เป็สรรพนาม ใช้เรียกเด็กหญิงหรือสาวน้อย
[3] อังคุฐธำรงค์ คือ แหวนหยกที่ใช้สวมบนนิ้วหัวแม่มือ