ยังคงเป็ยามบ่ายที่แสงอาทิตย์เจิดจ้าอีกวัน หน้าผาสูงชันที่อยู่ห่างไปมิไกลถูกตะวันสาดส่อง เผยสีน้ำตาลอ่อนอบอุ่นออกมา พื้นดินเปียกชุ่มและอากาศชื้นถูกสายลมพัดกระจายหายไปบางส่วน ทำให้โม่จ้านที่คุ้นชินกับความแห้งรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
หลังบิดเอวไล่ความเกียจคร้านหลังเดินออกมาจากกระโจม โม่จ้านจึงเริ่มเตรียมอาหารเช้า ลาถีเท่อลากเก๋อจือออกไปั้แ่เช้าตรู่ ทำตัวลับๆ ล่อๆ มิรู้ว่าจะทำอันใด
จะว่าไปแล้วก็ประหลาด ทั้งๆ ที่มีชื่อว่าป่ากวางอูฐ กระนั้นพวกโม่จ้านอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว นอกจากหนู หนอนและกิ้งก่าที่เป็สัตว์เล็ก อย่าว่าแต่กวางอูฐ กระทั่งสัตว์ที่ใหญ่กว่านี้สักหน่อยก็ยังมิได้เห็นสักตัว
ขณะมองเนื้อหมูสามชั้นบนแผ่นเหล็กถูกย่างจนส่งเสียงซี่ๆ โม่จ้านหยิบกระปุกใส่เนยวางลงด้านข้าง จากนั้นหยิบผักสดล้างสะอาดวางลงบนแผ่นขนมปัง
ถึงแม้ตนจะมาอยู่ต่างโลกได้มินาน ทว่าก็เริ่มคุ้นชินกับวิธีการกินอาหารของที่นี่แล้ว เอ่ยตามตรง หลังผ่านประสบการณ์หลบหนีการปะาและหลบแมวในป่าอย่างอกสั่นขวัญแขวนแล้ว โม่จ้านมิได้รู้สึกเกลียดสภาพที่เป็อยู่ตรงหน้าแต่อย่างใด --- มีให้กินให้ดื่ม มีงานให้ทำเพื่อหาเงิน รอกระทั่งมีฐานะทางสังคมก็จะสร้างบ้านไม้หลังเล็กตรงชายป่า ปลีกตัวออกห่างจากโลกวุ่นวายและสร้างความสุขด้วยตนเอง น่าพอใจมิน้อยทีเดียว
หากเป็ไปได้ การใช้ชีวิตในป่าต่อไปก็มิเลวเช่นกัน...ซะที่ไหนเล่า!
โม่จ้านฝันกลางวันยังมิทันจบ สัญชาตญาณต่ออันตรายที่บ่มเพาะมานานปีกำลังส่งเสียงร้องในสมอง ตนพุ่งตัวไปด้านข้างฉับพลันโดยปฏิกิริยาตอบสนอง ลูกศรน้ำแข็งแหลมคมดอกหนึ่งพุ่งเฉียดใบหูโม่จ้าน ก่อนจะปักลงบนพื้นเสียงดัง “ฉึก”
มิทันได้แขวะสถานการณ์เดจาวู โม่จ้านพลันพลิกตัวลุกขึ้นก่อนคว้ากระบี่บนโต๊ะมาไว้ในมือ
“มารดามันเถอะ นี่มันของห่วยแตกอันใด...”
ดวงตาทั้งสองข้างของโม่จ้านเบิกโพลง มองสัตว์ประหลาดลักษณะคล้ายกวางอูฐเบื้องหน้าที่สูงประมาณครึ่งตัวเขา หนังศีรษะถึงกับขึงตึง
หากจะบอกว่าสัตว์ตรงหน้าเป็อูฐ โม่จ้านที่อยู่ในโลกก่อนคงมิมีทางยอมรับอย่างแน่นอน แม้มันจะหน้าตาเหมือนกวางอูฐ กระนั้นทั้งตัวกลับถูกกรวดน้ำแข็งปกคลุมและมีไอเย็นสีขาวแผ่ออกมา กระทั่งเขาที่มีลักษณะคล้ายกิ่งไม้ยังถูกห่อหุ้มด้วยชั้นน้ำแข็ง ดวงตาคู่หนึ่งที่จดจ้องโม่จ้านมิใช่สีน้ำตาลหรือสีดำธรรมดาทั่วไป แต่กลับเป็สีแดงแปลกประหลาด
...นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าสัตว์ปีศาจหรือ
โม่จ้านกำกระบี่ในมือแน่น จดจ่อกับทุกการกระทำของสัตว์ประหลาด
เมื่อเห็นว่าลอบโจมตีมิสำเร็จ สัตว์ประหลาดพลันร้องคำรามเสียงดัง ตามด้วยก้มหน้าลงพุ่งตรงมาทางโม่จ้าน โม่จ้านมิกล้าฝืนต้าน ในชั่วเสี้ยววินาทีที่มันพุ่งมาตรงหน้า โม่จ้านพลันเบี่ยงหลบไปด้านข้าง หลังจากนั้นใช้กระบี่ในมือฟันไปทางขาของสัตว์ประหลาด กระบวนท่านี้ใช้สำหรับต่อกรกับสัตว์และมนุษย์รูปร่างใหญ่โดยเฉพาะ เนื่องจากพวกเขาหันตัวกลับมามิสะดวก สัตว์ประหลาดจำต้องยอมรับความเสียเปรียบนี้
หลังจากนั้นคือเสียงดัง “เคล้ง” ง่ามนิ้วของโม่จ้านะเืจนเจ็บ ทว่าขาของสัตว์ประหลาดกลับมิเป็อันใดแม้แต่น้อย โม่จ้านเข้าใจทันใด เหนือิับนขาของสัตว์ประหลาดมีน้ำแข็งปกคลุมเป็ชั้นหนาทีเดียว คาดว่ากระบี่คงยากจะฟันทะลุในคราเดียว
หลังสัตว์ประหลาดชนเครื่องครัวล้มระเนระนาดพลันหันกลับมาทันใด ยังคงพุ่งเข้าใส่โม่จ้านอีกครั้ง
โม่จ้านะโหลบไปด้านข้าง ทว่าความรู้สึกเจ็บที่ส่งมาจากหน้าอกกลับเตือนสติตนว่าอีกฝ่ายมิช่สัตว์ที่โง่ซื่อเช่นนั้น โม่จ้านคลำเกราะที่ถูกกรีดชำรุดของตนโดยสัญชาตญาณ โม่จ้านจึงได้ประสบกับตนเองว่ามิอาจใช้หลักการธรรมดาทั่วไปมาต่อกรกับสัตว์ปีศาจ --- เืที่ไหลซึมออกมาแสดงให้เห็นว่าาแมิตื้น แต่ทว่าตนมั่นใจอย่างมากว่าหลบพ้น เหตุใดจึงยังาเ็ได้อีก?
เช่นนั้นปัญหาคงอยู่ที่ตรงนั้นสินะ...
โม่จ้านย่อกายเตรียมระวังพลางมองสำรวจเขากวางที่ฉาบด้วยน้ำแข็งอย่างละเอียด ซึ่งเป็ไปตามคาด เดิมทีเขากวางนั้นแตกแขนงซับซ้อน ขณะวิ่งด้วยความเร็วจะมีไอน้ำแข็งแหลมคมห้อมล้อม ทำให้ขอบเขตการโจมตีของเขากว้างกว่าที่ตามองเห็น
หลังโม่จ้านคำนวณระยะการเว้นความห่าง การหลบหลีกตามมาจึงสามารถหลบได้โดยไร้อาการาเ็ ครั้นเห็นว่ามนุษย์ตรงหน้ามิหลงกลวิธีนี้ สัตว์ประหลาดหยุดอยู่ที่เดิมหลังกระโจนเข้าใส่ ขณะมองลมหายใจที่ถูกผ่อนออกมาของเ้ากวาง โม่จ้านกลับยิ่งระแวดระวังมากกว่าเดิมพลางกระชับกระบี่ในมือไว้มั่นอีกครั้ง
ทันใดนั้นโม่จ้านพลันได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านหน้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็เคร่งขรึมทันใด --- ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน เก๋อจือกับลาถีเท่อกลับมาในเวลาเช่นนี้เสียแล้ว
หากโม่จ้านรับมือเพียงลำพัง ต่อให้สู้มิได้ก็ยังพอจะหนีไปได้ ทว่าหากต้องพาเด็กสองคนไปด้วยคงจะเป็ปัญหามิน้อย
“โม่เจ๋อเอ่อร์ ทำกับข้าวเสร็จแล้วหรือไม่ พวกเรา---อุ๊บอื้อๆๆ!”
เสียงของเก๋อจือขาดหายไป ลาถีเท่อที่สายตาแหลมคมรีบปิดปากเก๋อจือเอาไว้ทันทีที่เห็นสัตว์ประหลาด ทว่าน่าเสียดายที่มิทันการเสียแล้ว สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกวางหันหัวกลับมาทันที เสียงศรน้ำแข็งขนาดใหญ่และหนาพุ่งออกจากปาก ลอยตรงไปทางเก๋อจือ
“หลบ!” โม่จ้านร้องะโพร้อมกับพุ่งปราดไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างกำกระบี่ฟันลงบนลำคอของสัตว์ประหลาดอย่างสุดกำลัง เกิดเป็เสียง “เคล้ง” ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าผลลัพธ์กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ชั้นน้ำแข็งบริเวณลำคอของสัตว์ประหลาดเกิดรอยร้าวอย่างเห็นได้ชัด
ความสนใจของสัตว์ประหลาดกลับมายังโม่จ้านอีกครั้ง ยกกีบเท้าหน้าขึ้นเหยียบไปทางโม่จ้าน โม่จ้านสูดหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ฝ่าเท้ามิถอยทว่ากลับเข้าประชิด กายเฉียดกีบเท้าขณะะโขึ้น คมกระบี่ตวัดครึ่งวงกลม หนึ่งเสียง “เคล้ง” ดังขึ้นอีกครั้งหลังโจมตีลงบนลำคอของสัตว์ประหลาดอย่างแม่นยำ
ตามด้วยเสียง “เปรี๊ยะ” ดังเสียดหู ชั้นน้ำแข็งที่เกิดรอยร้าวขยายตัวออกไปมิต่างกับใยแมงมุม เศษน้ำแข็งเริ่มค่อยๆ ร่วงลงมา สัตว์ประหลาดมิเคยเห็นคนเช่นโม่จ้านที่ต่อสู้อย่างมิรักชีวิตมาก่อน มันถึงกับตะลึงและหยุดอยู่ที่เดิมเป็เวลาครู่หนึ่ง มิใช่เื่ง่ายกว่าโม่จ้านจะมีเวลาว่างมาสนใจคนอีกสองคน
ศรน้ำแข็งที่หักเป็สองท่อนร่วงหล่นลงบนพื้น ลาถีเท่อกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความเ็ป มือข้างซ้ายกุมไหล่ขวาที่ได้รับความกระทบกระเทือนเอาไว้ ใต้ฝ่าเท้ามีหินเว้าทรงจานเปรอะรอยน้ำ เห็นทีลาถีเท่อคงจะใช้ก้อนหินคำยันเพื่อฝืนขวางศรน้ำแข็งเอาไว้ ทว่ามือขวาได้รับความกระทบกระเทือนจนสูญเสียการเคลื่อนไหวเป็การชั่วคราวเสียแล้ว
เก๋อจือที่เหงื่อผุดเต็มใบหน้ามิมีเวลามามัวสนใจอาการาเ็ของลาถีเท่อ ตนรีบยกคทาสั้นขึ้นมาพลางร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว
“เก๋อจือหยุด! อย่ายั่วโมโหมัน!”
การรวมตัวของธาตุไฟจะทำให้สัตว์ประหลาดรู้สึกมิปลอดภัย โม่จ้านเห็นว่าสถานการณ์มิดีจึงร้องะโออกไป หลังจากนั้นััได้ว่ากวางอูฐที่ถูกยั่วยุก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งตรงไปทางเก๋อจือ โชคดีที่โม่จ้านชิงลงมือก่อนโดยมิลังเล กระบี่คมฟันเกราะน้ำแข็งบนลำคอของสัตว์ประหลาดที่มีรอยแตกอีกครั้ง เกราะน้ำแข็งของสัตว์ประหลาดแตกไปกว่าครึ่ง จำต้องฝืนเบี่ยงทิศทางกลางคัน ร่างกายขนาดใหญ่พลิกล้มลงกับพื้นก่อนกลิ้งไปหลายตลบ
ครั้นเห็นว่ามิอาจขัดขวางการร่ายเวท ความรู้สึกเกลียดธาตุไฟแต่กำเนิดของสัตว์ประหลาดทำให้มันเริ่มกระวนกระวายและพ่นศรน้ำแข็งเล็กอีกหลายดอกใส่เก๋อจือ โชคดีที่เก๋อจือได้รับบทเรียนจากครั้งก่อนทั้งร่ายเวทไว้ล่วงหน้าแล้ว ธาตุไฟรวมตัวกันเป็ระลอกคลื่น หลอมละลายศรน้ำแข็งกลางอากาศได้สำเร็จ
โม่จ้านกำกระบี่เข้าประชิดสัตว์ประหลาดอีกครั้ง หลังคุ้นชินกับช่องทาง ตนมีความมั่นใจว่าการโจมตีครั้งต่อไปจะต้องฟันเกราะน้ำแข็งของมันจนแตกได้อย่างแน่นอน
ทว่าสัตว์ประหลาดเริ่มระแวงโม่จ้านแล้ว มันสะบัดตัวเล็กน้อย เศษน้ำแข็งบนลำคอพลันร่วงหล่นลงมา หลังเงยหน้าแผดเสียงคำรามขึ้นฟ้าก็วิ่งหายเข้าไปในป่าทันที
“ทำเอาข้าใแทบแย่ ยังนึกว่าวันนี้จะต้องทิ้งชีวิตน้อยๆ ไว้ที่นี่เสียแล้ว”
เก๋อจือทิ้งก้นลงบนพื้นแล้วเช็ดเหงื่อบนกาย
“มิใช่ป่าลึกสักหน่อย คาดมิถึงว่าจะพบกวางเกราะน้ำแข็ง ควรจะบอกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่...”
โม่จ้านนั่งลงตรงหน้าลาถีเท่อก่อนตรวจดูข้อมือของเด็กหนุ่มเผ่าหมานอย่างละเอียด หลังตรวจย้ำจนมั่นใจว่ากล้ามเนื้อเอ็นยึดเพียงบวมเพราะอาการาเ็ โม่จ้านล้วงหยิบผ้าออกมา บอกใบ้ให้เก๋อจือไปนำน้ำมาเล็กน้อย เพื่อประคบเย็นให้ลาถีเท่อ
“นี่โม่เจ๋อเอ่อร์ เ้าเป็ผู้ไล่กวางเกราะน้ำแข็งไป มิมีสิ่งใดอยากจะเอ่ยสักหน่อยงั้นรึ?” เก๋อจือยกน้ำเย็นจากลำธารขนาดครึ่งหม้อมาวางไว้ตรงหน้าลาถีเท่อ
“...เ้าตัวนี้แข็งแกร่งมาก? หากเ้ามิถูกขัดจังหวะ เวทธาตุไฟคงจะจัดการมันได้กระมัง?” โม่จ้านงุนงงอยู่บ้าง
ความเลื่อมใสในสายตาของลาถีเท่อแทบจะเอ่อล้นออกมา ทว่าเก๋อจือกลับกำหม้อน้ำทำหน้าคับแค้นใจ
“ถึงขั้นปล่อยศรน้ำแข็งได้เช่นนั้น มิแน่ว่ากวางเกราะน้ำแข็งตัวนั้นอาจจะถึงขั้นหกแล้วก็เป็ได้ เมื่อจอมเวทขั้นเดียวกันเผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจตามลำพัง หากมิมีความยับยั้งชั่งใจ มีแต่จะสิ้นชีพอย่างน่าเวทนา ข้ามิเห็นว่าก่อนหน้าพวกเ้าต่อสู้กันอย่างไร กระนั้นเมื่อดูจากการใช้กระบี่บางเพียงเล่มเดียวกลับสามารถทำให้เกราะน้ำแข็งของกวางเกราะน้ำแข็งแตก อีกทั้งยังกล้าต่อกรกับมันเป็เวลานานถึงเพียงนี้ โม่เจ๋อเอ่อร์ อย่างน้อยเ้าก็คงอยู่ในระดับหัวหน้าอัศวินรักษาการณ์แล้วกระมัง?”
โม่จ้านลูบจมูกอย่างค่อนข้างเขินอาย หวนนึกว่าปีนั้นกระทั่งหัวหน้ากลุ่มเล็กๆ ตนก็ยังเป็มิได้เสียด้วยซ้ำ
“และอีกอย่าง หากมิใช่เพราะมันวิ่งเร็ว เย็นนี้พวกเราอาจจะมีเนื้อกวางกินแล้วก็เป็ได้”
เก๋อจือกลืนน้ำลาย หวนนึกถึงความทรงจำอันแสนเอร็ดอร่อยที่มีมิบ่อยครั้งนัก
“เป็ไปได้สูงว่าจะเป็เนื้อสัตว์ปีศาจขั้นหกเชียว จะได้กินก็เพียงในงานเลี้ยงเท่านั้น!”
“...ต่อให้จับได้ นั่นก็เป็ของโม่เจ๋อเอ่อร์ เ้าเลิกคิดเพ้อเจ้อเสีย”
ลาถีเท่อหัวเราะอย่างจนปัญญาพลางเคาะหัวเก๋อจือเบาๆ
“ด้วยนิสัยของเขา เกรงว่าคงจะนำกวางทั้งตัวไปขาย เพราะอย่างน้อยก็มีค่าประมาณหนึ่งพันเหรียญทอง”
ที่แท้นิสัยโลภในทรัพย์สินเงินทองของตนแสดงออกอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ โม่จ้านเผยยิ้มกระดากอาย ข้าก็คิดจะทำเช่นนี้จริงเสียด้วย
“จะว่าไป แท้จริงแล้วพวกเ้าไปทำอันใดกันยามเช้า?”