อัศวินกลุ่มเล็กนั่งล้อมกองไฟ เจียนั่วก็นั่งอยู่กับพวกเขาเช่นกัน
“ท่านเจียนั่วมาเพื่อช่วยพวกเขาแท้ๆ ช่างมิรู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ!”
ใบหน้าของอัศวินน้อยหน้าเด็กเปี่ยมด้วยความไม่ยินยอม เขาทุบพื้นด้วยความโมโหอย่างยิ่ง
“คนหนุ่มคนสาวช่างเ้าอารมณ์เสียจริๆ ฮ่าๆๆ”
อัศวินไว้หนวดเคราวัยกลางคนยกขวดสุราขึ้นกระดกมิกี่อึกก่อนจะเช็ดปาก
“เจียนั่ว เ้ากับเ้านักผจญภัยผู้นั้นมีเื่หมางใจกันมาก่อนหรือ? เขามองเ้าด้วยท่าทางมิพอใจเอามากๆ”
“...ข้าลองทดสอบเขา นอกเหนือจากนั้นก็มิมีสิ่งใดแล้ว” เจียนั่วตอบกลับอย่างกระชับเรียบง่ายเหลือเกิน
“อุ๊บ แค่กๆๆ...”
อัศวินหนุ่มอีกคนที่กำลังดื่มน้ำอยู่ด้านข้างถึงกับสำลักโดยพลัน เขายกยิ้มเจื่อนพลางหันหน้ามา
“ท่านเจียนั่ว ยังจำตอนที่ท่านเพิ่งมาถึงได้หรือไม่? พวกเราทุกคนล้วนแต่เคยถูกท่าน ‘ทดสอบหยั่งเชิง’ หนึ่งรอบ”
คนสามสิบกว่าคนถูกคนผู้เดียวจัดการจนหมอบอยู่กับพื้น น่าสมเพชถึงขั้นยากลืมเลือนจวบจนบัดนี้
“ไม่ เป็เพียงการทดสอบ ถูกเขาหลบได้แล้ว”
กำปั้นของเจียนั่วกำลังค้ำคาง ดวงตาจดจ้องเปลวเพลิงที่ไร้การพลิ้วไหว
“พวกเ้าต่างออกไป กองอัศวินรักษาการณ์บางคนมิยอมรับข้า ข้าจึงต้องลงมือจนกว่าพวกเ้ายอมรับจึงจะหยุด”
หากเ้าเปิดเผยฐานะอัศวินเวทออกมาเสียแต่แรก คนทั้งเมืองคงมิกล้าแตะเ้า...
อัศวินหนุ่มอดกลั้นคำวิจารณ์เอาไว้ครึ่งค่อนวัน กระนั้นก็ยังมิกล้าเอ่ยออกไป
“ผลสุดท้ายคือเขาถูกจัดการเข้าแล้ว จากนั้นจึงเริ่มเกลียดท่าน?”
อัศวินหน้าเด็กทำท่าทางลำพองใจ สร้างบทสรุปที่ตนคิดว่าถูกต้องขึ้นมา
“ต่อให้ท่านเจียนั่วมิใช้พลังเวทก็สามารถทำให้เขากลายเป็ปลาแห้งได้”
เจียนั่วส่ายหน้า “ทักษะของเขามิเหมือนกับคนในกิลด์นักดาบพเนจรหรือกิลด์นักรบ”
“นอกรีต? ถ้าเช่นนั้นก็น่าสนใจน้อย เห็นทีข้าคงต้องประลองกับเขาสักสองกระบวนท่า”
อัศวินหน้าเด็กกวัดแกว่งกระบี่ในมือ เดินเข้าไปหาคนทั้งสามด้วยสีหน้าหยามเหยียด
“นี่ ช้าก่อน...”
อัศวินหนุ่มอยากจะดึงฉีเอ่อร์เท่อเอาไว้ ทว่ากลับถูกเจียนั่วขวางเสียก่อน
“ให้เขาเสียเปรียบสักครั้งก็จะกลับมาเอง”
ใบหน้าของอัศวินหนุ่มฉายแววตกตะลึง “เสียเปรียบ? หรือแท้จริงแล้วคนผู้นั้นเก่งกาจ?”
เจียนั่วนิ่งเงียบมิเอ่ยสิ่งใด อัศวินไว้หนวดเคราตบบ่าอัศวินหนุ่ม กลิ่นสุราจากปากทำเอาผู้ที่อยู่ด้านหลังมิอาจมิบีบจมูก
“นักผจญภัยเป็พวกซ่อนเหล่ามนุษย์กินคนเอาไว้มิน้อย หากมิจำเป็ต้องยั่วยุก็พยายามอย่าไปยั่วยุ ยามปฏิบัติหน้าที่มิเคยมีเื่วุ่นวายอันใดเข้าแทรก พี่หูฝูของเ้าจึงได้มีชีวิตอยู่จนถึงป่านนี้ เอิ้ก”
อัศวินหนุ่มพยักหน้าอย่างใช้ความคิด ทว่าหนึ่งประโยคที่ตามมาของหูฝูทำเอาตนเกือบจะหงายหลังเสียแล้ว
“กำลังวังชามากมายถึงเพียงนั้น มิไประบายบนกายสตรี กลับวิ่งไปหาเื่ต่อยตีกับบุรุษ? ช่างเป็เด็กน้อยไร้ความก้าวหน้า”
อัศวินหนุ่มไร้สิ่งใดจะเอ่ยขณะมองไปทางเจียนั่ว ทว่าใบหน้าของเจียนั่วยังคงฉายแววเ็ามิต่างกับก้อนน้ำแข็ง มองมิเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
......
โม่จ้านมองอัศวินที่วางมาดโอ้อวดอยู่ตรงหน้าแล้วพลันขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ ส่วนเก๋อจือที่อยู่ด้านข้างจ้องมองคนทั้งสองด้วยความสนใจ
“นี่หมายความว่าอย่างไร? เจียนั่วส่งเ้ามาทดสอบข้าอีกงั้นรึ?”
ฉีเอ่อร์เท่อชักกระบี่ออกจากฝักพร้อมทั้งกวักมือไปทางโม่จ้าน
“ข้ามาเอง ได้ยินท่านเจียนั่วบอกว่าทักษะการต่อสู้ของเ้าพิเศษมาก จึงอยากจะมาขอคำชี้แนะสักมิกี่กระบวน”
“...ข้าขอปฏิเสธ”
โม่จ้านใช้สายตามิต่างกับมองคนบ้ามองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง จากนั้นดึงเก๋อจือหันหน้าหนีหมายจะจากไป
อัศวินเหล่านี้พากันกินอิ่มแล้วมิมีอันใดทำหรืออย่างไร? เหตุใดแต่ละคนจึงชอบรนหาเื่นัก?
“เคล้ง!!”
ด้านหลังพลันมีหนึ่งเสียงคำรามกรีดอากาศพุ่งตรงมา โม่จ้านผลักเก๋อจือไปให้ลาถีเท่อ ตามด้วยพลิกฝ่ามือใช้กริชกันกระบี่ยาวของฉีเอ่อร์เท่อเอาไว้
...นอกจากนั้นกระทั่งฝีมือยังมิต่างกัน ล้วนแต่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกมิพอใจถึงเพียงนั้น
ในใจของโม่จ้านบังเกิดความเหลืออด ทั้งสู้และถอยตลอดทาง ทว่าฉีเอ่อร์เท่อยิ่งต่อสู้กลับยิ่งฮึกเหิม เกาะติดโม่จ้านมิต่างกับขนมงาอ่อน เอาแต่สับแต่ฟันดังเคล้งๆ มิยอมเลิกราเสียที
“เหตุใดจึงมิรุกสู้! รีบลงมือเสียสิ! ฮ่าๆๆๆ!”
อัศวินตัวเตี้ยหัวเราะร่าขณะเข้าคุกคามในระยะประชิดขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์น่าเอ็นดู แต่กลับมีฝีปากมิต่างกับพวกตัวร้าย โม่จ้านจดจ้องเงาร่างผู้ที่กำลังเข้าประชิดตนอย่างช้าๆ ครั้นหวนนึกถึงภาพยามเจียนั่วลอบโจมตีตน ความโมโหอย่างไร้สาเหตุพลันพุ่งขึ้นสมองภายในชั่วเสี้ยววินาที
ฉีเอ่อร์เท่อที่กำลังสาแก่ใจจากการโรมรันร้องคำรามหนึ่งเสียง หนึ่งกระบี่ที่ออกแรงฟันลงไปถูกโม่จ้านใช้กริชรับเอาไว้อีกครั้ง ทว่าครานี้ข้อมือของโม่จ้านทั้งบิดและผลักออก บังคับเบี่ยงคมมีดออกไป ตามด้วยส่งหมัดขวาพุ่งตรงไปยังใบหน้าของฉีเอ่อร์เท่อ
พละกำลังของโม่จ้านเพิ่มมากขึ้นอย่างกะทันหัน ฉีเอ่อร์เท่อตอบสนองมิทัน ภายใต้ความลุกลี้ลุกลนทำได้เพียงยกแขนข้างซ้ายขึ้นป้องกันใบหน้า โม่จ้านใช้กระบวนท่าหลอกล่อ ครั้นเห็นว่าทั้งกายของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยชุดเกราะแข็งมิมีที่ให้ลงมือ ตนจึงรีบโยนกริชในมือทิ้งแล้วสอดมือเข้าใต้รักแร้ของฉีเอ่อร์เท่อ มือข้างซ้ายคว้ามือขวาที่กำกระบี่ของฉีเอ่อร์เท่อไว้มั่น เอว ไหล่และมือทั้งสามส่วนออกแรงพร้อมกัน
“อึก---ตึง!!‘”
อัศวินที่อาวุธครบมือมิต่างกับกระสอบป่านที่ถูกแบกเอาไว้ หลังหมุนกลางอากาศครึ่งรอบพลันล้มลงบนพื้นอย่างแรง การสาธิตท่าทุ่มเหนือไหล่ช่างได้มาตรฐานจนมิอาจได้มาตรฐานไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว สำเร็จกระบวนเพียงหนึ่งลมหายใจ ทำเอาลาถีเท่อที่มองดูอยู่ด้านข้างฮึกเหิมขึ้นมา
ฉีเอ่อร์เท่อถูกทุ่มจนโง่เซ่อเสียแล้ว ทว่าคล้ายโม่จ้านจะยังระบายความแค้นเคืองมิหนำใจ มิรอให้ฉีเอ่อร์เท่อลากเกราะหนักอึ้งลุกขึ้นจากพื้น โม่จ้านพลันเหยียบไหล่ของอีกฝ่ายด้วยหนึ่งฝ่าเท้า ส่งหนึ่งฝ่ามือไปจับช่องว่างด้านข้างของเกราะตรง่อกของคู่ต่อสู้ด้วยมือเดียวแล้วดึงอย่างแรง เกราะบริเวณหน้าอกทั้งชิ้นหล่นลงพร้อมกับลวดเหล็กและกลัดกระดุมเหล็กที่ถูกดึงขาด
ลาถีเท่อเบิกตาอ้าปากค้าง ทางด้านฉีเอ่อร์เท่อถูกขู่จนขวัญกระเจิงเสียแล้ว ในลำคอเปล่งเสียงร้อง “ช่วยด้วย!!” ดังผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน เหล่าอัศวินที่นั่งล้อมกองไฟพากันตื่นตระหนก รีบคว้าหอกยาวเร่งรุดเข้ามาทันที
“เกิดอันใด...ว้าว”
หูฝูที่วิ่งอยู่หน้าสุดชะงักฝีเท้า มองเห็นโม่จ้านที่ใบหน้าฉายแววขุ่นเคืองยังมิเลือนหายไปเป็อันดับแรก ตามด้วยมองไปทางฉีเอ่อร์เท่อที่นั่งกายสั่นเทาอยู่บนพื้น ยังมีแผ่นเกราะบริเวณอกที่ถูกทำให้เสียหายจนเผยเสื้อซับใน อัศวินเฒ่าเปล่งหนึ่งเสียงอืมอย่างคลุมเครือพร้อมทั้งเผยรอยยิ้มสัปดนออกมา
เจียนั่วตามมาถึงเป็คนถัดไป เขามองฉีเอ่อร์เท่อในสภาพจนตรอกแล้วขมวดคิ้ว
“เกิดเื่อันใดขึ้น?” อัศวินหนุ่มผมน้ำเงินมาถึงสถานที่เกิดเหตุเป็คนสุดท้าย มองฉีเอ่อร์เท่อที่นำมือทั้งสองข้างปิดหน้าอกด้วยสายตาตกตะลึง
“คาดว่าคงเป็เพราะละโมบในความงามคิดอยากจะหาคู่หู ผลสุดท้ายทักษะสู้ผู้อื่นมิได้จนเกือบเป็ฝ่ายถูกใช้กำลังบีบบังคับเสียเอง” หูฝูคาบไม้ตะบองด้วยสีหน้าหยอกเย้าผู้อื่น
“หูฝูเ้าหุบปาก!” ใบหน้าของฉีเอ่อร์เท่อแดงก่ำมิต่างกับมะเขือเทศสุกงอม
“จริง...จริงหรือ? ที่แท้ฉีเอ่อร์เท่อเ้าชอบแบบนี้นี่เอง...”
อัศวินหนุ่มเบิกตาโตยิ่งนัก ลูกตาจวนจะถลนออกมาเสียแล้ว
“เก๋อหลิน สมองเ้าบวมน้ำแล้วหรืออย่างไร?! อย่าได้เชื่อกระทั่งคำพูดพวกนี้!”
ฉีเอ่อร์เท่อโมโหจนเสียสติไปแล้ว เขาร้องตะคอกใส่อัศวินหนุ่มอย่างมิอาจคุมอารมณ์
“ท่านเจียนั่ว โปรดดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี”
โม่จ้านมินึกสนใจการหยอกล้อเด็กน้อยของพวกเขามิกี่คนและส่งสายตาตักเตือนไปทางเจียนั่ว
“หากผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านมิอาจกดข่มความบุ่มบ่ามอยากจะก่อกวนพวกเรา พวกเราจะใช้วิธีอื่น”
ฉีเอ่อร์เท่อที่เพิ่งเก็บเสื้อเกราะขึ้นมาชะงักงัน ชี้นิ้วไปทางโม่จ้านด้วยท่าทางแข็งนอกอ่อนใน
“พวกเราอัศวินรักษาการณ์ได้รับคำสั่งจากท่านเ้าเมืองให้มาคุ้มกันพวกเ้า นึกมิถึงว่าพวกเ้าจะกล้าลงมือกับพวกเรา นับได้ว่าฝ่าฝืนข้อบังคับของเมืองแล้ว!”
......
บรรยากาศเงียบสงัด ใบไม้แห้งใบหนึ่งถูกสายลมพัดเข้าสู่กองไฟ ถูกเผาไหม้จนเกิดเสียงดังเปาะแปะ
“อุ๊บ...”
เก๋อจือกลั้นหัวเราะมิไหว มุมปากของลาถีเท่อกระตุกพลางหยิกต้นขาของตนอย่างแรง
อัศวินถือกระบี่ถูกนักผจญภัยถือกริชซัดจนฟุบหมอบ ยังกล้าวางมาดพูดจาโอ้อวดว่ากำลังคุ้มครอง จะต้องมีใบหน้าที่หนาเพียงใดจึงกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา?
หลังฉีเอ่อร์เท่อพูดสิ่งที่มิผ่านสมองออกมาจึงได้พบว่าทุกคนกำลังใช้สายตามองผู้ปัญญาอ่อนมองมายังตน ใบหน้าที่แดงก่ำเป็ทุนเดิมเริ่มกลายเป็สีม่วง ฉีเอ่อร์เท่อฝืนประคองสีหน้าต่อไปมิไหวแล้วเช่นกัน เขายกมือกุมหน้าหนีไปอย่างรวดเร็วก่อนมุดหัวเข้าไปในกระโจมของตนเอง
บรรยากาศกลับมาเงียบสงัดภายในเสี้ยววินาที ทุกคนต่างพากันกลั้นขำ เว้นเสียแต่หัวหน้าทั้งสองท่านที่ใบหน้ายังคงมีไอเย็นะเืแผ่ออกมา
“อัศวินของกองกำลังรักษาการณ์ยั่วยุนักผจญภัยที่ต้องคุ้มกัน นี่ก็นับเป็ความรับผิดชอบที่เบื้องบนยอมให้กระทำโดยมิห้ามปรามอย่างนั้นหรือ?”
โม่จ้านเล่นคริสตัลบันทึกเื่ราวในมือที่มิรู้ว่าโผล่ออกมาั้แ่เมื่อใด สายตาคมดุจปลายมีดมุ่งไปทางเจียนั่วที่อยู่ข้างกาย
“หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ข้ามิถือสาหากจะส่งภาพทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ท่านเ้าเมือง”
อัศวินเกราะเงินขมวดคิ้วเป็ปมยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว เจียนั่วเงยหน้าขึ้นสบตากับโม่จ้าน คิดอยากจะอ่านบางสิ่งจากภายในนั้น
“นอกจากนั้นข้าหวังว่าพวกเ้าจะเข้าใจว่า ความอดทนของพวกเรามีขีดจำกัด”
น้ำเสียงของโม่จ้านไม่เป็มิตรอย่างยิ่ง ทำให้เก๋อหลินที่หลบอยู่ด้านหลังเจียนั่วถึงกับสั่นสะท้าน
“พวกเรามิได้้าความช่วยเหลือเกินจำเป็จากผู้ใดก็สามารถเดินออกจากป่าแห่งนี้ได้อย่างราบรื่น”
โม่จ้านหัวเราะเย้ยหยันขณะลั่นวาจาทิ้งท้าย ตามด้วยลากลาถีเท่อที่ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสกลับกระโจม เก๋อจือมองเจียนั่วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเดินตามโม่จ้านไปอย่างเงียบเชียบ
ไอเย็นรอบกายของเจียนั่วแทบจะควบแน่นเป็ของแข็ง ผนวกกับดวงตาเหยี่ยวฉายแววดุดัน ช่างราวกับประติมากรรมน้ำแข็งที่เผยกลิ่นอายกดข่มผู้อื่น ทำเอาเก๋อหลินกับหูฝูถึงกับต้องถอยห่าง
“เ้าฉีเอ่อร์เท่อนั่น ความสามารถทำงานให้สำเร็จมีน้อยนิด แต่ความสามารถทำงานให้พังพินาศกลับมีเหลือเฟือเสียจริง...”