ถึงแม้ว่าเจียงเหยี่ยน ชิงิ และก็ซืออีนั่วจะเรียนอยู่คลาสเดียวกันกับฉันแต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาอยู่มานานจนไม่ตื่นเต้นกันแล้ว ทั้งๆที่ฉันตื่นเต้นกับการเปิดเทอมจนนอนไม่หลับ แต่พวกเขาสามคนกลับพากันดูหนังเื่ชี.ล.ด์. ทีมมหากาฬอเวนเจอร์ส กันจนดึกดื่น จนตอนนี้ยังไม่ตื่นกันเลย
โดยเฉพาะสาวน้อยเหมาเหมา รายนั้นชอบนอนตื่นสายเธอกับโม่ิไม่เหมือนกันเลยสักนิด โม่ิมักจะตื่นแต่เช้าทุกวันอีกทั้งยังออกกำลังกายอย่างหนัก หลังจากที่เขาเข้ายึดห้องของเหมาเหมาห้องนั้นก็ถูกขยายให้กว้างขึ้น เครื่องออกกำลังมากมายหลายอย่างเต็มห้องไปหมดมีครั้งหนึ่งฉันเห็นเขาที่อยู่ในร่างของหมาป่ากำลังวิ่งอยู่บนเครื่องออกกำลังกายตอนนั้นฉันรู้สึกว่า...ฉันไม่อยากจะพูดเลยก็เหมือนกับสุนัขที่มันกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งนั่นแหละ
ฉันวิ่งออกมาจากบ้านหลังเล็กนั้นด้วยความดีใจวิ่งอย่างร่าเริงไปบนถนนเส้นเล็กๆ ที่ยังไม่มีคน วิ่งไปยังห้องเรียนของนักศึกษาใหม่ด้วยความตื่นเต้นฉันรอคอยที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยฉันสามารถใช้เครื่องมือวิเศษทำการบ้านได้อีกด้วย
ตอนมัธยมต้นก็เป็โรคต่อต้านวัยรุ่นมัธยมปลายก็เป็ยัยโง่ เข้ามหาลัยก็แกล้งโง่ฉันมักจะคิดว่าสาวมหาลัยจะสวมชุดกระโปรงยาว ปล่อยผมสยายพลิ้วไหวท่ามกลางแรงลมเอียงหน้าทำมุมถ่ายรูปออกมาในแนวอาร์ตเป็ความรู้สึกที่ดีมากมหาลัยทำให้คนเกิดความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่าโรแมนติกทำให้เราหลุดออกมาจากโลกความเป็จริงและกลับคืนสู่อิสรภาพ
ฉันวิ่งไปตามทางด้วยความตื่นเต้นดีใจตึกเรียนที่ตั้งอยู่ไกลลิบนั้นสะท้อนลงมาในระยะสายตาของฉันวันนี้ฉันต้องไปเป็คนแรก
ในตอนที่ฉันกำลังจะเร่งความเร็วในการวิ่งขึ้นไปอีกนั้นจู่ๆ ก็มีผ้าพันคอสีแดงผืนหนึ่งร่วงลงมาและวินาทีนั้นผ้าพันคอผืนนั้นก็รัดเข้าที่ลำคอของฉันทันทีเพียงพริบตาเดียวฉันก็ถูกดึงให้ลอยขึ้นเหนือพื้น
ฉันคว้าผ้าพันคอนั้นไว้ด้วยความเร็วตามสัญชาตญาณเพื่อไม่ให้ผ้ามันรัดคอฉันแน่นไปมากกว่านี้ ฉันเตะเท้าสองข้างไปมากลางอากาศและในตอนนั้นผ้าพันที่รัดอยู่ที่คอฉันก็ถูกสะบัดไปอีกทางฉันถูกสะบัดออกไปนอกเขตรั้วทันทีฉันเห็นแล้วว่าฉันกำลังจะตกลงไปท่ามกลางกลุ่มเมฆนั้นอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ!
ต้องเป็ไอ้เทพห่วยแตกนั่นแน่ๆ
แต่ว่าตอนนี้ ฉันไม่ได้หล่นไป
ฉันหยุดลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเพียงแต่ว่า...ฉันไม่ได้ยืนอยู่...แต่ว่า...ฉันห้อยหัวอยู่...
รองเท้าเหาะได้ทำให้ฉันต้องห้อยค้างอยู่กลางอากาศ
ฉันรู้สึกเหมือนฉันจะยืนเหยียบอยู่บนพื้นแต่ความจริงแล้วฉัน...ห้อยหัวอยู่กลางอากาศซะนี่
ฉันผิดเอง ฉันน่าจะฟังที่โม่ิเตือนว่าให้ฝึกใช้รองเท้าเหาะได้ให้เป็ซะก่อน
อีกอย่าง เพราะฉันห้อยหัวอยู่แบบนี้จึงทำให้ชุดของฉันตกลงคลุมหน้าฉันด้วย โชคดีนะที่ฉันใส่ซับในไว้ไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะจับกระโปรงขึ้นมาคลุมไว้เหมือนเดิมและจับมันยึดเอาไว้
"รองเท้าเหาะได้จริงๆด้วย"
ในตอนนั้นน้ำเสียงร้ายกาจของฝูซูก็ดังขึ้นมาเขาค่อยๆ ลอยลงมาจาก้า ด้านล่างเท้าของเขาคือกระบี่แวววาวเหาะได้เล่มนั้น
วันนี้เขาก็อยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษาเหมือนกันชายเสื้อพลิ้วไหวไปมาเครื่องแบบนักเรียนที่เขาสวมใส่อยู่บนร่างกายนั้นรัดเข้ารูปไปกับสัดส่วนร่างกายของเขาทำให้สายตาของผู้คนที่ได้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะจดจ้องร่างกายนี้อย่างหลงใหล
ถึงแม้ว่าเขาจะดูหล่อเท่ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดการ์ตูนแต่ฉันก็ไม่อยากยอมรับ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ยอมรับหรอก!
"นายจะมาฆ่าฉันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว" ฉันมองเขาอย่างเกลียดชัง เืในสมองฉันเริ่มไหลมารวมกัน ต้องห้อยกลับหัวอยู่แบบนี้ไม่สบายตัวเลย
ใบหน้าของฝูซูเลื่อนลงอยู่ในระดับเดียวกันกับใบหน้าฉันมุมปากนั้นแสยะยิ้มพร้อมกับจ้องหน้าฉัน เหมือนกับกำลังเยาะเย้ยถากถางฉันทางสายตา "ใครบอกว่าฉันจะจับเธอโยนลงไปข้างล่างล่ะฉันแค่แค่อยากจะดูคุณภาพของรองเท้าคู่นี้ต่างหาก"
ฉันจ้องหน้าเขาอย่างจะกินเืกินเนื้อเขาเลิกคิ้วขึ้น ทอดสายตามองไปไกลด้วยความเย่อหยิ่ง"อืม คุณภาพไม่เลวเลย ฉันสามารถไปหาซื้อได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ"
"นายเอาฉันมาเป็ตัวทดลองงั้นเหรอ" ฉันกำหมัดแน่น "ทำแบบนี้สนุกนักรึไง!"
"แน่นอนว่ามันสนุกมาก" เขาหันกลับมาประจันหน้ากับฉัน ปากของฉันอยู่ตรงกับหน้าผากเขาพอดีเขาเหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างดูถูกทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือมาดึงผ้าพันคอนั้นให้พันเข้ามาที่คอของฉันอีกครั้งพร้อมกับดึงรั้งให้ฉันมาอยู่ตรงหน้าเขา"ก่อนหน้านี้ที่เธอไปทำความสะอาดที่ปราสาท ช่างน่าเสียดายจริงๆที่วันนั้นฉันไม่อยู่ แต่ว่า...ตอนนี้ฉันกลับมาแล้วฉันมีเวลาที่จะเล่นสนุกกับเธอได้อีกนานเลย" เขาแสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆใบหน้าหล่อเหลานั้นถูกปกคลุมไปด้วยรังสีของความร้ายกาจใบหน้านั้นบ่งบอกฉันว่าเป็คนเลว แต่นายทำอะไรฉันไม่ได้หรอก
ฉันหรี่ตาลง "นายชอบเฟิงหลิงซ่านก็อย่าลากฉันมาเป็เหยื่อสิ"
เขาหุบยิ้มลงทันทีคิ้วคู่งามกระตุกขึ้น "เธอรู้ไหมว่าสิ่งที่เธอพูดเมื่อคราวที่แล้วทำให้ฉันถูกพูดถึงอยู่ตั้งนานหลายวัน" เขาจ้องเข้ามาในดวงตาของฉันด้วยรังสีแห่งความอาฆาตแววตาขุ่นมัวคู่นั้นจ้องฉันไม่วางตา "และสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือการที่คนพวกนั้นคิดว่าเฟิงหลิงซ่านเป็ฝ่ายรุก!"
"พรูด!" ฉันกลั้นไม่อยู่จนต้องพ่นน้ำลายออกมา และมันจะเหมาะเจาะเกินไปไหม ฉันพ่นน้ำลายใส่หน้าผากเขาเต็มเปาเลยเขาะโออกห่างทันที และรีบหยิบทิชชูเปียกออกมาเช็ดที่หน้าผากอย่างรวดเร็ว"เธอนี่มันรังเกียจชะมัดเลยน้ำลายของมนุษย์อย่างพวกเธอมีแต่เชื้อแบคทีเรียทั้งนั้น"
ฉันปิดปากกลั้นขำมองดูเขาที่วุ่นอยู่กับการเช็ดหน้าผาก "ถ้างั้นนาย...พรูด...ก็เป็ฝ่ายรับงั้นสิ..."
และทันใดนั้น หางคิ้วเขาก็กระตุกขึ้นมือกำทิชชูเปียกแน่น ตวัดสายตามามองฉันอย่างเ็าเขายักคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง "เซี่ยเสี่ยวหลันพวกเรายังมีเวลาที่ให้ได้เล่นสนุกกันอยู่นะ" เขาเอื้อมมือเอาทิชชูเปียกมาปิดหน้าฉัน "เอาโทรศัพท์เธอมานี่"
"ไม่มี!"
"หึ" เขาเหยียดยิ้มเล็กน้อยล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ของฉันออกมาจากกระเป่าจี้ตู๊กตาของโม่ิก็ถูกห้อยไว้กับโทรศัพท์เขาเลิกคิ้วเหยียดยิ้มในตอนที่เห็นจี้นั่น "โม่ิยอมให้เธอเป็เ้านายจริงๆด้วยสินะ"
"ฝูซู" จู่ๆ จี้นั้นก็พูดขึ้นมา ใบหน้ากลมนั้นบึ้งตึง "เสี่ยวหลันล่ะ"
ฝูซูยกยิ้มร้ายยังคงปิดหน้าฉันไว้พร้อมกับมองจี้ที่เป็ตัวแทนของโม่ิ "อยู่ในกำมือฉัน ถ้านายไม่รีบมาฉันไม่รับประกันนะว่าจะไม่ทำอะไรเธอ" ฝูซูมองหน้าฉันอย่างเ้าเล่ห์ริมฝีปากนั้นยกยิ้มร้ายกาจ "ใครใช้ให้เธอ...น่าแกล้งขนาดนี้กันล่ะ"
"ฝูซูถ้านายกล้าทำอะไรเธอ นายคงจะรู้นะว่าผลลัพธ์มันจะเป็ยังไง" โม่ิพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มผิดปกติ
"เชอะ" ฝูซูมองค้อนอย่างไม่ได้ใส่ใจ "งั้นนายก็มาสิ" เขาพูดจบด้วยท่าทีกวนประสาท จากนั้นจึงปล่อยมือที่จับหน้าฉันไว้เหลือบตามองฉัน "หึ" เขาส่งเสียงเย้ยหยันออกมาเบาๆจากนั้นก็เริ่มเล่นโทรศัพท์ราวกับกำลังรอโม่ิและค่อยๆ ปล่อยเวลาให้มันผ่านไป
ฉันเปิดปากพูด "ฝูซู นายนี่มันน่าเบื่อจริงๆ เลย!"
เขายกหางคิ้วขึ้น ฉันคิดว่าเขาจะตีฉันฉันรีบหลบเขาทันที แต่เขากลับยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วมองหน้าฉันด้วยความโกรธจัด "ทำไมถึงไม่มีรูปฉัน"
ฉันมองหน้าเขาและนิ่งอึ้งไป "แล้วนายเป็ใครผู้หญิงทุกคนจะต้องมีรูปนายอยู่ในโทรศัพท์รึไง!"
เขาหรี่ตาลง "มันก็เป็เื่ปกติที่จะต้องมีไง" พูดจบ เขาก็ยกโทรศัพท์ฉันขึ้นมาถ่ายรูป
ให้ตายเถอะ ยังจะโพสต์ทำท่าทางแบ๊วๆอีก
ฉันไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเขาดูน่ารักมากทั้งๆ ที่โหดร้ายและน่ารังเกียจขนาดนี้แต่กลับมาทำตัวน่ารักอย่างกับเด็กไร้เดียงสา นี่ต้องเป็ภาพลวงตาแน่นอน
ฉันยังคงห้อยกลับหัวอยู่อย่างนั้นฉันจะอยู่ท่านี้ตลอดไม่ได้ เพราะตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกมึนหัวแล้วตอนนี้เืทั้งหมดในร่างกายของฉันไหลมากองรวมกันหมดแล้ว
ฉันเริ่มปวดหัวแล้วปวดจนร้อนไปทั่วทั้งหัว ฉันพยายามที่ควบคุมเท้าให้ขยับแต่เพราะว่าไม่เคยฝึกในด้านนี้มาก่อน เลยมักจะก้าวเท้าลำบากอยู่ตลอด
"เสี่ยวหลัน!" เสียงโม่ิดังขึ้นมา นี่เป็ครั้งแรกเลยที่ฉันรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าเขาฉันยื่นมือออกไปหาเขา "ช่วยด้วย"
สายตาเขามีความลังเลเล็กน้อยแววตาสีมรกตคู่นั้นสะท้อนความเด็ดเดี่ยว มองฉันอย่างด้วยแววตาจริงจังอีกครั้ง "แบบนั้นมัน"
ฉันยกมือขึ้นกุมหน้าผาก "ไม่ต้องพูดแล้ว นายพูดแบบนั้นทีไรฉันเจ็บใจทุกที ฉันรู้แล้ว ฉันจะจัดการเอง" ฉันมองหน้าฝูซู "ในเมื่อนายชอบโยนฉันนัก งั้นก็รบกวนนายช่วยโยนฉันให้ไปถึงตึกเรียนเลยจะได้ไหมล่ะ"
ฝูซูเบนสายตาไปมองโม่ิโม่ิยืนอยู่ข้างทาง สองมือนั้นกำหมัดแน่น ฝูซูไม่ละสายตาไปจากโม่ิเขาเก็บโทรศัพท์ใส่กลับลงไปในกระเป๋าของฉัน จากนั้นก็หิ้วคอเสื้อยกตัวฉันขึ้นมา
เซี่ยเสี่ยวหลันคนนี้ยอมรับในโชคชะตาชีวิตแล้ว
"ฝูซู!" โม่ิะโขึ้นมาด้วยความร้อนรน
ฝูซูยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างชั่วร้าย "โม่ิฉันอยากรู้มาตลอดเลยนะว่านายจะเร็วได้สักแค่ไหน มาดูกันสิว่า นายจะสามารถรับลูกบอลที่ฉันจะโยนออกได้ไหม" พูดจบ ฝูซูก็กระชากคอเสื้อฉันขึ้นแล้วโยนฉันลอยออกไปทางอาคารเรียน
"ฟู่!" ในหูฉันได้ยินแต่เสียงลมที่พัดผ่านไปอย่างรุนแรงฉันลอยไปด้วยความเร็วชนิดที่ว่ามองไม่เห็นแม้กระทั่งทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆความเร็วระดับนี้ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าหายใจไม่ออก
และในตอนนั้นนั่นเองฉันก็เห็นตึกมหาลัยใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
แต่จู่ๆเงาสีแดงก็บินผ่านมาอยู่ข้างหน้าฉัน เป็ฝูซูที่เหาะมารับร่างของฉันไว้กลางอากาศขาข้างหนึ่งของเขาค่อยๆ เหยียบลงบนพื้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงอุ้มฉันไว้กลุ่มผมปลิวไสวท่ามกลางแสงแดดดวงหน้าที่อยู่ภายใต้ผมหน้าม้านั้นยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มร้ายพร้อมกับสายตาที่ยังคงมองไปด้านหน้า "ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานที่แท้ความสามารถก็มีไม่เท่าไรนี่"
ฉันหันหน้าไปมองด้านข้างด้วยอาการวิงเวียนศีรษะเป็โม่ิที่ยืนแผ่รังสีอำมหิตอยู่
ฝูซูประคองร่างฉันพร้อมกับผลักออก "ฉันคืนให้นาย วันนี้สนุกพอแล้ว"
ฉันเดินเซไปข้างหน้าจากนั้นฝูซูก็บินหายไปราวกับลมพายุ
โม่ิรีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของฉันฉันยกมือขึ้นกุมขมับ "ไม่ต้อง! ฉันอยากอยู่เงียบๆ" ฉันหมุนตัวกลับต่อหน้าต่อตาเขาฉันก้าวเท้าเดินเซไปเซมาเหมือนคนเมา ฉันโดนห้อยหัวอยู่นานจนแข็งขาอ่อนแรงมิหนำซ้ำยังถูกโยนไปมาแบบนี้ เวียนหัวไปหมดแล้ว
"ปึง ปึง" ผีกองกอยตนนั้นะโมายืนอยู่ข้างกายฉัน เขาหยุดมองฉัน "อ้า"
"ประคองช่วยประคองฉันหน่อย" ฉันยื่นมือออกไปหาเขา
"อ้า" ผีกองกอยตนนั้นยื่นแขนส่งมาตรงหน้าฉันฉันจับแขนเขาเพื่อใช้ประคองตัวอย่างกับจับกิ่งไม้เลยแฮะน้องสาวที่ปกคลุมไปด้วยความดำมืดปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายฉันและเธอก็เข้ามาช่วยประคองฉัน "เธอเป็อะไรรึเปล่า"
"ฉัน ฉันจะอ้วก..." ฉันเวียนหัวจนทนไม่ไหวแล้ว
"เธอห้ามอ้วกตรงนี้นะน่าเกลียดตายเลย เธออดทนหน่อยนะ ฉันจะแบกเธอเข้าไปเอง" ยังไม่ทันที่จะได้พูดประโยคถัดไปเธอก็แบกฉันขึ้นหลังและะโเข้าไปในประตูทางเข้าอาคารเรียนด้วยความรวดเร็ว
ตอนที่เธอพาฉันเข้ามาส่งถึงห้องน้ำฉันก็อ้วกออกมาทันที "อ้วกแหวะ" หางตาฉันเห็นว่าเธอกำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป
"อย่า...อย่าถ่ายนะ" ฉันยกมือขึ้นบังโทรศัพท์เธอไว้เธอมองฉันอย่างแปลกใจ "ตกลงนี่มันเื่อะไรกันน่าเกลียดชะมัด นี่เข้าเรียนวันแรกเองนะ"
ฉันใช้น้ำเย็นลูบหน้าลูบตา "โดนฝูซูจับโยนอีกแล้ว..."
"อะไรนะแล้วหมาป่าตัวนั้นล่ะ" เธอยกมือขึ้นกอดอก ถึงแม้ว่าวันนี้ทุกคนจะสวมชุดเครื่องแบบนักศึกษาแต่การแต่งหน้าและสีผมของเธอก็ยังคงเป็เอกลักษณ์อยู่เช่นเดิมทำให้เธอดูเหมือนลูกครึ่งจีนและยุโรปไปเลย "โม่ิถือได้ว่าเป็ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นี่เลยนี่นา" คำพูดของเธอเหมือนกับกำลังอิจฉาอยู่เล็กน้อย
ในที่สุดฉันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง "อย่าพูดถึงเลยเขาบอกว่าเพื่อที่จะให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉันเด็ดขาด"
"อะไรนะประสาทไปแล้วรึไง" ริมฝีปากดำนั้นยู่ขึ้นมา "ผีกองกอยของฉันยังจะเป็ผู้พิทักษ์ที่เชื่อฟังมากกว่าเลยต่อให้เขาจะอยากให้เธอแข็งแกร่งขึ้น แต่เขาต้องดูสภาพร่างกายของเธอด้วยสิร่างกายของเธอเป็มนุษย์ ถึงจะแข็งแกร่งยังไงถ้าต้องปะทะกับความรุนแรงก็สามารถแหลกละเอียดได้อยู่ดีในเวลาที่ควรปกป้องก็ต้องปกป้อง แต่ไหนแต่ไรฉันคิดมาตลอดว่าเขาน่ะสุดยอดแต่ดูจากตอนนี้แล้ว สู้ไม่มียังจะดีซะกว่าอีก"
ฮือ~~~~~~ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันเข้าสวมกอดเธอทันที "มีแต่เธอที่เข้าใจฉัน"
"หลังจากนี้ฉันกับผีกองกอยของฉันจะคุ้มกันเธอเอง" เธอพูดขึ้นมาด้วยความยึดมั่นในความเป็ธรรมทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด แบบนี้นิสิถึงจะเป็คนที่รักกันจริง