พอข้าตื่นขึ้นมาก็เป็รุ่งเช้าของวันใหม่แล้ว
“ตื่นแล้วเหรอพี่เชวียน!” เป็เสียงของซ้งเชียนที่ถามขึ้น
“น้ำ...เสี่ยวเชียน เอาน้ำให้ข้า”
“ได้!”
ซ้งเชียนตักน้ำมาให้ถ้วยใหญ่แต่ข้าก็ดื่มจนหมดในรวดเดียวอย่างกระหาย เหมือนว่าร่างกายขาดน้ำมาหลายปีเพียงน้ำไหลผ่านลงไป ร่างกายก็กลับมาสดชื่นมีชีวิตชีวาอีกครั้งพอลองขยับแขนขาจึงรู้สึกได้ว่าความเ็ปและกระดูกที่แตกออกทุกอย่างกลับเป็ปกติเหมือนไม่เคยาเ็มาก่อนคงเป็ผลจากฤทธิ์ของน้ำยาพันิญญาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คิดๆดูแล้วน่าจะออกฤทธิ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้นข้าคงจะอยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้นหลอมปราณถึงจะถูก
“เมื่อวานตอนดึกซูเหยียนเป็คนมาส่งท่านเอง”ซ้งเชียนพูดขึ้น
“อ้อ แล้วนางล่ะ?”
“นาง...” ซ้งเชียนชะงักพร้อมฉีกยิ้มเ้าเล่ห์“พอนางมั่นใจว่าท่านไม่เป็อะไรจึงขอตัวกลับ หรือท่านจะให้นางนอนเป็เพื่อนท่านสักคืนล่ะ?นางเป็ถึงลูกของท่านเสนาบดีเชียวนะ ท่านไม่รักชีวิตแล้วหรือไง?”
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะบอกไป“ข้าไม่เป็ไรแล้ว ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เ้ารีบไปเถอะไม่อย่างนั้นจะเข้าเรียนสาย ข้าหายดีแล้วล่ะ” ก็
“อืม” ถึงเขาจะสงสัยว่าทำไมอาการาเ็ของข้าถึงได้หายเร็วผิดปกติแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากมายก่อนจะกลับไป
...
หลังจากที่กินข้าวและทำงานจนเสร็จสรรพจึงกลับมาที่โรงเกลากระบี่ถึงแม้ว่าเมื่อวานจะเพิ่งผ่านการประลองมาหมาดๆแต่ตอนนี้พลังิญญาและลมปราณในร่างกายกลับเต็มเปี่ยมอย่างบอกไม่ถูก่เวลานี้ถ้าปล่อยผ่านไปก็น่าเสียดาย!
ตั้งท่า!เคลื่อนพลัง!
เคลื่อนพลังได้เพียงสามรอบก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างถูกปลุกให้ตื่นพลังไหลเวียนไม่หยุดก่อนจะมีเสียงคำรามและกรงเล็บัสีเขียวมรกตเผยออกมาปลายหมัดที่มีพลังแผ่ซ่านผสานกันเป็รูปหัวของัที่หลับใหลอยู่ในนิทราและพร้อมทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
ักลืนคชาวิชาลมหายใจัขั้นที่สามของข้าสำเร็จแล้ว!
แขนและนิ้วมือทั้งสองข้างกางออกและปลดปล่อยพลังลมปราณออกมาภาพส่วนหัวัปรากฏชัดเจนกำปั้นที่น่าเกรงขามและั์ตาสีเืขยับได้ราวกับมีชีวิตและเมื่อสบโอกาสมันก็พร้อมที่จะปะทุออกมาและทำลายทุกสรรพสิ่งพลังของวิชาลมหายใจันี่ช่างสุดยอดจริง!
นี่ขนาดแค่ขั้นที่สามแต่กลับมีพลังที่น่าทึ่งได้ขนาดนี้
เมื่อปรากฏแก่นแท้ของัั์ตาโลหิตจึงเป็เครื่องยืนยันว่าข้าเข้าถึงขั้นที่สามของวิชาลมหายใจและสามารถควบคุมพลังได้ตาม้า
สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดอารมณ์ตื่นเต้นแล้วเปิดตำราลมหายใจัเพื่อฝึกฝนขั้นที่สี่อย่างละเอียด
หลังจากได้เห็นพลังของหวังหลิงเมื่อวานนี้ถ้าเขาสามารถใช้พลังของปราณัเอกาอย่างถูกต้องอาจยังพอรับมือกระบวนท่าที่หนึ่งของเฉิ่นปู้หยุนได้
กว่าจะยืนหยัดฝึกฝนได้ทั้งวันข้าก็กินงาโลกันตร์ไปจนหมดแถมยังต้องกินโสมโลหิตเพิ่มอีกหนึ่งคำ แต่ถึงแม้จะเคลื่อนพลังไปกว่าสิบรอบก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมองเห็นปราณัเอกาแต่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันคือโชคชะตา
...
ในตอนเย็นซูเหยียนกับตั้นไถเหยามาถึงก่อนเวลาพร้อมกับใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็นเมื่อเห็นว่าร่างกายของข้าฟื้นตัวกลับมาเป็ปกติต่างก็แปลกใจ และตอนนี้แม้จะไม่ได้สอนกระบี่นางแล้วก็ตามแต่นางยังคงถือกล่องข้าวมาให้เหมือนเดิมหลังจากกินจนอิ่มและล้างไม้ล้างมือเรียบร้อย ข้าจึงพูดขึ้น “ไปเถอะ ออกเดินทาง!”
“ฮะจะออกไปไหน?” ซูเหยียนถามอย่างงุนงง
“ไปประลองกับเฉิ่นปู้หยุนไงล่ะ...” ข้าตอบ
“เมื่อวานยังโดนเล่นงานไม่พออีกหรือไง ถึงจะกลับไปอีก?” ซูเหยียนพูดเสียงเบา
แต่ตั้นไถเหยากลับยิ้มร่าออกมา“ดูเหมือนว่าหัวหน้าปู้จะยังโดนอัดไม่พอสินะ เอาสิ!ข้ารู้สึกว่าพลังในตัวเ้ามันแข็งแกร่งขึ้นแล้วล่ะ แปลกคนจริงๆยิ่งโดนอัดยิ่งแข็งแกร่งเนี่ย”
ข้าเห็นนางพูดมาแบบนี้ก็รีบพูดอย่างรู้ทัน“ถ้าไปถึงแล้วเ้าอย่าใช้พลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้ข้าล่ะตั้นไถเหยาเพราะไม่อย่างนั้นเฉิ่นปู้หยุนจะต้องดูถูกที่ให้เ้ายื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอนข้าจะต้องรับมือกับสิบกระบวนท่าของเขาด้วยตัวข้าเอง!”
“รู้แล้วน่า ไปกันเถอะ!”
“อืม”
พวกเรามุ่งตรงไปยังหลังเขาและเมื่อไปถึงก็ยังมีศิษย์ของสำนักยืนรวมกลุ่มอยู่ที่นั่นตามเคยดูเหมือนคำร่ำลือที่บอกว่าคนอย่างเฉิ่นปู้หยุนเป็จอมยุทธ์ที่มีแต่คน้าเสนอตัวเป็ศิษย์เพื่อเป็เกียรติแก่วงศ์ตระกูลน่าจะเป็เื่จริง ถึงแม้ข้าจะไม่ได้คิดแบบนั้นแต่ยังไงก็ต้องเรียนเพลงขาเมฆาหมอกอยู่ดีเพราะจะให้ข้าปัดความหวังดีของพี่เสวียนยินก็คงจะไม่ได้
ตูม!
เกิดเสียงดังก้องก่อนพลังิญญาจะแผ่ซ่านไปทั่วสารทิศก่อนจะมีร่างของคนคนหนึ่งลอยข้ามหัวของพวกเราไปและตกลงในสระจนน้ำกระจายก่อนจะมีศิษย์คนอื่นๆ รีบไปช่วยเพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่รอด
“ฮึ ช่างอ่อนหัดเสียจริง!”
เฉิ่นปู้หยุนปัดมือแล้วมองออกไปไกลก่อนจะพูดต่อ“ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญานับวันก็ยิ่งแย่ น่าผิดหวังจริงๆ เลย...”
ศิษย์คนอื่นๆต่างก็เกรงกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา และไม่มีใครเข้าไปท้าประลองต่อ
ศิษย์พวกนี้มีทั้งคนของห้าสำนักชั้นนอกและสามสำนักชั้นในดูเหมือนว่าหนึ่งในนั้นจะมีศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนอยู่ด้วยแต่ก็น่าเสียดายที่ยังไม่มีใครกล้าที่ออกมาประลองกับเฉิ่นปู้หยุนต่อสักคน
กระทั่งคนพวกนั้นเห็นข้าเดินเข้ามาบริเวณนั้นก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง สายตาที่แตกต่างกันไปแต่ละคน กำลังจับจ้องมาที่ข้าและเริ่มซุบซิบนินทาโดยไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นเลยสักนิด
“เฮ้ย ดูนั่นสิ นั่นมันปู้อี้เชวียนที่โดนอัดจนไม่เหลือสภาพคนกลับมาอีกแล้วฮ่าๆๆ สงสัยจะโดนอัดไม่พอ”
“เ้าศิษย์ตัวสำรองนี่ชอบทำตัวเด่นสินะขอเพียงแค่คนในสำนักรู้จักถึงจะโดนอัดก็ยอม”
“สาวสวยข้างๆ นั่นมันซูเหยียนกับตั้นไถเหยาไม่ใช่หรือไง? เฮ้อ...ทำไมสาวงามทั้งสองคนถึงมาอยู่กับมันได้นะ?”
“ให้ตายเถอะ นี่มันดอกไม้ปักบนกองขี้ควายชัดๆ น่าเสียดายจริงๆ...ซูเหยียนกับตั้นไถเหยาทั้งสวยทั้งหุ่นดีถ้าเกิดว่าได้...ล่ะก็ หึ้ยยยมันต้องชื่นใจมากแน่ๆ”
“ถุย! เ้าคนสกปรก!”
ข้าเดินตรงไปข้างหน้าแล้วโค้งคำนับตามมารยาท“ท่านอาจารย์เฉิ่น ข้ามาขอคำชี้แนะจากท่านอีกแล้วล่ะ”
เฉิ่นปู้หยุนขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะว่าพลางยิ้ม“เ้าศิษย์สำรองนี่อีกแล้วเหรอ อย่าบอกนะว่าเ้ายังโดนอัดไม่พอหรือการที่ข้าออมมือให้นิดหน่อยทำให้เ้าคิดว่าจะสามารถรับมือได้ถึงสิบกระบวนท่าฮะ?”
ข้าพูดอย่างไม่ได้รู้สึกต้อยต่ำหรือโอหังอะไร“คำขวัญของสำนักหมื่นิญญาคือการองอาจ ห้าวหาญเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่งไม่ใช่หรือไง? แล้วนี่ถ้ามัวแต่หวาดกลัวท่านแล้วข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง?”
“ดี พูดได้ดี!”
เฉิ่นปู้หยุนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพูดขึ้น“ถึงข้าจะชอบคนอย่างเ้าแต่ความชอบกับฝีมือมันคนละเื่และข้าจะไม่มีทางออมแรงแน่นอน มาดูกันว่าวันนี้เ้าจะรับมือข้าได้กี่กระบวนท่า”
“เชิญท่านชี้แนะ”
ข้าสูดหายใจเข้าลึกและยืนในท่าัพันศิลาพร้อมกับพลังิญญาที่มีมากกว่าเมื่อวานถึงสองส่วนเกิดเป็กลิ่นอายของพลังัที่คละคลุ้งทั้งร่างดุจดั่งัเขียวมรกตที่มีอายุนับพันนับหมื่นปีแต่กลับไม่แก่ไปตามกาลเวลาการฝึกฝนกระบวนท่าัพันศิลาคือการมั่นคงและจะลังเลไม่ได้
เฉิ่นปู้หยุนแสยะยิ้มก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนโดยเฉพาะบริเวณขาด้านซ้ายเปลวพลังที่แผ่ออกมาทั่วตัวของเฉิ่นปู้หยุนเหมือนเป็ัเขียวที่เลื้อยพันตัวเองอยู่กับเขาความน่าเกรงขามอันน่าสะพรึงของมันคือเค้าลางของัพันร่างของวิชาลมหายใจัขั้นที่ห้าดูเหมือนว่าวันนี้เฉิ่นปู้หยุนจะเอาจริงแล้วล่ะ!
ปัง!!!
ข้าเงยหน้ารับเท้าของเฉิ่นปู้หยุนที่ถีบมาระหว่างมือทั้งสองข้างอย่างรุนแรงพลังที่น่าเกรงขามทำให้ข้าเกือบจะลอยปลิวไปไกลแต่เพราะความหนักแน่นของกระบวนท่าัพันศิลาจึงทำให้เท้ายังยึดอยู่บนพื้นแต่ถลาถอยไปไกลหลายเมตรทั้งร่างไหวเอนไปตามแรงพลังจนเกือบเสียสมดุลของกระบวนท่า
อันตรายมากจริงๆข้าเกือบจะแพ้ไปทั้งที่เพิ่งรับมือไปเพียงกระบวนท่าเดียว
“ไม่เลวนี่เข้ามาอีก!”
เฉิ่นปู้หยุนหัวเราะชอบใจก่อนจะลอยตัวขึ้นแล้วรัวลูกเตะลงมาด้วยขาซ้ายที่แฝงไปด้วยพลังิญญาดุจเปลวเพลิงและมากขึ้นกว่าเมื่อวานสองถึงสามส่วน
ข้าวาดมือออกเล็กน้อยก่อนจะใช้พลังิญญาที่เดือดพล่านและมีเค้าลางส่วนหัวของัเขียวมรกตอยู่ตอนนี้ซัดขึ้นไปปะทะกับขาของเฉิ่นปู้หยุนที่เตะลงมา
พลังแก่นแท้ลมหายใจัขั้นที่สามัั์ตาโลหิต!
ตูม!
ประกายไฟสว่างวาบก่อนจะะเิออกทั่วสารทิศแรงะเิอัดร่างให้ปลิวไปชนต้นไม้ใหญ่จนเปลือกไม้แตกกระจายความรู้สึกชาเกิดขึ้นมาในข้อมือซ้ายและกระดูกที่สั่นะเืจากการปะทะก็เหมือนกำลังจะแตกละเอียด
ศิษย์ของสำนักที่นั่งดูอยู่ต่างก็ใอ้าปากค้างเมื่อเห็นพลังที่ข้าเพิ่งจะใช้ไป
“พระเ้า! นั่นมันพลังักลืนคชาเ้าศิษย์สำรองนี่ฝึกวิชาลมหายใจัไปถึงขั้นที่สามแล้วงั้นเหรอ!”
“เฮอะ เ้าสวะตัวนี้จะต้องเล่นสกปรกอะไรแน่ๆไม่อย่างนั้นมันจะฝึกถึงขั้นที่สามได้ยังไง”
ศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนแสยะยิ้ม“ฮึ...ใช้กระบวนท่าักลืนคชาแต่กลับไม่มีพลังอันน่าเกรงขามของมันเลยสักนิดการอวดดีของมันแบบนี้เป็การดูถูกวิชาลมหายใจัของสำนักชัดๆ!”
ที่เขาพูดมามันก็ถูกข้าสามารถใช้พลังของปราณ์ได้แค่สองถึงสามส่วนเท่านั้นจึงทำให้พลังของวิชาลมหายใจัที่ใช้มีไม่ถึงสามส่วนไปด้วยเช่นกันเพราะไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบนี้
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเฉิ่นปู้หยุนอ่อนข้อให้ไม่อย่างนั้นข้าคงจะรับไม่ไหวั้แ่การโจมตีครั้งแรกแล้ว
“กระบวนท่าที่สาม!”
เฉิ่นปู้หยุนลอยตัวขึ้นกลางอากาศพร้อมกับพลังขั้นที่ห้าแล้วถีบขาลงมาที่หน้าอกข้าสองครั้งรวดจนเกิดเป็สะเก็ดไฟกระเด็นออกตามด้วยแรงสั่นะเืที่รุนแรง
ปัง!ปัง!
สองขาทลายบัวคือกระบวนท่าที่สามของเพลงขาเมฆาหมอก
ร่างของข้าปลิวไปหลายเมตรก่อนจะกระอักเืออกมาแล้วพยายามสะกดกลั้นตัวเองที่กำลังจะสลบไปให้ลุกขึ้นยืนอยู่ในกระบวนท่าัพันศิลาอีกครั้ง“เข้ามาอีก!”
พรึบ!...
เฉิ่นปู้หยุนพุ่งตัวเข้ามาอย่างเร็วปานลมกรดทำให้ข้าที่ไม่ทันได้ตั้งตัวโดนหมัดอันทรงพลังซัดเข้าที่หัวไหล่อย่างแรงก่อนจะมีเสียงที่บ่งบอกบอกว่ากระดูกตรงส่วนนั้นหักไปแล้วจนได้ยินเสียงกระดูกหัวไหล่หักเลยทีเดียว
ให้ตายสิแพ้อีกแล้ว!
แต่อย่างน้อยก็ยังมากกว่าเมื่อวานอีกหนึ่งกระบวนท่า!