“เก๋อจือใจอ่อนเกินไป เห็นๆ กันอยู่ว่าผู้อื่น้าหลอกใช้ตน กระนั้นก็ยังยินดีจะส่งตนเองไปถึงหน้าประตู”
รอยยิ้มของลาถีเท่อจนปัญญายิ่งนัก กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้ากลับหนาแน่นจนมิว่าจะละลายอย่างไรก็มิยอมละลาย เผยสีหน้าท่าทางลุ่มหลง
ภายในเสี้ยวนาทีนั้น กระทั่งโม่จ้านยังเกิดความคิดนึกอิจฉา จิ๊ปากอย่างมิอาจเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
...หลังจากมีชีวิตที่สงบสุขแล้วควรจะหาแฟนดีไหมนะ?
“อนาคตของพวกเราล้วนแต่ฝากไว้ที่เ้าแล้ว อย่าได้เก็บของหนีในวันหน้าเป็พอ”
ลาถีเท่ออารมณ์ดีมิน้อย เล่นมุกที่มิมากหรือน้อยเกินไป
ในใจโม่จ้านจมดิ่งลงทันใด จิตใจที่เพิ่งผ่อนคลายลงเมื่อครู่เริ่มตึงเครียด ความทรงจำที่ถูกซ่อนไว้ในหัวพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
การล้อมปราบการค้าอาวุธใต้ดินในครานั้น หนึ่งในสายลับรายงานข่าวเท็จ ทำให้ทีมก้าวเข้าสู่กับดักและแหวกหญ้าให้งูตื่น ปักมีดลงบนหลังทีมสืบสวนพิเศษอย่างแรง ยามโม่จ้านลากไหล่ซ้ายที่ถูกทำร้ายจนาเ็ยิง “สายลับ” ที่สมรู้ร่วมคิดผู้นั้นตายด้วยความโมโหอย่างรุนแรง ทีมสืบสวนพิเศษนับร้อยคนได้เสียสละเ้าหน้าที่ไปกว่าสามสิบคนแล้ว รวมถึงเหล่าเพื่อนสนิทร่วมแผนกและร่วมจบการศึกษาที่ได้ทำงานด้วยกัน
โม่จ้านยืนเหม่อลอยอยู่หน้าหลุมศพของเขาตลอดทั้งเช้า เห็นกับตาว่าพ่อแม่ใบหน้าซีดเซียวมาส่งเขาออกเดินทาง เห็นภรรยาของเขายืนหมดอาลัยตายอยากอยู่ในสุสาน เมื่อ่เวลาแห่งการนองเืในความเป็จริงปรากฏอยู่ตรงหน้า โม่จ้านจึงตระหนักได้อย่างแท้จริง วีรบุรุษอันใดกัน ค่าชดเชยและความศรัทธาอันใดกัน ล้วนแต่เป็เื่หลอกลวงทั้งนั้น
สำหรับคนอื่น สิ่งที่สูญเสียไปเป็เพียงคนแปลกหน้าหรือคนคุ้นเคย หลังพระอาทิตย์ในวันถัดไปลอยเด่น โลกยังคงหมุนเวียนไปตามเดิม ทว่าสำหรับครอบครัวของพวกเขาแล้ว สิ่งที่สูญเสียไปคือสีสันทั้งท้องฟ้าอย่างมิต้องสงสัย โม่จ้านที่ัักับความเ็ปมากับตัวมีความเห็นอกเห็นใจอันแรงกล้า นับแต่วินาทีนั้น ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ในใจของโม่จ้านได้ปรากฏความลังเลใจเป็ครั้งแรก
ใน่เวลานั้น โม่จ้านหวาดกลัวจนถึงขั้นมิกล้านึกถึงโลกหลังการสูญเสียครอบครัวอีกครั้ง พ่อแม่ไม่สบาย น้องชายและน้องสาวกำลังเรียน กระนั้นหน้าที่การงานของตนกลับมีความเสี่ยงสูงมาก หากเกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นครอบครัวนี้จะทำอย่างไร?
บ้านที่รับตนออกมาจากความมืดมิด ตนยังมิทันตอบแทนกลับพังทลายลงก่อนแล้วงั้นหรือ?
ตนมิได้กลัวความตายแต่อย่างใด เพียงกลัวว่าจะตายโดยที่ยังมีห่วง
ตน้าพวกเขาก็เพื่อตอบแทนที่พวกเขามอบรอยยิ้มแรกให้กับตน ขอเพียงพวกเขา้าตน ต่อให้เป็เพียงเื่เงินทอง ตนก็ยินดีจะมุ่งหน้าเดินต่อไป ยังดีที่ตนเคยแบกรับภาระใน่ที่ยากลำบากที่สุดเอาไว้ ท้ายที่สุดตายโดยมิมีสิ่งใดให้ต้องห่วง นับได้ว่า “ตายอย่างคุ้มค่า” แล้วกระมัง
อย่างไรก็ตาม แม้ยามนี้ตนจะกลายเป็คนหัวเดียวกระเทียมลีบ กระนั้นตนก็มิอยากเผชิญหน้ากับความเ็ปราวกับถูกฉีกอกเช่นนั้นด้วยตนเองแม้แต่น้อย
“พวกเ้า...จะหักหลังข้าหรือไม่?” ทันใดนั้นสีหน้าของโม่จ้านพลันย่ำแย่ถึงขีดสุด
ลาถีเท่อตระหนักถึงความผิดปกติได้ในทันที ดังนั้นจึงถอดกะโหลกศีรษะสัตว์วางไว้ในมือของโม่จ้านอีกครั้ง แม้จะยังมีความสงสัยอยู่บ้าง ทว่าสิ่งนี้กลับมิอาจเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของตน
“มิมีทาง มิว่าจะเมื่อใดก็ตาม”
โม่จ้านถอนหายใจ มิว่าจะเป็คำโกหกหรือไม่ อย่างน้อยยามนี้คงวางใจได้บ้างกระมัง
เห็นทีโม่เจ๋อเอ่อร์คงเคยเ็ปเพราะถูกหักหลัง นอกจากนั้นยังถูกทำร้ายมามิน้อย
ลาถีเท่อมองแววตาว่างเปล่าและมือที่ค่อนข้างสั่นเทาของโม่จ้านก่อนจะมอบอ้อมกอดให้โม่จ้านอย่างเป็ประวัติการณ์ อีกทั้งยังตบหลังโม่จ้าน
“สหายที่เผ่าหมานยอมรับ จะมิมีทางหักหลังเป็อันขาด นี่คือคำสอนของเผ่าพวกเรา”
“...ขอบคุณ”
โม่จ้านััได้ถึงความเปียกชื้นเล็กน้อยบริเวณหางตา “ชนกลุ่มน้อย” ที่ในสายตาผู้อื่นคิดว่าจะกดขี่อย่างไรก็ได้กลับใช้ด้านที่ดีของมนุษย์ได้ดีที่สุด นับเป็การเสียดสีอย่างถึงที่สุดจริงๆ
เมื่อเห็นโม่จ้านค่อยๆ สงบลง ในที่สุดลาถีเท่อก็วางใจ สำหรับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นอย่างน่าประหลาดของโม่จ้าน ตัวเขาที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเก๋อจือมาก่อนเข้าใจเหตุผลอย่างมาก มิว่าจะเป็ผู้ที่แข็งแกร่งเพียงใดย่อมต้องมีด้านอ่อนแอ อีกทั้งยังมีสิ่งที่มิอยากเอ่ยถึงและเื่ที่อยากหวนนึก
บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ลาถีเท่อพาหัวข้อสนทนากลับมายังเก๋อจืออีกครั้ง
“เื่ของเก๋อจือ ข้าอยากจะขอบคุณเ้า”
โม่จ้านเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง “ห๋า?”
ลาถีเท่อเกาแก้ม ยกยิ้มค่อนข้างเขินอาย
“ถึงแม้ท้ายที่สุดจะเป็ความบังเอิญ ทว่าหากมิใช่เพราะเ้าคอยยั่วยุเขาอยู่ตลอด เกรงว่าข้าจะต้องเป็สหายที่ดีของเขาไปจนชั่วฟ้าดินสลายเสียแล้ว”
“ฮ่าๆๆ แท้จริงแล้วเพียงถือโอกาสทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น”
หลังได้ฟังเช่นนั้น โม่จ้านพลันชอบใจเสียแล้ว ตนส่งผ้าไปให้ลาถีเท่อหนึ่งผืน
“พวกเ้าสองคนอืดอาดกันเกินไป ข้าเห็นแล้วร้อนใจแทน ด้วยนิสัยของเ้ากับประสาทััหยาบกระด้างของเขา หากข้ามิลงมืออย่างน้อยๆ คงจะยืดเยื้อไปอีกสิบปี”
ลาถีเท่อบีบนวดต้นขาที่รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่ว หันมองไปทางโม่จ้านอย่างสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง
“โม่เจ๋อเอ่อร์เ้าเคยคิดหรือไม่ว่าคนรักในภายหน้าของเ้าเป็เช่นไร?”
โม่จ้านตกตะลึงเพราะคำถามซุบซิบกะทันหัน ใบหน้าฉายแววเก้อเขินอยู่บ้าง
“เอ่ยตามตรง ข้ามิเคยคิดมาก่อน...”
“มิมีทางกระมัง แม้แต่ภาพรวมแบบเลือนรางก็มิเคยงั้นหรือ?”
ลาถีเท่อขยับเข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม สีหน้าท่าทางสนใจใคร่รู้อย่างมาก
“หน้าตาดีมาก” โม่จ้านตอบกลับเสียงต่ำ
“ผู้ที่หน้าตาดีมีตั้งมากมาย! เอ่ยมิต่างอันใดกับมิเอ่ย”
ลาถีเท่อมองสีหน้าแสร้งทำเป็เหนื่อยหน่ายของโม่จ้านพลันหัวเราะจนท้องขดท้องแข็ง
“อัศวินผู้นั้นคล้ายจะชื่อว่าเจียนั่วกระมัง หน้าตาหล่อเหลาเอาการทีเดียว มิทราบว่าตรงตามรสนิยมของท่านอาจารย์โม่เจ๋อเอ่อร์หรือไม่?”
...ลาถีเท่อ เ้าเสียคนแล้วรู้หรือไม่? เด็กหนุ่มสุขุมอ่อนโยนพันธุ์กระต่ายเมื่อยามแรกพบผู้นั้นเล่า?
โม่จ้านมองตาเป็ประกายของเด็กหนุ่มเผ่าหมานตรงหน้าแล้วรู้สึกคอแข็งทื่อจนรู้สึกเจ็บ
“...อ่า อืม หน้าตามิเลวจริงๆ”
โม่จ้านสงบสติอารมณ์ลง ตัดสินใจเอ่ยความจริงออกไป
“เพียงแต่เื่นิสัยนั้นเลิกพูดเถอะ ทั้งน่ารังเกียจทั้งแข็งกระด้างมิต่างกับก้อนหิน มิเหมาะกับข้าสักนิด ยังมีอีกเื่ เก๋อจือ เ้าจะแอบฟังไปถึงเมื่อใดกัน?”
“คุณชายน้อยอย่างข้าเพียงบังเอิญผ่านมาและขาชาจึงได้นั่งพักตรงพุ่มไม้เท่านั้น”
เก๋อจือที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้เดินออกมาอย่างวางมาด มองไปทางโม่จ้านด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาท ท่าทางคล้ายกับเพิ่งค้นพบทวีปใหม่[1]อย่างไรอย่างนั้น
“ที่แท้เ้ากับอัศวินก้อนหินผู้นั้นมิได้เพิ่งพบกันเป็ครั้งแรกนี่เอง?”
โม่จ้านทำได้เพียงสารภาพเื่ที่เกิดขึ้นในเมืองนักดาบพเนจรออกไป
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ ข้ายังแปลกใจว่าเหตุใดเ้าถึงได้ตั้งท่าเป็ศัตรูกับเขาถึงเพียงนั้น”
เก๋อจือเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเื่แล้ว กระนั้นความสงสัยยังคงมิลดน้อยลง
“แต่ข้าคิดว่าปกติมากมิใช่หรือ? เ้าพูดจาว่าร้ายหัวหน้าต่อหน้าอัศวิน เขามิเสนอให้ต่อสู้เพื่อตัดสินชี้ขาดก็นับว่ามีมารยาทแล้ว”
โม่จ้านชะงักงันทันใด เมื่อพูดมาเช่นนี้ดูเหมือนจะมิผิดอันใดจริงๆ
เก๋อจือบุ้ยปากพลางยักไหล่ “นอกจากนั้นเขายังเชิญเ้าเข้าร่วมกองอัศวินรักษาการณ์ มิเท่ากับยอมรับในความสามารถของเ้าหรืออย่างไร”
โม่จ้านเบนสายตาออกห่างด้วยสีหน้าเฉยเมย
ข้ามิได้้าให้มีคนบ้าที่เอาหอกยาวจิ้มหลังคนกลางถนนมายอมรับ ขอบคุณ
ลาถีเท่ออดหัวเราะมิได้เมื่อเห็นสีหน้าที่ยังฉายแววมิพอใจเช่นเดิมของโม่จ้าน
“ที่แท้เ้าก็มียามที่คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้เหมือนกัน อย่าจริงจังเกินเหตุไปเลย ถึงอย่างไรก่อนออกจากป่าพวกเราก็ยังต้องร่วมเดินทางกับเขา”
“อย่างไรก็ตาม หลังออกจากป่าแล้วก็เป็คนแปลกหน้า มหามรรคาเทียบเทียมฟ้า ต่างฝ่ายต่างเดินคนละเส้นทาง”
โม่จ้านหน้าดำคร่ำเครียดขณะโดนลาถีเท่อผลักให้เดินออกไป ทว่าปากยังคงบ่นพึมพำมิยอมหยุด
เก๋อจือเกาหัวเดินตามมาก่อนจะกลืนคำถามที่ยังมิได้ถามลงไป
“...ในเมื่อมิช้าก็เร็วจะมิเกี่ยวข้องกัน เช่นนั้นเหตุใดเ้าจึงยังเพ่งเล็งเขาด้วยเล่า?”
เชิงอรรถ
[1] ทวีปใหม่ 新大陆 หมายถึงประเด็นใหม่หรือจุดมุ่งหมายใหม่