เก๋อจือที่กลับมาถึงกระโจมถอนหายใจโล่งอก เขายังคงรู้สึกใจหายภายหลังอยู่บ้าง
“โม่เจ๋อเอ่อร์ เ้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว เจียนั่วผู้นั้นดูแล้วคงจะเป็อัศวินเวท หากสู้กับเขาจริงๆ จะต้องแพ้อย่างมิต้องสงสัย”
“อัศวินเวท... อัศวินที่รู้วิชาเวท?” โม่จ้านรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่งเพราะเพิ่งจะเคยได้ยินคำนี้เป็ครั้งแรก
เก๋อจืออธิบายอย่างละเอียดเพราะชินกับความ “มิรู้เื่ทางโลก” ของโม่จ้านเสียแล้ว แท้จริงแล้วผู้ที่เรียกว่า “อัศวินเวท” ก็เหมือนกับจอมเวท เชี่ยวชาญการควบคุมพลังธาตุ สามารถนำพลังใส่ลงไปในอาวุธเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขอบเขตการโจมตี แต่โดยทั่วไปจะมีถูกข้อจำกัดให้เป็เวทมนตร์ธาตุเดี่ยวในระดับต่ำเท่านั้น เก๋อจือััได้ถึงพลังเวทธาตุน้ำแข็งรอบกายเจียนั่ว ดังนั้นจึงวิเคราะห์ว่ามีความเป็ได้สูงที่เขาจะเป็อัศวินเวท
“หากมิใช่เพราะเ้าเก็บหลักฐานเอาไว้ เกรงว่าเ้าตัวเตี้ยผู้นั้นคงมิมีทางยอมรามือโดยง่าย”
เก๋อจือมองคริสตัลบันทึกเื่ราวที่ถูกโยนขึ้นลงในมือโม่จ้าน
“นึกมิถึงว่าเ้าจะคาดเดาได้ว่าเขาจะมาหาเื่จึงลอบใช้คริสตัลบันทึกเอาไว้ เก่งกาจยิ่งนัก!”
“...เดี๋ยวก่อน โม่เจ๋อเอ่อร์ เหมือนว่าพวกเราจะมิมีพื้นที่ว่างหลงเหลือไว้ในคริสตัลกระมัง?”
ลาถีเท่อพลันนึกขึ้นได้ เขามองไปทางโม่จ้านอย่างร้อนใจอยู่บ้าง
“หรือว่าเ้าบันทึกทับภารกิจของเก๋อจือ---”
เก๋อจือตื่นตระหนก ถลึงตามองไปทางโม่จ้านอย่างมิอยากจะเชื่อ
โม่จ้านส่งเสียงหัวเราะดังลั่นก่อนยัดคริสตัลบันทึกเื่ราวใส่ลงในกระเป๋า
“จะเป็ไปได้อย่างไร นั่นข้าแค่เพียงขู่พวกเขา! เมื่อเทียบระหว่างการยั่วยุปลาตัวเล็กตัวน้อย เห็นได้ชัดว่าภารกิจสำเร็จการศึกษาของคุณชายน้อยเก๋อจือสำคัญกว่า”
เก๋อจือกับลาถีเท่อถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็วางใจลง
“...จับเสือมือเปล่า? โม่เจ๋อเอ่อร์ เ้านี่มันหน้าเนื้อใจเสือมากทีเดียว ข้าขอยืนไว้อาลัยให้แก่ผู้ที่จะมายั่วยุเ้าล่วงหน้า” ลาถีเท่อดึงเก๋อจือมาเอนตัวนอนลงบนเบาะรองนั่งด้วยกัน จากนั้นทำท่าสวดภาวนา
“ฮ่าๆ วางอำนาจข่มขู่ผู้อื่นเช่นนี้ ใช่ว่าจะมีเพียงพวกเขาที่ทำเป็” โม่จ้านบิดเอวไล่ความเกียจคร้านก่อนนอนลงเช่นกัน
หลังจากนั้นมิกี่อึดใจ ขณะฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนทั้งสองที่อยู่ข้างกาย โม่จ้านพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
ครั้นหวนนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ โม่จ้านมองมือทั้งสองข้างของตนด้วยความรู้สึกผสมปนเป --- เล็บมือถูกตัดเล็มอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย ผิวสีเมล็ดข้าวสาลีแลดูสุขภาพดีมีความยืดหยุ่นสูง มิมีตุ่มด้านและมิหยาบกร้าน อีกทั้งยังมิเหมือนคนทำงานจับกัง นิ้วมือเรียวยาวแข็งแรงมีพละกำลัง ยามกำหมัดแน่นสามารถมองเห็นเส้นเืปูดโปนบนหลังมือ
มิมีปัญหาอันใด ทุกอย่างปกติดี กระนั้นเพราะปกติเกินไปจึงเท่ากับมิปกติเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้ราวหนึ่งก้านธูปตนใช้การทุ่มเหนือไหล่โยนฉีเอ่อร์เท่อลงกับพื้น แม้ฉีเอ่อร์เท่อจะตัวมิสูง ทว่าด้วยวัสดุของชุดเกราะ หากคนทั่วไปคิดจะโยนทั้งคนและชุดเกราะนั้นแทบจะมิมีความเป็ไปได้ ตนเตรียมจะทุ่มสุดแรงทั้งหมดเช่นกัน ทว่ากลับดูเหมือนจะมิได้ใช้แรงอันใดมากนัก ฉีเอ่อร์เท่อพลันถูกทุ่มจนหน้ามืดตาลายเสียแล้ว
เพราะยามนั้นกำลังโมโห ตนมิได้สังเกตรายละเอียดยิบย่อยมากนัก กระนั้นยามตนดึงแผ่นเกราะของอีกฝ่ายหลังจากนั้น ล้วนเป็การกระทำตามจิตใต้สำนึกโดยสมบูรณ์แบบ---สัญชาตญาณทางกายบอกว่าตนสามารถทำได้ และความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตนสามารถทำได้จริง ราวกับพนักงานขนของที่มีประสบการณ์มายาวนาน ทันทีที่เห็นน้ำหนักของสิ่งของก็รู้แล้วว่าสามารถยกได้หรือไม่
เพียงแต่นี่มันเห็นได้ชัดว่ามิปกติ! ต่อให้ตนวิ่งเต้นไปทั่ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทว่าด้วยระดับพละกำลังเท่านี้นับได้ว่าเกินขีดจำกัดของมนุษย์ไปไกลแล้วมิใช่หรือ?
...เเต่ก็ถูก ร่างกายของตนคือเผ่าปีศาจ
โม่จ้านหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก หลังอยู่กับมนุษย์มิกี่วันถึงกับเกือบลืมฐานะของตนไปเสียแล้ว แม้จะติดเื่ิญญา มิอาจเรียกใช้พลังธาตุแต่ละชนิดได้ตามใจชอบ กระนั้นการคงความแข็งแรงและพละกำลังของร่างกายยังคงมิเป็ปัญหาใด
ครั้นลูบกระดาษที่แปะอยู่บนหน้าผาก ปัญหายากจัดการที่ทำให้โม่จ้านรำคาญใจผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง --- จักรวรรดิอันปู้เอ่อร์มีท่าทีเป็ศัตรูกับเผ่าปีศาจ ยามนี้ตนมิรู้วิธีเกี่ยวกับการแยกแยะเผ่าปีศาจของผู้คนภายนอก มิรู้ว่าจะถูกผู้อื่นดูออกเมื่อใด แทบจะมิมีความรู้สึกปลอดภัยให้พูดถึง มีชีวิตอยู่มาสองชาติ ในที่สุดตนก็เข้าใจความคิดของพวกที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งะโว่า “อยากเป็มนุษย์” ในนิยายกับหนังแฟนตาซีแล้ว
......
“เ้าหมอนั่นจะต้องมิใช่มนุษย์อย่างแน่นอน! เขามีพละกำลังสูสีกับพวกเผ่าสัตว์กลายร่าง!”
ภายในกระโจมของอัศวินกลุ่มเล็ก ฉีเอ่อร์เท่อถูมือด้วยความประหม่าขณะนั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น มองหัวหน้าที่ใบหน้าแผ่ไอเย็นมิต่างกับก้อนน้ำแข็งอย่าง ‘จริงใจ’
“มิว่าเขาจะมีสายเืใด เื่นี้ล้วนมิเกี่ยวกับเ้า การที่เ้าวิ่งไปหาเื่เขาโดยพลการ เดิมทีก็นับว่าขัดต่อคำสั่งของท่านเ้าเมือง”
เจียนั่วกดสายตาลงมองฉีเอ่อร์เท่อ ธาตุน้ำแข็งที่ล้อมรอบกายบ่งบอกว่าอารมณ์ของเขามิได้ดีถึงเพียงนั้น
“กระนั้นก็มิเห็นว่าจะมีใครห้ามข้า…” ฉีเอ่อร์เท่อพึมพำเสียงเบา ครั้นเห็นว่าสีหน้าของหัวหน้ามิน่ามองยิ่งกว่าเดิมจึงรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
“ในฐานะอัศวิน มิอาจแยกแยะว่าการกระทำของตนถูกหรือผิด ยังคิดจะโทษผู้อื่นว่ามิห้ามอีกหรือ? เ้าอยากจะเป็อัศวินฝึกหัดทั้งชีวิตหรืออย่างไร?”
น้ำเสียงเจียนั่วแหบพร่าเล็กน้อยทว่ายังคงไว้ซึ่งพลัง ขณะตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเฉียบขาดให้ความรู้สึกกดดันเข้าไปถึงส่วนลึกของจิติญญา
ฉีเอ่อร์เท่อก้มหน้า คุกเข่าอยู่ข้างเท้าเจียนั่วด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“ข้า…ข้าสำนึกผิดแล้ว…ข้าจะควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ดี ได้โปรดให้ข้าผ่านการฝึกหัดด้วยเถิดขอรับ…”
“เอาล่ะๆ ฉีเอ่อร์เท่อออกมาปฏิบัติหน้าที่เป็ครั้งแรก ท่านให้อภัยเขาเถิด”
เก๋อหลินส่ายหน้า ยกยิ้มพลางปรบมือก่อนจะก้าวออกมาไกล่เกลี่ย
“ขอเพียงมิย่างกรายไปใกล้พวกเขาอีก คาดว่าผู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นคงจะมิถือสาหาความเด็กน้อยเช่นกัน ฉีเอ่อร์เท่อ อธิบายสถานการณ์ให้ข้าฟังโดยละเอียด”
ผู้หนึ่งเล่นบทโหด อีกผู้หนึ่งเล่นบทใจดี ช่างให้ความร่วมมือกันได้ดีจริงเชียว ทว่าเก๋อหลิน คล้ายเ้าจะลืมไปว่าตนเองก็เป็อัศวินฝึกหัดเช่นกัน
หูฝูยักไหล่ ม้วนใบยาสูบใส่กระดาษแข็งแล้วคาบไว้ในปาก
หลังเจียนั่วเข้ารับตำแหน่งในกองอัศวินรักษาการณ์ได้มินาน เก๋อหลินเข้ามาในกองอัศวินรักษาการณ์ในฐานะอัศวินฝึกหัดที่ถูกยืมตัว แม้เ้าตัวจะปิดปากเงียบ ทว่าผู้ที่ผ่านโลกมามากอย่างตนสามารถััได้ว่าคนทั้งสองรู้จักกันมาั้แ่แรกแล้ว ส่วนเื่ตัวตนเดิม จุดมุ่งหมายและมีความสัมพันธ์เช่นใดกับท่านเ้าเมืองของคนทั้งสอง ตนมิได้มีความสนใจใคร่รู้จนอยากจะใคร่ครวญ
ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของท่านเ้าเมืองตลอดสิบกว่าปี เพียงหนึ่งสายตาของท่านเ้าเมือง ตนก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่าย้าจะทำสิ่งใด ท่านเ้าเมืองยัดตนเข้ามาในกลุ่มอัศวินเล็กเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าให้มารับผิดชอบคนหนุ่มทั้งสาม ตนเพียงต้องทำหน้าที่ตรงหน้านี้ด้วยความซื่อสัตย์เป็พอ
ภายใต้สายตาจับจ้องของเจียนั่วกับเก๋อหลิน ฉีเอ่อร์เท่อเล่าลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างอ้ำอึ้ง หูฝูคาบมวนยาสูบเงี่ยหูฟังอยู่ข้างฉีเอ่อร์เท่อ ท่าทางเอ้อระเหยมิต่างกับกำลังฟังนักเดินทางในโรงเตี๊ยมเล่าเื่
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝีปากของฉีเอ่อร์เท่อที่ตัวสั่นงันงกมิอาจเทียบกับลิ้นช่างพูดของนักกวีพเนจรแม้แต่น้อย พูดติดอ่างอยู่ครึ่งค่อนวัน ท้ายที่สุดยังคงเป็เก๋อหลินที่กุมขมับและช่วยสรุปให้เขา
“หรือจะพูดอีกอย่างว่าเ้าไปไล่ฟันโม่เจ๋อเอ่อร์ก่อน เมื่อไล่ฟันจนเขาโมโหจึงได้จับเ้าทุ่มลงพื้น ก่อนจะกระชากเกราะของเ้าด้วยสองมือเปล่า?”
ฉีเอ่อร์เท่อที่น้ำตาเอ่อคลอพยักหน้า เมื่อหวนนึกถึงพละกำลังที่น่าหวาดกลัวและกลิ่นอายน่ายำเกรงของอีกฝ่าย ตนยังนึกว่าตนไปสู้กับสัตว์ดุร้ายอันใดมา
“หรือเ้าหมอนั่นจะมีสายเืเผ่าสัตว์กลายร่างจริง? แต่ทว่าดูแล้วมิเห็นจะคล้ายที่ตรงใด”
เก๋อหลินย้อนนึกถึงรูปร่างของโม่จ้าน ร่างกายแข็งแรงกำยำทว่ามิสูงนัก มิมีขนดก อีกทั้งยังมิมีเขามิมีหาง
พละกำลังของสัตว์กลายร่างเป็เหมือนกับเอกลักษณ์เฉพาะ มิเพียงแต่ได้รับผลมาจากเผ่าพันธุ์ ทว่ากลับยังลดน้อยลงหลังถูกเจือจางด้วยสายเื สัตว์กลายร่างพันธุ์แท้นอกจากมีสติปัญญาในระดับเดียวกับมนุษย์และสามารถเดินสองขาได้ ก็คล้ายกับว่าจะมิต่างอันใดกับสัตว์ป่า ทว่าหากสัตว์กลายร่างแต่งงานกับมนุษย์ เด็กที่เกิดมาก็จะเป็กึ่งมนุษย์ มีทั้งเอกลักษณ์ของมนุษย์และสัตว์กลายร่าง ขนาดร่างกายและพละกำลังจะลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นสัตว์กลายร่างใหญ่ในอาณาจักรข่ายเจ๋อจึงค่อนข้างต่อต้านการแต่งงานกับมนุษย์
“หากเ้ามิเชื่อก็ไปลองดู!” ฉีเอ่อร์เท่อหัวร้อน โรคพูดมิคิดกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นทำได้เพียงเผชิญหน้ากับสายตามิต่างจากเข็มทิ่มแทงของเจียนั่วพร้อมทั้งพยายามอธิบายให้เก๋อหลินฟัง “ตาของคนเผ่าหมานที่อยู่ด้านข้างผู้นั้นแทบจะมีดวงดาวทะลุออกมาแล้ว”
หูฝูยังคงคาบมวนยาสูบมิเอ่ยสิ่งใด ใช้หางตาปรายมองใบหน้าของเจียนั่วพลางยกยิ้มอย่างมิอาจสังเกตเห็น
ในฐานะอัศวินนักอ่านใจคนมานับครั้งมิถ้วน ตนจับสังเกตประกายฮึกเหิมที่วูบผ่านภายในชั่วเสี้ยววินาทีของเจียนั่วได้อย่างชัดเจน แม้ยามเ้าเด็กผู้นี้ทำงานจะเป็ระบบระเบียบเรียบร้อย นิสัยค่อนข้างดึงดันและกระทำเกินกว่าเหตุไปบ้าง กระนั้นยังคงมีความชอบเอาชนะเช่นคนหนุ่มตามคาด
“เอาล่ะๆ ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว มิว่าจะเป็บุญคุณความแค้นเน่าเฟะอันใด อยากจะหาเื่ต่อยตี หาคู่หู หรืออยากจะฟังเื่เล่าก็ตาม กลับเข้าเมืองแล้วจึงค่อยพูดจาไร้สาระกัน ข้ามิอาจอดหลับอดนอนได้เช่นคนหนุ่มอย่างพวกเ้า รีบไสหัวไปนอนกันเสีย”
คำสั่งของผู้าุโมิปล่อยโอกาสให้ได้แสดงความเห็นอื่น หลังสิ้นหนึ่งเสียงสั่งการของหูฝู พวกเขาทั้งสามคนจึงเอนกายลงนอนอย่างว่าง่าย
