ร่องรอยของน้ำภายในรังนกอินทรีสายฟ้าถูกโม่จ้านที่ย้อนกลับมาใช้คัมภีร์เวทธาตุลมเป่าจนแห้ง มิทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย อีกทั้งทักษะการสื่อสารของเ้าลูกนกอินทรีอ่อนโรยแรงตัวน้อยก็ยังมิเพียงพอจะเอ่ยฟ้องประสบการณ์อันเลวร้ายที่ประสบพบเจอเมื่อยามบ่ายแก่พ่อผู้คอยให้ความช่วยเหลือของพวกมัน ครั้นนกอินทรีใหญ่กลับรัง อย่างมากก็เพียงสงสัยว่าเหตุใดเ้าพวกตัวเล็กจึงหิวจนมีสภาพย่ำแย่เพียงนี้
เวลาอาหารเย็น โม่จ้านประกาศอย่างชัดเจนว่าจะมิเป็ฝ่ายออกความคิด อีกทั้งยังเพิ่มเงื่อนไขเก๋อจืออีกหนึ่งข้อ --- จับนกอินทรีสายฟ้าตัวโตเต็มวัย
ท้ายที่สุดเก๋อจือที่บนหน้าเขียนคำว่ามิยินยอมเอาไว้ยังคงยอมจำนนให้กับโม่จ้านที่ “หลงมัวเมาในอำนาจ” และเริ่มเปลี่ยนแผนทำศึกกลับไปกลับมากับลาถีเท่อ คนทั้งสองล้อมกองไฟพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ทางด้านโม่จ้านเอาแต่กอดอกเงียบฟังอยู่ด้านข้าง
หากจะวาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า[1]ก็เลิกคิดไปเสียเถอะ สติปัญญาของอินทรีโตอยู่ในมาตรฐานของปีศาจภูติ สามารถสำรองพลังเวทของตนอย่างแม่นยำ มิมีทางปล่อยพลังสายฟ้าซี้ซั้ว และสิ่งที่เป็ปัญหามากที่สุดคืออินทรีสายฟ้าบินได้ หากความสามารถด้อยกว่าคู่ต่อสู้อย่างชัดเจน มีความเป็ไปได้สูงว่ามันจะหนีไปอย่างรวดเร็ว ส่วนมนุษย์ก็ทำได้เพียงยืนมองตาปริบๆ อยู่ที่ตรงพื้นดินด้านล่าง
การเอาตัวไปขัดไว้กับซอกหินบนหน้าผาเหมือนโม่จ้านนับเป็วิธีประหยัดพลังเวทที่ดีที่สุด แต่ทว่าการต่อสู้บนหน้าผามิเหมาะกับเก๋อจริงอย่างเห็นได้ชัด --- ด้วยภาควิชาที่เก๋อจือจบการศึกษาคือธาตุไฟ ธาตุลมเป็เพียงภาควิชาเสริมเท่านั้น การใช้พลังเวทธาตุลมงูๆ ปลาๆ ส่งโม่จ้านขึ้นไปกลางอากาศภายใต้สถานการณ์ปลอดภัยก็ยังต้องฝืนพยายาม แล้วหากเจอเหตุการณ์ใดกลางอากาศเล่า? หากเก๋อจือเกิดพลั้งเท้าตกลงไป จะร่ายเวททันหรือไม่ยังเป็ปัญหาด้วยซ้ำ
คนทั้งสองหารือกันครึ่งค่อนวัน ยังคงคิดว่าควรล่ออินทรีสายฟ้าลงมาบนพื้นเสียก่อนเป็วิธีที่น่าวางใจที่สุด ลาถีเท่อล้วงหยิบพู่กันกับกระดาษออกมา เขียนสิ่งที่คนทั้งสองคิดเรียงเป็ลำดับ จากนั้นเริ่มถกถึงความเป็ไปได้ทีละข้อ
เดิมทีโม่จ้านทำเพียงกอดอกฟังเ้าเด็กสองคน “ประชุมแผนการทำศึก” ด้วยความสนใจใคร่รู้ ทว่าเมื่อได้ฟังอยู่ครู่หนึ่งกลับต้องตกตะลึงเสียแล้ว
เป้าหมายของ “การประชุมแผนการ” มีแค่เก๋อจือเพียงผู้เดียว ทว่าระดับความเข้าใจและการให้ความร่วมมือของลาถีเท่อทำให้ภายในใจของโม่จ้านรู้สึกทึ่ง หรือก็คือทำให้โม่จ้านมิอาจมิมองเ้าเด็กเผ่าหมานที่สุภาพอ่อนโยนผู้นี้ใหม่ --- ข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกะทันหัน รวมไปถึงผลลัพธ์ที่ตามมาล้วนแต่ถูกเขาวิเคราะห์จัดเรียงเป็แถว หลังเปรียบเทียบก็ลองร่างแผนการอย่างละเอียด ส่วนระดับความเข้าใจนั้น ทำให้โม่จ้านรู้สึกเหมือนอยู่ในคลาสสอนกลยุทธ์ในโรงเรียนนายร้อย
“เอ่อคือ...ขออภัย ข้าอยากขัดจังหวะสักหน่อย”
โม่จ้านยกมือขึ้นเงียบๆ ท่าทางมิต่างกับผู้เรียนที่ฟังการบรรยายในชั้นเรียน
“ลาถีเท่อ เ้าไปเรียนเื่พวกนี้มาจากที่ใด...”
“อ่า ในการประชุมกิลด์ทุกครั้ง ข้ามักจะไปแอบฟังอยู่หน้าประตู” ลาถีเท่อเกาหัวอย่างเขินอาย “ช่องทางและวิธีการข้าต่างก็ขโมยความคิดมาจากพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่เ่าั้ สำหรับเ้าคงจะรู้สึกว่าอ่อนต่อโลกมากกระมัง”
ไม่ๆๆ ไม่เลยสักนิด มิสู้บอกว่า “นักฆ่า” ที่มาจากต่างโลกควรจะเรียนรู้จากเ้าให้มากจึงจะถูก...
โม่จ้านจดจ้องลาถีเท่อมิวางตา จ้องจนกระทั่งผู้อื่นขนลุกขนชันถึงเสนอหนึ่งความเห็นที่อีกฝ่ายฟังแล้วคิดว่า “นอกรีต” อย่างยิ่ง
“เ้าฉลาดถึงเพียงนี้ กิลด์มิให้โอกาสเ้าได้เข้าไปเรียนรู้สักหน่อยเลยงั้นหรือ?”
คำชมมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ลาถีเท่อกลับรู้สึกเหนียมอายอยู่บ้าง เขาเงยหน้าขึ้นอธิบายให้โม่จ้านฟังอย่างเอาจริงเอาจัง
“สิ่งที่ข้ารู้มีเพียงลู่ทางที่ไม่ถูกต้อง ล้วนแต่เป็ประสบการณ์ที่คนในกิลด์สั่งสมมา วิชาวางกลยุทธ์สู้รบอย่างเป็ระบบนั้นยิ่งใหญ่มาก มีเพียงอัศวินกับนักรบของฐานฝึกร่วมเท่านั้นจึงจะได้เข้าเรียนอย่างเป็ทางการ”
เอาเถอะ มิต่างอันใดกับจอมเวท
โม่จ้านคิดอยากจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนวิทยานิพนธ์สักเล่มหนึ่ง ให้ชื่อว่า 《ผลกระทบของการปิดกั้นแหล่งความรู้ที่มีต่อชนชั้นล่างโดยสังเขป》 ลาถีเท่อที่มิรู้วิชาเวทเข้าใจถึงประสิทธิผลของวิชาเวทมิน้อยทีเดียว ถึงขั้นกล่าวได้ว่าสามารถพูดคุยหารือกับเก๋อจือได้ ทว่าสุดท้ายก็ยังคงถูกพวกสายอาชีพหลักกีดกันอยู่ดี
โม่จ้านถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อุทานกับตนเองหนึ่งประโยคว่า
“เ้าพวกโง่กิลด์นักดาบพเนจร เสียดายผู้มีพร์ด้านกลยุทธ์เช่นนี้จริงเชียว...”
ด้วยจิตใจที่รักและถนอมผู้มีความสามารถ โม่จ้านลอบตัดสินใจว่าจะต้องบ่มเพาะลาถีเท่อให้ดี
ก่อนนอน การหารือที่มินับว่าดุเดือดเป็อันสิ้นสุดลง กลยุทธ์ขั้นแรกที่คนทั้งสองคิดคือใช้สิ่งมีชีวิตล่ออินทรีสายฟ้าลงมาบนพื้น จากนั้นร่ายเวทคุกไฟขังเอาไว้อย่างมั่นคง ประกอบกับใช้พายุไฟเผาขนอินทรีสายฟ้าให้หลุดออกมาส่วนหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้มันมิอาจบินสูงเกินไปแล้วทำการจับตัว หากคุกไฟสามารถยื้อเวลาได้มากพอ รอกระทั่งร่ายเวทหินอุกกาบาตสำเร็จ คงจะสามารถจับอินทรีสายฟ้าที่ถูกทุบเจียนตายได้
ถึงแม้โม่จ้านจะมิแสดงความเห็นใด ทว่าแท้จริงแล้วลาถีเท่อแอบเหลือบมองสีหน้าของอีกฝ่ายอยู่ตลอด หากเห็นว่าหัวคิ้วของโม่จ้านขยับเล็กน้อย ลาถีเท่อพลันรู้แล้วว่ากลยุทธ์นี้จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน หลังเด็กหนุ่มเผ่าหมานคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาก็ยังนึกมิออกว่ามีปัญหาที่ส่วนใด
“โม่เจ๋อเอ่อร์ มีส่วนใดมิสมเหตุสมผลหรือไม่?” ลาถีเท่อถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนมองไปทางโม่จ้านที่หน้านิ่วคิ้วขมวด
โม่จ้านเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “หากจะจับอินทรีสายฟ้า กลยุทธ์มินับว่ามีปัญหาใหญ่อันใด เพียงแต่คล้ายว่าพวกเ้าจะลืมไปเสียแล้วว่าจุดประสงค์ของพวกเราคือ...”
ลาถีเท่อกับเก๋อจือสบตากัน ทันใดนั้นพลันได้สติกลับมา --- ภารกิจจบการศึกษาคือนำขนอินทรีสายฟ้ากลับไป มิใช่การจับอินทรีสายฟ้ากลับไปหนึ่งตัว หากเผาขนอินทรีสายฟ้าจนเกลี้ยงโดยมิทันระวัง เช่นนั้นมิเท่ากับเสียแรงเปล่างั้นหรือ?
ท่ามกลางอากาศเงียบสงัดทันใด บรรยากาศประหลาดล้อมรอบกายพวกเขาทั้งสามคน
“มิรู้ว่าถ้าจับอินทรีสายฟ้ากลับไปจะใช้การได้หรือไม่...” เก๋อจือบ่นพึมพำเสียงเบาด้วยความขัดเคืองใจ
โม่จ้านกุมขมับ “...ข้ามิคิดว่าพวกเ้าพกอุปกรณ์ล่าสัตว์มาด้วย”
“ง่ายดายนัก พวกเราเพียงกลับไปซื้อ---”
เก๋อจือมองไปทางโม่จ้านด้วยความฮึกเหิม ทว่ากลับต้องหดตัวกลับมาเพราะเจอสายตาเ็าของอีกฝ่ายอีกครั้ง
ลาถีเท่อมองร่างแผนการตรงหน้าแล้วเริ่มเหม่อลอย ตนคิดแผนการอยู่ครึ่งค่อนวัน ล้วนแต่คิดตามวิชาเวทธาตุไฟที่เก๋อจือถนัดทั้งสิ้น แต่คล้ายกับขนอินทรีสายฟ้าที่เป็เป้าหมายจงใจจะเป็ศัตรูกับเวทธาตุไฟอย่างไรอย่างนั้น มิว่าจะทำอย่างไรล้วนเสี่ยงจะเปล่าประโยชน์ หากคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงมิให้หน้าดำอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นคงทำได้เพียงใช้วิชาพื้นฐานอย่างธนูไฟหรือลูกไฟเข้าโจมตี กระนั้นด้วยระดับความว่องไวของอินทรีสายฟ้า ยังมิทันร่ายเวทก็คงบินหนีหายไร้เงาไปเสียแล้ว
เก๋อจือก็ท้อใจเช่นกัน --- หากเป็จอมเวทระดับสูง การร่ายเวทพื้นฐานเหล่านี้ภายในพริบตาล้วนมิเป็ปัญหา ทว่าหากตนเป็จอมเวทระดับสูงจริง ตนคงไปเป็ศาสตราจารย์ในสถาบันเวทมนตร์เสียนานแล้ว มีหรือจะต้องกังวลเื่ภารกิจจบการศึกษา
โม่จ้านหยัดกายลุกขึ้นพลางอ้าปากหาว ย้ายตัวเองไปทางกระโจม “...หากจำเป็ต้องใช้การข้าค่อยปลุกข้าก็แล้วกัน”
“...เชอะ มิช่วยอันใดสักอย่างจริงเชียว” เก๋อจือมองแผ่นหลังโม่จ้านแล้วกรอกตาขาว
ลาถีเท่อมิตอบกลับ ภายในใจเอาแต่ใคร่ครวญหนึ่งปัญหา เวทไฟที่เก๋อจือเชี่ยวชาญมิเหมาะจะนำมาจับอินทรีสายฟ้า กระนั้นเวทธาตุลมที่รู้เพียงงูๆ ปลาๆก็มิมีความสามารถมากพอจะจับอินทรีสายฟ้าเช่นกัน โม่เจ๋อเอ่อร์กล้าโยนคัมภีร์เวทเข้าไปเช่นนั้น หมายความว่ามั่นใจแล้วว่าลูกอินทรีสายฟ้ามิมีความสามารถในการเคลื่อนที่ มิอาจปล่อยสายฟ้าใส่ผู้ที่เกาะอยู่นอกถ้ำ
หรือจะบอกว่าการควบคุมการเคลื่อนไหวของอินทรีสายฟ้าจึงจะเป็สิ่งสำคัญที่สุด..
เก๋อจือที่อยู่ด้านข้างรู้สึกเบื่อหน่ายและเริ่มหาวเป็รายต่อไปเช่นกัน
รอกระทั่งลาถีเท่อได้สติกลับมา พบว่าเก๋อจือได้เอนพิงตนหลับไปเสียแล้ว ลาถีเท่อหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก ขณะคิดอยากจะประคองเก๋อจือไปนอนในกระโจม ผลคือเก๋อจือพลันเอนศีรษะนอนหนุนต้นขาตน อีกทั้งยังละเมอออกมามิกี่ประโยค ทำเอาลาถีเท่อเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
“...ให้ข้านอนอีกสักหน่อย...ลาถีเท่อ เ้ามิต้องไปเรียนสักหน่อย...”
เห็นทีเก๋อจือคงจะนอนจนเลอะเลือนเสียแล้ว ยังนึกว่าลาถีเท่อกำลังจะปลุกตน ลาถีเท่อมิอยากปลุกเก๋อจือจึงปล่อยเขาไป คล้ายกับเก๋อจือจะนอนมิสบายอย่างยิ่ง หลังขยับถูไถอยู่บนต้นขาลาถีเท่อครึ่งค่อนวัน เขายังคงเลือกท่านอนเงยหน้าขึ้นฟ้า
ลาถีเท่อกลั้นหายใจ จ้องมองสหายสนิทที่นอนอยู่บนต้นขาของตน
เดิมทีใบหน้าของเก๋อจือก็งามประณีต เมื่ออยู่ใต้แสงไฟยิ่งสว่างสดใส แพขนตายาวหนา มองดูแล้วริมฝีปากบางและยืดหยุ่นอย่างมากขยับเป็ครั้งคราว คงจะฝันว่ากำลังได้กินของอร่อยอันใดอยู่
ลาถีเท่อเริ่มหัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด เด็กหนุ่มเผ่าหมานใช้ปลายนิ้วแตะแก้มของเก๋อจือแ่เบา ััทั้งนุ่มและเรียบลื่น มิต่างอันใดกับเด็กทารกเพิ่งลืมตาดูโลก
ััที่ได้รับจากปลายนิ้ว ิัของลาถีเท่อเริ่มร้อนระอุ ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็หอบหนักขึ้นเช่นกัน
อยากจะกดผู้ที่อยู่ตรงหน้าลงใต้ร่างแล้วกลืนกินจนถึงที่สุดเหลือเกิน...
เด็กหนุ่มเผ่าหมานถูกความคิดของตนทำเอาสะดุ้งใ เขารีบส่ายหน้า พยายามเอาสมาธิไปจดจ่อกับอินทรีสายฟ้า แต่ทว่ากลับมิเป็อย่างที่คิด ลาถีเท่อที่จิตใจฟุ้งซ่านมิมีกะจิตกะใจจะสนใจเื่ล่าสัตว์อีกต่อไป ภายในหัวล้วนเต็มไปด้วยใบหน้าของเก๋อจือ
หลังต่อสู้กับจิตใจอย่างดุเดือนเป็เวลาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเด็กหนุ่มเผ่าหมานก็ทำเื่บุ่มบ่ามที่สุดเท่าที่เคยทำมา --- ริมฝีปากแห้งผากของลาถีเท่อเล็งริมฝีปากชุ่มชื้นของเก๋อจืออย่างแม่นยำ แตะัับางเบามิต่างกับแมลงปอเดินบนผิวน้ำ
เก๋อจือหลับสนิทยิ่งนัก มิได้รับรู้ถึงััผิดปกติแต่อย่างใด ลาถีเท่อเพ่งพินิจใบหน้าของเก๋อจือ รู้สึกว่ามิว่าจะมองอย่างไรก็มิพอ
หากภายหน้าเ้ากลายเป็จอมเวทระดับสูง ข้ามีแต่จะห่างไกลกับเ้ามากขึ้นเรื่อยๆ กระมัง...
เชิงอรรถ
[1] วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า 照葫芦画瓢 หมายถึงการลอกเลียนแบบ