หลังจากที่หลับไปนานกว่าจะตื่นมาก็เป็เช้าของวันใหม่แล้ว
“ในที่สุดท่านก็ตื่นสักที!” เสียงของซ้งเชียนดังขึ้นเมื่อข้าลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าเขากำลังถือซาลาเปาถุงใหญ่กับชามข้าวต้มที่กลิ่นหอมยั่วยวนอยู่ในมือ
“เมื่อวานใครกลับมาส่งข้า?” ข้าถามขึ้น“เห็นว่าซูเหยียนกับตั้นไถเหยาเป็คนหามท่านกลับมา”
“แล้วพวกนั้นล่ะ?”
“ก็ต้องกลับไปแล้วสิ จะให้นอนค้างกับท่านหรือไง?” ซ้งเชียนยิ้มตาหยีก่อนจะพูดต่อ“ท่านรู้หรือเปล่าว่าผู้ชายคนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าจะมีสาวสวยตั้งสองคนหามกลับบ้านแบบนี้อีกอย่างเมื่อคืนตอนข้ามาก็เห็นท่านอยู่ในสภาพรอมร่อเกือบจะไม่รอดแล้วแต่ทำไมตอนนี้ถึงปกติดีทุกอย่าง ไหนบอกว่าถึงกับกระดูกไหล่หักเลยไม่ใช่หรือไง?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ข้าขยับแขนไปมาก็รู้สึกได้ว่าภายในเส้นลมปราณมีพลังวิญญาญที่แตกตัวคล้ายเส้นใยกำลังไหลเวียนสร้างความอบอุ่นให้แก่เส้นลมปราณและเส้นเอ็นจนแตกแขนงและเจริญเติบโตเพื่อให้พลังแก่ร่างกายรวมถึงพลังงานอื่นที่มิใช้พลังจากตัวเองที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายได้ดีโดยไม่ขัดกับพลังเดิม
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ความรู้สึกตอนนี้คือพลังที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายเป็พลังเดียวกับที่โดนเฉิ่นปู้หยุนโจมตีเมื่อเย็นวานนี้หรือจะเป็เพราะร่างกายได้ดูดเอาพลังของเขามาไว้ในตัวอย่างนั้นหรือ? ไม่น่าเป็ไปได้ เพราะทั้งในตำราของแผ่นดินใหญ่หลงหลิงหรือตำนานเล่าขานต่างๆก็ไม่เคยมีปรากฏว่ามีการดูดพลังิญญาของผู้อื่นมาไว้ในตัวได้เลย
“ท่านไม่เป็ไรใช่ไหมพี่เชวียน?” ซ้งเชียนถามแล้วโบกไม้โบกมือตรงหน้า
“ไม่เป็ไร”
“เดี๋ยวข้าเอาของวางไว้ตรงนี้แล้วกัน ท่านก็รีบกินตอนที่ยังร้อนๆ ล่ะข้าไปเข้าเรียนก่อนนะ” “อืม ขอบใจเ้ามากนะเสี่ยวเชียน รีบไปเถอะเดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก”
“อืม”
ซ้งเชียนว่าแล้วก็เดินไปส่วนข้าเองก็ไม่ได้มีอารมณ์จะกินข้าวกินน้ำภาพเพลงขาเมฆาหมอกของเฉิ่นปู้หยุนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนว่าทั้งการโจมตีและกระบวนท่าต่างๆ ได้เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้งหนึ่งสมองค่อยๆวิเคราะห์และลำดับภาพวรยุทธ์ขั้นสองอย่างเพลงขาของเฉิ่นปู้หยุนอย่างละเอียด
เพลงขาเมฆาหมอกมีทั้งหมด5ขั้น ขั้นที่หนึ่งคือเอกากัลป์เบิกขุนเขา ขั้นที่สองคือเพลิงม้วนใบขั้นที่สามคือสองขาทลายบัว ขั้นที่สี่คือลำแสงหมื่นลี้ และขั้นที่ห้าอย่างเพลิง์ลุกลามโดยความละเอียดของการขยับในแต่ละกระบวนท่าก็เป็เหมือนตราเหล็กร้อนที่ฝังลงในหัวจนทำให้รู้สึกว่าตัวข้าเองก็สามารถจะทำมันได้บ้างความละเอียดของการเคลื่อนไหวในแต่ละกระบวนท่ายิ่งตอกย้ำและฝังลึกลงจนข้าเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถทำได้เช่นกัน
พอคิดได้แบบนั้นก็ะโพรวดลงจากเตียงแล้วตั้งท่า
เพลงขาเมฆาหมอกขั้นที่หนึ่งเอกากัลป์เบิกขุนเขา!
...
ขณะที่กำลังถีบขาออกไปอย่างรวดเร็วพลังิญญาร้อนๆในร่างกายก็แล่นผ่านลงมาที่ขากลายเป็พลังิญญาที่ร้อนระอุออกมาดังเปรี๊ยะๆฟาดลงบนอากาศเปลวไฟที่พุ่งออกไปเป็รอยตามปลายเท้าที่สะบัดออก
ปัง!
เมื่อเห็นฤทธิ์ของพลังเมื่อครู่นี้ก็ได้รู้ถึงอานุภาพของพลังในทันทีแม้ว่าจะเป็แค่หนึ่งส่วนจากพลังทั้งหมดของเฉิ่นปู้หยุนก็ตาม
“นี่มันอะไรกัน?”
ข้าขมวดคิ้วแล้วถามตัวเองอย่างฉงนที่ตัวเองสามารถใช้เคล็ดวิชาของเฉิ่นปู้หยุนได้แบบงงๆ ทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายและสามารถจดจำทุกกระบวนท่าที่เฉิ่นปู้หยุนเคยใช้ในการประลองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!
นี่มันพลังอะไรกันหรือว่าจะเป็...
คำที่ผุดเข้ามาในหัวอยู่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือ...พร์!
มันจะต้องเป็พร์ของข้าเท่านั้นที่คิดออกในตอนนี้แต่ดูเหมือนว่าในตำราไม่ได้มีการบันทึกพร์แบบนี้อยู่เลยอย่างการหลอมรวมของพร์ระดับ S ก็ไม่น่าจะเป็ไปได้เพราะการหลอมรวมที่ว่าทำได้แค่ลอกเลียนแบบกระบวนท่าเท่านั้นไม่สามารถลอกเลียนแบบพลังได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้ากลับเป็การลอกเลียนแบบกระบวนท่าที่สามารถใช้พลังของมันได้จริงๆถึงหรือเรียกว่าพลังระดับแก่นสารของขั้นเริ่มต้นเลยก็ว่าได้
หลังจากที่ดีใจอยู่พักหนึ่งข้าก็เริ่มกระบวนท่าทั้งสี่ที่เหลือแม้จะเป็เพราะการบำเพ็ญของข้าทำให้ไม่สามารถใช้พลังได้ทั้งหมดแต่ก็ถือว่าน่าเกรงขามในขั้นหนึ่งแล้วล่ะ!
หลังจากจบกระบวนท่าแรกพลังิญญาในร่างกายก็ยังคงเดือดพล่าน จู่ๆ ก็นึกถึงปัญหาร้ายแรงที่สุดขึ้นมา
บนแผ่นดินหลงหลิงมีข้อห้ามอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับการแอบเรียนเคล็ดวิชาของผู้อื่นโดยเฉพาะพวกเคล็ดวิชาลับ แต่นั่นเป็สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะถึงแม้จะไม่ได้แอบเรียนวิชาของเฉิ่นปู้หยุนก็จริงแต่ก็ถือว่าสามารถใช้กระบวนท่าเพลงขาเมฆาหมอกไปเกือบสามส่วน แต่ช่างเถอะเพราะข้าก็ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นสักหน่อยขอเพียงไม่ใช้กระบวนท่านี้ต่อหน้าคนอื่นก็คงไม่มีปัญหา
พอคิดได้แบบนี้ก็หันมาทำงานทำการต่อ หลังจากที่เกลากระบี่สำหรับสองวันจนเสร็จภายในหนึ่งวันและเอาไปส่งให้แต่ละสนามจนเสร็จทั้งหมดในภาคเช้าข้าก็กลับมากินข้าวกินปลาและกลับมาฝึกฝนวิชาลมหายใจัต่อเพราะถึงอย่างไรวิชาในขั้นพื้นฐานยังไม่สมบูรณ์ดีนักซึ่งถือเป็ขั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับวิชานี้
ลมหายใจัขั้นที่สี่ปราณัเอกา
ปราณัเอกาคือการรวมเอาิญญาลมปราณ และจิตมาหลอมรวมเป็หนึ่งเดียว โดยที่ลมปราณก็คือลมปราณในร่างกายส่วนจิตก็คือจิติญญาและกำลังโดยพี่เสวียนยินเขียนไว้ในตำราว่าเป็ขั้นที่ยากที่สุดในห้าขั้นแรกเพราะลำพังแค่การจะทำให้ิญญากับลมปราณหลอมรวมกันมันไม่ใช่เื่ง่ายดังนั้นการให้ทั้งสามสิ่งรวมกันเป็หนึ่งเดียวยิ่งเป็เื่ที่ยากเกินความสามารถ
หลังจากตั้งกระบวนท่าเสร็จก็เปลี่ยนลมปราณให้กลายเป็พลังิญญาไหลเวียนไปตามร่างกายเมื่อเคลื่อนพลังไปได้เพียงสามรอบเหงื่อกาฬก็ไหลชุ่มไปทั้งตัว พลังิญญาที่แตกตัวเป็เส้นใยและล่องลอยอยู่บนิัคล้ายกับถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกแต่กลับมีพลังอันแข็งแกร่งเหมือนดั่งัที่กำลังแหวกว่ายอย่างบ้าคลั่งอยู่ในธาราจนแทบจะะเิพลังที่น่าตื่นตระหนกนั่นออกมา
กระทั่งผ่านไปกว่าเจ็ดรอบทั่วทั้งร่างก็เปียกชุ่มเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ลมปราณลดหวบเกือบเจ็ดถึงแปดส่วนจนต้องคว้าเอาหญ้าทางิญญามากินเพื่อฟื้นฟูพลังถึงแม้ว่าหญ้าทางิญญาจะหาได้ง่ายและมีฤทธิ์เทียบไม่ได้กับโสมโลหิตก็ตามแต่สุดท้ายข้าก็กลืนลงไปอยู่ดี รสชาติที่ขมฝาดค่อยๆไหลผ่านลำคอไปสู่กระเพาะและถูกดูดซึมโดยเส้นเืและกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าการฝึกฝนครั้งนี้ผ่านไปนานเท่าไรแต่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงพลังิญญาที่ร้อนระอุและพร้อมที่จะปะทุออกมาจากหน้าอกและเมื่อข้าเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าพลังิญญาของตนสลายไปและกลายเป็ัสีดำกำลังคาบหางตัวเองลอยวนอยู่เหนือศีรษะ
ักลืนหาง!
มันเป็สัญญาณอันตรายที่บอกว่าทั้งสามสิ่งที่กำลังฝึกฝนไม่สามารถหลอมรวมกันได้!
เฮือก...
เสียงทุ้มต่ำนี้ติดอยู่ในอกกลิ่นคาวเืลอยคลุ้งขึ้นมาที่ลำคอ หากควบคุบเ้าักลืนหางไม่ได้พลังิญญาก็จะแว้งกัด อย่างเบาที่สุดก็คือสูญเสียการบำเพ็ญทั้งหมดและหนักที่สุดก็อันตรายถึงชีวิต!
ในตำราของสำนักหมื่นิญญาบันทึกเอาไว้ว่าเมื่อเห็นภาพเค้าลางของักลืนหางจะต้องหยุดการฝึกฝนทันทีเพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิต มันมีโอกาสเกิดได้ยากมากๆแต่กลับมาเกิดขึ้นกับข้า
แต่ในตำราของพี่เสวียนยินเขียนไว้ว่า‘เื่ที่ดีสามารถมีตอนจบที่แย่ได้ และเื่ที่แย่ก็สามารถมีตอนจบที่ดีเช่นกัน’โดยได้อธิบายว่าเมื่อเกิดเค้าลางของักลืนหางในขณะที่กำลังฝึกฝนอย่าได้กังวลแต่ให้ตั้งสติและใช้พลังิญญาในร่างกายเปิดรับพลังอันซับซ้อนและน่าพิศวงที่มากับักลืนกางและรีบเข้าฌานให้เร็วที่สุดจากนั้นรวบรวมจิตใจไว้ในพลังิญญาเพื่อฝึกฝนจนถึงระดับสูงของขั้นนั้นๆแบบนี้ถึงจะสามารถสลายักลืนหางและบรรลุสู่ระดับสูงสุดของวิชาลมหายใจัขั้นที่สี่อย่างปราณัเอกาได้
มันต้องลอง!
แม้จะยังไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแต่ข้าก็เลือกที่จะหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายและเข้าฌานได้ในเวลาไม่นานทำให้พลังิญญาแทรกซึมเข้ากับพลังของักลืนหางอย่างช้าๆและรับรู้ถึงพลังที่เหมือนรอการปะทุออกมาในเวลาเดียวกันก็ใช้ใจเพื่อยุติพลังที่วิ่งสวนทางโดยการเปิดและยอมรับให้ได้เพียงชั่วพริบตาเดียวภาพเค้าลางของแม่น้ำนับพันสายที่ไหลรวมเป็หนึ่งก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำใหญ่ความสงบที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น
กระทั่งผ่านไปพักใหญ่พลังที่เหมือนจะปะทุออกมาก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงความอัดอั้นก่อนหน้านี้ก็เริ่มคลายออกจนรู้สึกโล่งสบายพลังิญญาในเส้นลมปราณได้ไหลเวียนสิ่งที่กำลังพยศอยู่จนร่างกายดูดซึมไปจนหมด
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่ามีพลังแผ่ซ่านออกมาจากไหล่ทั้งสองข้างปรากฏเค้าลางของัสีเขียวมรกตกว่าครึ่งตัว ทั้งน่าเกรงขาม ยิ่งใหญ่ราวกับ้าปกครองทุกสรรพสัตว์ในใต้หล้า
ไม่นานภาพนั้นก็เริ่มชัดขึ้นจนเห็นเกล็ดและเส้นหนวดอย่างชัดเจนซึ่งบ่งบอกว่าวิชาลมหายใจัขั้นที่สี่อย่างปราณัเอกาของข้าได้ฝึกฝนสำเร็จแล้วยังอยู่ในระดับเซียนและมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมากว่าห้าสิบชั่ง!
นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะสามารถฝึกจนบรรลุขั้นที่สี่ได้เร็วขนาดนี้ พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจอันตรายถึงชีวิต หรือแทบปาดเหงื่อเลยก็ว่าได้แต่กระนั้นก็ยังโชคดีที่ข้าฝึกมันสำเร็จแล้ว!
...
ทั้งพละกำลังและพลังิญญาในร่างกายต่างก็เพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อยและเมื่อมองออกไปข้างนอกก็เห็นว่าฟ้ามืดลงแล้วแต่ถึงแม้ฟ้าจะมืดจนเลยเวลากินข้าวที่โรงอาหารไปแล้วแต่ก็กลับมาใจชื้นขึ้นมาอีกรอบเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นเพราะนั่นหมายถึงข้าจะมีของอร่อยๆ จากซูเหยียนและตั้นไถเหยาให้กินอย่างแน่นอน!
ไก่อบเห็ดเนื้อแกะน้ำแดง ต้มปลากะพงน้ำใส ที่มาพร้อมกับข้าวอีกสามจานใหญ่ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้ขึ้น์
“กินช้าๆ หน่อย เ้านี่มันกินจุจริงๆ เลยนะปู้อี้เชวียน”ซูเหยียนนั่งมองแล้วยิ้มออกมา ดูเหมือนว่านางจะลืมเื่เข้าใจผิดเมื่อครั้งก่อนและกลายมาเป็เพื่อนกันไปแล้วจริงๆ
ตั้นไถเหยาที่อยู่ข้างๆถามขึ้นพร้อมกับหัวเราะเสียงเบา “หัวหน้าปู้ไก่ของเ้าคงจะไม่ได้กินอาหารนานแล้วสินะ ให้ข้าช่วยดีไหม?”
“อืม ขอบใจเ้ามากนะ”
ตั้นไถเหยายกกระสอบข้าวสารน้ำหนักกว่าห้าสิบกิโลแล้วเดินไปยังเล้าไก่อย่างง่ายดายผู้หญิงที่ฝึกวรยุทธ์อย่างตั้นไถเหยาช่างแตกต่างจากน้องของนางที่อ้อนแอ้นอรชรจริงๆ
“เย็นวันนี้จะไปท้าประลองกับเฉิ่นปู้หยุนอีกหรือเปล่า?” ซูเหยียนถามพลางยิ้ม
“ไปสิ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาไว้ข้าจะขัดเกลาวิชาที่เคยสอนเ้าก่อนแล้วค่อยไป”
“ดีเลย!”
นางตอบท่าทางดีใจเหมือนรอให้ข้าพูดคำนี้มานานแล้ว