อัศวินที่นำหน้าสวมเกราะสีเงิน หอกยาวในมือถูกขัดจนสว่างจ้า สะท้อนประกายเย็นอันเป็เอกลักษณ์ของโลหะ ผู้ที่อยู่ด้านหลังทั้งสามคนสวมชุดเกราะมาตรฐาน เรียงแถวตรงเป็รูปสามเหลี่ยมด้านเท่าด้วยกิริยาท่าทางเป็ระเบียบเรียบร้อย
“…ทหารองครักษ์ของเมืองแห่งนักดาบพเนจร? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”
เก๋อจือหยัดกายลุกขึ้นด้วยสีหน้าระแวดระวัง ดูออกั้แ่เห็นเครื่องหมายแสดงอาชีพของพวกเขาในปราดเดียว
“นี่คือคำถามที่พวกเราต้องถาม”
อัศวินถือหอกถอดหมวกเกราะออก เผยให้เห็นเส้นผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนและตาเหยี่ยวฉายแววเคร่งขรึมคู่หนึ่ง
“ระยะนี้มีคนจำนวนมากมาแจ้งทหารองครักษ์ว่ามีกวางหุ้มเกราะหิมะระดับหกออกไปเพ่นพ่านนอกเขตป่า ทำให้นักผจญภัยจำนวนมิน้อยได้รับาเ็ พวกเราติดประกาศั้แ่เมื่อสี่วันก่อนแล้ว เหตุใดพวกเ้าจึงยังเข้ามาที่นี่?”
ครั้นเก๋อจือถูกเสียดสีซึ่งหน้าพลันอดกลั้นเอาไว้มิไหวทันที
“พวกเราเข้ามาั้แ่เมื่อห้าวันก่อน จะไปรู้ว่าด้านนอกติดอันใดบ้าบอไว้ได้อย่างไร?”
“ที่นี่อันตรายมาก โปรดออกไปทันที”
หลังอัศวินกล่าวจบจึงไปยืนอยู่ด้านข้าง แฝงเจตนาเร่งเร้าให้คนทั้งสองรีบเก็บข้าวของ
“เชอะ เพียงกวางหุ้มเกราะหิมะมิใช่หรืออย่างไร” เก๋อจือสะบัดหน้าหนี เอ่ยพึมพำเสียงเบาอย่างมิยินยอมนัก
“เก๋อจือ!” ลาถีเท่ออยากอุดปากเก๋อจือเหลือเกิน
ประสาททางการได้ยินของอัศวินเกราะเงินว่องไวอย่างยิ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็เคร่งขรึมยิ่งกว่าเก่า
“คือกวางหุ้มเกราะหิมะขั้นหก? พวกเ้าบังเอิญพบแล้วหรือ?”
“ท่านมิคิดว่าการเอ่ยถามออกมาเช่นนี้น่าขันงั้นหรือ? นั่นเป็ถึงสัตว์ปีศาจระดับหกเชียว”
ลาถีเท่อเลิกคิ้ว เผยรอยยิ้มการค้าออกมา
“หากบังเอิญพบมัน ด้วยความสามารถของพวกเราคงจะกลายเป็อาหารเย็นเสียนานแล้ว”
อัศวินปรายตามองคนทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าอย่างเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง กระนั้นกลับมิพบว่ามีสิ่งใดสะดุดตาเป็พิเศษ ดังนั้นจึงเร่งเร้าให้เก๋อจือกับลาถีเท่อรีบเดินทางกลับเข้าเมืองโดยเร็ว ลาถีเท่อถอนหายใจพลางค้อมกายลงเก็บข้าวของ บอกใบ้ให้เก๋อจือไปปลุกโม่เจ๋อเอ่อร์
เก๋อจือเบะปากด้วยความมิพอใจ “โม่เจ๋อเอ่อร์ช่างน่าสงสารเสียจริง เพิ่งจะหลับไปได้มินานกลับต้องถูกปลุกมาใช้แรงงานอีกแล้ว”
โม่เจ๋อเอ่อร์…ชื่อค่อนข้างคุ้นหู
อัศวินเกราะเงินพึมพำเสียงเบา พยายามเค้นสมองเพื่อค้นหาความทรงจำดังเศษเสี้ยวดวงดาวนั้นออกมา
“เหตุใดจึงมาปลุกข้าเร็วเพียงนี้ เพิ่งจะนอนไปมิถึงครึ่งชั่วยาม…แค่ก!”
โม่จ้านอ้าปากหาวก้าวออกจากประตูกระโจมด้วยท่าทางสะลึมสะลือ ครั้นเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าที่ทำให้คนจดจำได้เป็อย่างดีพลันรีบหดหัวกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
อัศวินประสาทที่ถือว่าตนเองเป็ประธานจอมเผด็จการผู้นั้น ชื่อว่าอันใดนะ? เหมือนจะ…เจียนั่ว?
ครั้นเจียนั่วเห็นหน้าโม่จ้าน ั์ตาพลันหรี่เล็กลงในเสี้ยววินาทีอย่างมิอาจสังเกต เพียงแต่เดิมทีใบหน้าก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ผู้อื่นจึงมิอาจจับสังเกตได้แต่อย่างใด
โม่จ้านรีบสวมอาภรณ์อย่างรวดเร็ว นำเกราะที่ถูกโยนทิ้งไว้ด้านข้างเป็เวลาหลายวันมาสวมลงบนกายตนให้เรียบร้อย หลังแต่งกายทั้งตัวเสร็จเรียบร้อย โม่จ้านจึงค่อยคว้ากริชแล้วเดินออกมาด้านนอก
“…ข้าเคยบอกแล้วว่าจะมิเข้าร่วมทหารองครักษ์ อีกทั้งยังลำบากใจที่เ้าฝืนตามมาถึงที่นี่”
สายตาและน้ำเสียงของโม่จ้านมีความรังเกียจ มิต่างกับดาราดังเห็นปาปารัสซี่ที่คอยตามติด
“…นี่เป็เื่บังเอิญ”
บนใบหน้าไร้ความรู้สึกของเจียนั่วปรากฏสีหน้าหมดคำจะพูดอย่างพบเห็นได้ยากนัก
“ภายในป่ามีสัตว์ปีศาจร่างกวางขั้นหกออกเคลื่อนไหว ข้ารับคำสั่งจากท่านเ้าเมืองให้ออกมาตระเวนตรวจด้านนอกและคุ้มกันนักผจญภัย พวกเ้ารีบกลับเข้าเมืองโดยเร็วสักหน่อยเถิด”
สัตว์ปีศาจร่างกวางขั้นหก? โม่จ้านมองไปทางลาถีเท่อ ผู้ที่อยู่ด้านหลังพยักหน้าอย่างแฝงความหมาย
“เอาเถิด พวกเรากลับไปก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว”
โม่จ้านเก็บสัมภาระพลางพยายามหาเื่พูดคุยกับลาถีเท่อทั้งที่มิมีเื่จะคุย
“มีอัศวินคอยคุ้มกัน ต่อให้เจอมันก็มิต้องกลัวแล้ว”
“อัศวินกลุ่มเล็กๆ สี่คน รวมกับจอมเวทระดับกลางทางนั้น ข้ารับรองได้ว่าพวกเราจะต้องออกจากป่าอย่างปลอดภัยแน่นอน”
เจียนั่วสวมหมวกเกราะ ชี้ไปทางเก๋อจือที่อยู่ด้านข้าง น้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้งดังมาจากด้านหลังหมวกปกปิดใบหน้า
แน่นอนว่าโม่จ้านมิมีความเห็นใด ตนยินดีจะแสร้งทำเป็ประชาชนคนธรรมดา เป็ปลาเค็มที่มิต้องกังวลสิ่งใดตัวหนึ่ง
ระหว่างทาง โม่จ้านพยายามแสดงฝีปากด้านการเจรจาธุรกิจอย่างสุดความสามารถโดยการสอดแทรกมุขตลกกับอัศวินติดตามมิกี่คนนั้น มิเพียงพลันนานสนิทสนมกันเสียแล้ว โม่จ้านประเดี๋ยวหยอกล้อเก๋อจือ ประเดี๋ยวพูดจาไร้สาระกับลาถีเท่อ มีเพียงเจียนั่วที่ถูกหมางเมินอยู่ด้านข้างเพียงลำพัง กระทั่งเก๋อจือผู้ใสซื่อยังััได้ถึงความผิดปกติและมองไปทางลาถีเท่อด้วยสีหน้างงงวย
ลาถีเท่อกระทุ้งโม่จ้าน แอบโน้มกระซิบข้างหูว่า “ข้าว่านะ เ้าจงใจใช่หรือไม่?”
“อืม ใช่แล้ว”
โม่จ้านยอมรับอย่างมิหวาดหวั่นเช่นนี้ กลับทำให้ลาถีเท่อมิรู้จะเลือกอย่างไร
“ข้าเพียงอยากให้เขาเห็นว่าต่อให้ข้ามิกินข้าวหลวงก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขยิ่ง”
“...ห๊ะ? ห๋า?”
ลาถีเท่อหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก การโต้ตอบด้วยความคับแค้นใจเหมือนกับเด็กน้อยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าเจียนั่วได้ยินคำพูดของโม่จ้าน เขาอ้าปากคล้ายอยากจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่าสุดท้ายยังคงมิเปล่งเสียงใดออกมา ระหว่างเดินทาง เจียนั่วอ้ำอึ้งคล้ายอยากจะเอ่ยสิ่งใดอยู่หลายครั้ง ทว่าท้ายที่สุดยังคงมิเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
......
“โม่เจ๋อเอ่อร์ ถึงแม้ข้าจะมิรู้ว่าระหว่างเ้ากับเขาเกิดเื่อันใดขึ้น ทว่าอย่างน้อยเจียนั่วก็คุ้มกันส่งพวกเรากลับมา ทำเช่นนี้มิค่อยดีกระมัง?”
ภายใต้การชี้แนะของโม่จ้านขณะกำลังย่อหม่าปู้[1] ศูนย์ถ่วงของลาถีเท่อมิค่อยมั่นคงนัก
“ผู้ที่อาศัยตำแหน่งของตนจิกหัวผู้อื่นเช่นนั้น เป็ผู้ที่ข้าเกลียดมากที่สุด”
โม่จ้านนำมือของลาถีเท่อยื่นไปข้างหน้าในระดับไหล่ ส่วนตนก็ย่อกายอยู่ด้านข้างเช่นกัน
“...มิใช่เื่ปกติหรืออย่างไร? มิเช่นนั้นผู้คนจะแย่งชิงอำนาจกันไปเพื่อเหตุใด”
สายตาของลาถีเท่อเบนออกห่าง มองไปยังอาทิตย์อัสดงที่กำลังคล้อยต่ำลง
“คนทั่วไปอยากกลายเป็ชนชั้นสูง นั่นก็เพื่อจะได้ใช้ชีวิตสังคมชั้นสูง เสพสุขกับชีวิตที่มีที่ดินพระราชทาน กำลังทหารส่วนตัวและบ่าวรับใช้”
เหอะ เป็เื่ปกติมาก โม่จ้านนิ่งเงียบมิเอ่ยสิ่งใด
“กลายเป็ทหารรับจ้างทำภารกิจให้สำเร็จ สร้างกลุ่มทหารรับจ้างของตนเอง จากนั้นพึ่งพาอาศัยกิลด์ ยอมสวามิภักดิ์ต่อชนชั้นสูง หรืออาจจะตั้งตระกูลของตนเองเนื่องจากได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากการสร้างความดีความชอบในสนามรบ นี่ก็คือจุดมุ่งหมายของทหารรับจ้างอิสระทุกคน”
ลาถีเท่อถอนหายใจก่อนหันไปมองโม่จ้าน
“โม่เจ๋อเอ่อร์ จุดมุ่งหมายของเ้าคืออันใด”
“ฮ่าๆๆ เหล่าทหารรับจ้างของที่นี่ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้? ข้ารู้สึกว่าตนเป็พวกแปลกแยกเสียแล้ว”
โม่จ้านหัวเราะออกเสียง ใช้สายตาหยอกล้อมองไปทางลาถีเท่อ
“...เดิมทีข้าคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเราใกล้ชิดกันมากแล้วแท้ๆ นึกมิถึงว่าเ้าจะยังหยั่งเชิงข้า”
ลาถีเท่อปฏิเสธในทันที เขาจดจ้องดวงตาของโม่จ้านอย่างเอาจริงเอาจัง
“มิใช่ ข้าเพียงคิดว่า เ้ามิเหมือนผู้ที่หางานทำเพื่อหาเงินเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงมิอาจจัดประเภทของเ้า”
บังเอิญว่าข้าเป็เช่นนั้นจริงๆ โม่จ้านย้อนถามลาถีเท่ออย่างนึกสนใจ “เ้าอาศัยสิ่งใดถึงคิดว่าข้ามิเหมือน?”
“...เอ่อ ลางสังหรณ์กระมัง ความจริงแล้วมิใช่งั้นหรือ? หากเ้าอยากใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ เ้าสามารถทำได้อย่างง่ายดายนัก”
โม่จ้านชะงักงัน หลุดยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ “จิ๊ ผู้ที่มีสาเหตุให้มิอาจไปเข้าร่วมกลุ่มอัศวิน แท้จริงแล้วมิได้มีเพียงเ้าผู้เดียว”
สีหน้างงงวยของลาถีเท่อเด่นชัดกว่าเดิมเสียแล้ว “หรือว่าเ้าเป็นักโทษที่อาณาจักรอื่นประกาศจับ? ดูเหมือนจะมิใช่”
โม่จ้านอมยิ้มมิเอ่ยสิ่งใด มิได้ปฎิเสธและมิได้พยักหน้า
“ข้าน่ะนะ มิแน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะถูกลอบสังหาร ดังนั้นหากจะพูดถึงจุดมุ่งหมาย ข้าหวังว่าจะหาสถานที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขสักแห่ง”
ลาถีเท่อพยักหน้าอย่างใช้ความคิด เขามิได้แสดงออกถึงความประหลาดใจแต่อย่างใด “ถ้าเช่นนั้นข้ายิ่งต้องติดตามเ้าแล้ว”
โม่จ้านเลิกคิ้ว “เ้ามั่นใจ? เ้าคุ้นเคยกับงานในกิลด์มากกว่า อีกทั้งยังสบายกว่ามิน้อยกระมัง”
“แต่หากพึ่งกิลด์ก็มิอาจปกป้องเก๋อจือ ถึงขั้นมิอาจปกป้องกระทั่งตัวข้าเอง”
ลาถีเท่อจ้องมองโม่จ้าน ภายในแววตาแฝงความหมายที่เก็บซ่อนไว้ในใจ
โม่จ้านหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก ขณะมิทันรู้เนื้อรู้ตัว ตนกลับถูกลาถีเท่อเอาชนะโดยมิทันตั้งตัวเสียแล้ว --- โม่จ้านเอ่ยกับปากว่าตัวตนของตนเป็อันตรายอย่างมาก หากสามารถหาสถานที่ตั้งตัวได้ เก๋อจือกับลาถีเท่อก็จะสามารถตั้งหลักปักฐานได้เช่นกัน ส่วนสถานที่แห่งนี้จะเป็แดนในฝัน ์สูญหรือคุก ลาถีเท่อมิได้แยแสแต่อย่างใด
ในสายตาของลาถีเท่อมีความเป็ผู้ใหญ่ที่มิเข้าอายุ ดวงตาที่จดจ้องโม่จ้านตรงๆ คล้ายอัญมณีสีน้ำเงินเข้ม ส่องประกายสีม่วงเข้มภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงสีส้ม โม่จ้านคุมเชิงอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดทำได้เพียงเลือกประนีประนอม
“...เอาเถอะ ภายหน้าจะเกิดเื่ใดขึ้นข้าเองก็มิรู้ อาจจะมิรอให้ไปถึงรังสงบสุขกลับสิ้นชีพอยู่กลางทางเสียก่อน”
ขณะมองโม่จ้านยกยิ้มขมขื่น มุมปากของลาถีเท่อกลับหยักยกเป็องศาแห่งชัยชนะ
เชิงอรรถ
[1] หม่าปู้ 马步 คือการฝึกพื้นฐานวิชากังฟูโดยการเปิดปลายเท้า 15 องศา ความกว้างของเท้าเท่ากับไหล่ทั้งสองข้าง จากนั้นค่อยๆ ย่อเข่าลง จุดมุ่งหมายเพื่อการฝึกแรงขาและกำลังภายใน