ณถนนหลังเขาทางด้านประตูตะวันออกของสำนัก ทางม้าที่ขรุขระมุ่งตรงเข้าไปยังป่าลึก
เขาลั่วเซี่ยอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ริมถนนมีบึงน้ำ ลำคลอง และสิ่งมีชีวิตจำพวกปลาแหวกว่ายไปมาบนผิวน้ำเฉิ่นปู้หยุนเลือกที่จะพักผ่อนอยู่ในสถานที่แบบนี้เท่ากับว่าเขาไม่ได้ยึดติดกับสิ่งของยั่วยวนเหมือนกับอาจารย์ในสำนักคนอื่นๆ
เมื่อข้ากับซูเหยียนเดินเข้าไปใกล้กระท่อมไม้หลังนั้นก็พบว่าไม่ได้มีแค่เพียงเราสองคนแต่กลับมีลูกศิษย์ที่สวมชุดของสำนักหมื่นิญญาที่ร่างกายบอบช้ำเต็มไปด้วยรอยแผลจนเืไหลซึมออกมาอยู่หลายคน
ด้านหน้ากระท่อมเป็ลานกว้างกว่าสิบเมตรมีคบเพลิงส่องสว่างอยู่ทั่วบริเวณ แสงไฟสลัวเผยให้เห็นใบหน้าละอ่อนของบรรดาศิษย์ที่กำลังฮึกเหิมพวงแก้มแดงระเรื่อยืนให้กำลังเพื่อนคนหนึ่งอยู่
“หวังหลิงสู้ๆเ้าเป็ความหวังของสำนักจิงอิงอย่างพวกเราเลยนะ อย่าทำให้สำนักเราเสียชื่อล่ะเ้าจะต้องรับมือกระบวนท่าที่สามของท่านเฉิ่นให้ได้!”
“ใช่แล้ว สู้เขา!”
“สู้เขา! สู้เขา!”
ยังมีศิษย์ผู้หญิงที่คอยให้กำลังใจอีกด้วย
สำนักจิงอิงอยู่ในลำดับที่สองของห้าสำนักชั้นนอกศิษย์ในสำนักส่วนใหญ่ต่างก็เบิกพลังิญญาขั้นต้นกันเรียบร้อยแล้วแม้วรยุทธ์จะไม่เก่งกล้าอะไรมาก แต่ทุกสำนักต่างก็มีเกียรติเป็ตัวเองทำให้เื่แบบนี้ไม่เป็ที่ยอมรับกันในสำนักหมื่นิญญาเท่าไรนัก
ซูเหยียนที่เหมือนจะเห็นข้ากำลังประหลาดใจจึงพูดอธิบายขึ้นมา
“เ้ารู้หรือเปล่าว่าเฉิ่นปู้หยุนไม่ได้เป็แค่ปรมาจารย์นักรบิญญาเพียงอย่างเดียวแต่เป็ดั่งหินทดสอบทองที่แข็งแกร่ง แม้ว่าเ้าจะรับมือเขาได้เพียงกระบวนท่าเดียวหรือรับมือได้กี่กระบวนท่าก็ตาม เื่ราวของเ้าก็จะกลายเป็ข่าวใหญ่ไปทั่วสำนักดังนั้นถ้าเกิดว่าเ้าแพ้คนพวกนี้ก็ต้องหัวเราะเยาะเ้าเป็ธรรมดาแต่ข้าจะคอยให้กำลังใจเ้าเอง!”
“ขอบใจเ้ามากนะซูเหยียน”ข้าบอกด้วยความรู้สึกที่กินใจ
นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น“ไม่ต้องมาขอบใจข้าหรอก กลับไปเลี้ยงข้าวข้าก็พอแล้วล่ะ”
“งั้นเ้าก็รอข้าหาเงินได้ก่อนละกัน”
“อืม”
และในตอนนี้เองประตูกระท่อมก็เปิดออกเผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดสวมชุดคลุมยาวสีเทาเดินออกมาด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรแล้วพูดขึ้น “ใครจะเป็คนต่อไป?”
“ข้าเอง” หวังหลิงเสนอตัวแล้วโค้งคำนับก่อนจะพูดต่อ“ปรมาจารย์นักรบิญญาเฉิ่น ข้าคือหวังหลิงแห่งสำนักจิงอิงมาเพื่อให้ท่านช่วยชี้แนะ!”
“เ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?” เฉิ่นปู้หยุนมองด้วยสายตาที่แวววับ
“ขอรับ”
หลังหลิงวางท่าหนักแน่นแล้วเรียกอาวุธิญญาออกมาก่อนจะะโลั่นเพื่อะเิพลังิญญาัสีเขียวมรกตตัวใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับคมเขี้ยวที่วาววับและพลังอันกล้าแกร่งเหนือหัวไหล่ทั้งสองนึกไม่ถึงว่าัที่เผยให้เห็นนั้นจะชัดเจนเกือบครึ่งตัวขนาดนี้นั่นหมายความว่าเขาได้ฝึกฝนวิชาลมหายใจัขั้นที่สี่จนถึงระดับสมบูรณ์แล้วศิษย์ของสำนักจิงอิงนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“เชิญ!”
ดวงตาของเด็กหนุ่มฉายแววมุ่งมั่นเป็ประกายเขารวบรวมพลังิญญาไว้ที่กระบี่ และถลาเข้าจู่โจมฝ่ายตรงข้ามก่อนกระบี่ที่มีสีเืแผ่ซ่านออกมาเริ่มกวัดแกว่งและทรงพลังปลายกระบี่แทงทะลุใจกลางพลังที่ะเิออกมาซึ่งเป็อีกหนึ่งวรยุทธ์ที่สำนักสอนให้แก่ศิษย์คนอื่นๆ อย่างวิชาทะลวงิญญานั่นเอง
วิชาทะลวงิญญาเป็วรยุทธ์ขั้นสามเป็กระบวนท่าที่ใช้ทำลายพลังิญญาของคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วและดุดัน
ซูเหยียนที่มองดูสถานการณ์อยู่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและเยือกเย็น“สภาพกระบี่หลอมรวมได้อย่างน่าเกรงขาม และยังมีพลังการะเิิญญาคู่ต่อสู้สูงถึงขั้นที่ห้าถือว่าไม่เลวเหมือนกัน...”
แม้พลังของหวังหลิงจะทรงอานุภาพสักแค่ไหนแต่เฉิ่นปู้หยุนก็ไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัวออกมาเลยสักนิดและขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องการประลองกันอย่าจดจ่ออยู่นั้นเฉิ่นปู้หยุนก็เตะเท้าแล้วพุ่งตัวไปด้วยกระบวนท่าัพันศิลา แล้วใช้กระบวนท่าัพันศิลาพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วจนสายตาจับไม่ทันพร้อมกับพลังที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงถีบเข้าไปที่พลังทะลวงิญญาของหวังหลิงจนฝุ่นตลบส่วนร่างกายที่ลอยอยู่กลางอากาศดุจัั์ก็ม้วนตัวเข้าโจมตีจนกระบี่ของหวังหลิงร่วงหล่นปักลงบนพื้น
ด้วยพลังที่แข็งแกร่งเกินต้านทำให้ข้าตะลึงไปชั่วขณะทั้งที่เป็วิชาลมหายใจัขั้นที่สองเหมือนกันแต่ทำไมพลังัพันศิลาของเฉิ่นปู้หยุนจึงมีอานุภาพมากกว่าข้าหลายเท่าราวกับูเาที่กดทับร่างของหวังหลิงเอาไว้
ตุบ!
ร่างของหวังหลิงที่ทนรับพลังอันมหาศาลนี้ไม่ไหวตกกระแทกพื้นจนได้รับาเ็สาหัสก่อนที่เขาจะกระอักเืจากอาการบอบช้ำจากภายในประลองเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้นเขาก็แพ้อย่างราบคาบ
ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างกับภาพตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าเฉิ่นปู้หยุนจะไม่ได้ออมมือเลยสักนิด
“ว้าว...”
ซูเหยียนเม้มปากเล็กๆก่อนจะพูดขึ้น “อาจารย์ท่านนี้ลงมือเร็วชะมัด...”
ข้าเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในตอนนี้เองเฉิ่นปู้หยุนก็ยกมือชี้หน้าแล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจนัก“ใช้ไม่ได้เลยสักคน รีบเอาไปส่งที่ห้องพยาบาลขืนช้ากว่านี้คงจะรักษาไม่ทันแน่...วันนี้พอแค่นี้แหละ กลับไปให้หมด”
ศิษย์คนอื่นต่างก็ส่ายหน้าด้วยความคับแค้นใจและเตรียมตัวกลับ
“ช้าก่อน!”
ดูเหมือนว่าคำพูดของข้าจะดึงดูดทุกสายตาให้หันมามองได้ดีทีเดียวและขณะที่ยื่นจดหมายแนะนำให้แก่เฉิ่นปู้หยุน คนอื่นๆจะเริ่มรู้แล้วว่าข้าเป็ใครก่อนจะเริ่มซุบซิบนินทา
“หืม...นี่มันศิษย์สำรองที่อยู่ในโรงเกลากระบี่นั่นหรือไง?”
“เฮอะๆคนเลี้ยงไก่อย่างปู้อี้เชวียนก็อยากจะมาท้าประลองกับปรมาจารย์นักรบิญญาเฉิ่นงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ คงมีอะไรสนุกๆ ให้ดูแล้วข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเ้าศิษย์สำรองนี่จะไปได้สักกี่น้ำ!”
...
เฉิ่นปู้หยุนมองจดหมายพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น“เ้ารู้หรือเปล่าว่าในจดหมายเขียนว่าอะไร?”
ข้าส่ายหน้า
“ฮึๆ เ้าดูเองละกัน”
ข้าอ่านจดหมายที่เขายื่นมา“ปู้อี้เชวียนเป็น้องของข้า ลงมือหนักได้แต่อย่าถึงตาย...ปู้เสวียนยิน”
ไหนบอกว่ารักข้าไง!
ข้าหุบยิ้มแทบไม่ทันก่อนจะพูดขึ้นอย่างจนปัญญา“งั้นตอนนี้ข้าจะประลองกับท่านได้หรือยัง?”
“ได้สิ”
เฉิ่นปู้หยุนยิ้มอ่อนก่อนจะพูดต่อ“ขอเพียงแค่เ้ารับมือข้าได้ถึงสิบกระบวนท่า นอกจากจะรับเ้าเป็ศิษย์แล้วข้าก็จะสอนวิชาเพลงขาเมฆาหมอกให้เ้าด้วย”
“ได้!”
ข้าพยักหน้าแล้วถอยออกสองสามก้าวแขนทั้งสองกางออกและเตรียมตัวให้อยู่ในท่าัพันศิลาก่อนพลังจะแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง และถึงแม้จะเป็กระบวนท่าัพันศิลาเหมือนกันแต่ระดับพลังยังต่างกับเฉิ่นปู้หยุนอยู่มากพลังิญญาลุกท่วมเส้นปราณ์แล้วไหลเวียนทั่วร่างกาย พลังที่ปะทุออกมาจนฝุ่นตลบเผยให้เห็นหางัที่มีเกล็ดสีครามพุ่งปรากฏขึ้นทางด้านหลัง
กระบวนท่าัพันศิลาขั้นสมบูรณ์!!
“ฮ่าๆๆๆ ... เ้านี่มันบ้าไปแล้วหรือไงถึงได้เอาวิชาลมหายใจัขั้นที่สองมาสู้กับจอมยุทธในอันดับัแบบนี้มันจะต้องโง่ไปแล้วแน่ๆ”
“ข้าว่ามันทั้งโง่ทั้งบ้าเลยล่ะ ฮ่าๆๆๆ ...”
“อย่างมันรับมือได้ไม่ถึงครึ่งกระบวนท่าก็ต้องโดนซัดกลับอย่างหมาแน่นอนคอยดูเถอะ!”
“เฮอะเป็แค่ศิษย์สำรองแต่ริอ่านจะมาเป็ศิษย์ของเฉิ่นปู้หยุนช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาซะเลย!”
คนอื่นๆพากันหัวเราะเยาะเย้ย มีแค่ซูเหยียนที่ใช้มือป้องปากแล้วะโขึ้น “ปู้อี้เชวียนสู้เขา!”
กลุ่มศิษย์ผู้ชายต่างก็หันไปตามเสียงพวกเขาไม่คิดเลยว่าหญิงงามของสำนักถึงกับยอมลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับศิษย์สำรองในโรงเกลากระบี่แถมยังส่งเสียงให้กำลังใจอย่างนั้นอีกสายตาดั่งคมมีดที่จับจ้องข้าราวกับพร้อมจะทิ่งแทงได้ทุกเมื่อความรู้สึกแบบนี้มันช่างอึดอัดและไม่สบายใจเลยสักนิด
เฉิ่นปู้หยุนมองกระบวนท่าของข้าแล้วหัวเราะออกมา“เ้าไม่เรียกอาวุธิญญางั้นเหรอ?”
“ไม่”
“ทำไม”
“ข้าไม่คิดที่จะโจมตี”
เฉิ่นปู้หยุนยิ้มอย่างทะนง“ไม่โจมตี? หรือเ้าไม่เคยได้ยินที่คนเฒ่าคนแก่เขาพูดกันว่าการโจมตีเป็การป้องกันที่ดีที่สุดงั้นเหรอ?”
ข้าเองก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน“แต่ถ้าพลังแตกต่างกันอย่างชัดเจน แล้วฝั่งที่อ่อนแอกว่าเลือกโจมตีก่อนมันก็เหมือนแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ หาได้เป็การโจมตีเพื่อป้องกันไม่”
“ก็ดี ถือว่าฉลาดไม่น้อยเพราะรู้เขารู้เรา!”
น้ำเสียงนั้นเงียบลงเฉิ่นปู้หยุนก็อยู่ตรงหน้า ขาแกร่งเหยียดตรงอย่างมั่นคงก่อนจะะโเสียงดังลั่น“ข้าขอดูหน่อยแล้วกันว่ากระบวนท่าัพันศิลาของเ้าจะทนทานสักแค่ไหน!”
ปัง!
แรงขาอันทรงพลังฟาดลงมากระแทกแขนซ้ายจนกระบวนท่าัพันศิลาเสียศูนย์ถึงแม้พลังิญญาจะแตกสลายไป แต่เท้ายังหยัดร่างให้ทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ล้มลงร่างของข้าถดถอยไปตามพลังที่ได้รับกว่าห้าเมตรลมในร่างตีกลับทำให้รับรู้ถึงกลิ่นคาวเืที่กระอักขึ้นมาเปื้อนตรงมุมปากช่างรุนแรงยิ่งนัก! มิน่าล่ะพี่เสวียนยินถึงได้คะยั้นคะยอให้ข้ามาเรียนเพลงขาอันนี้นัก!
“ยังยืนหยัดได้งั้นหรือ?”
เฉิ่นปู้หยุนเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย“เ้าแน่ใจแล้วหรือที่จะรับกระบวนท่าต่อไปของข้า?”
“ขอรับ!”
ข้าพยักหน้ารับพร้อมกับสมองที่ประมวลภาพการโจมตีเมื่อครู่ ไม่ว่าจะเป็มุมองศา พลัง และความเร็วรวมถึงพลังิญญาที่ไหลเวียนในร่างกายของเขาเมื่อครู่เป็เหมือนตราเหล็กร้อนที่ประทับลงในสมองเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับข้าในตอนนี้คือพลังแบบไหนกันแน่?
“เ้าหมู เ้าแน่ใจนะว่าไม่เป็ไร?” น้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็ห่วงดังออกมาจากปากของซูเหยียน
ถึงแม้คำว่าเ้าหมูจะไม่ใช่คำเรียกที่ดีเท่าไรนักแต่มันกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นและเป็กันเองและทำให้รู้สึกว่าข้ายังพอมีเพื่อนในสำนักหมื่นิญญานี้บ้าง
“ไม่เป็ไร” ข้าส่ายหัว ก่อนจะหันไปบอกกับเฉิ่นปู้หยุน “เอาอีก!”
พลังที่ไหลเวียนอยู่ตลอดในแขนซ้ายยิ่งทำให้ข้ารับรู้ถึงพลังที่เพิ่มมากขึ้น ข้ากลับมาตั้งหลักอยู่ในกระบวนท่าัพันศิลาได้อีกครั้งถึงแม้พลังจะแตกต่างจากครั้งแรกมาก แต่ก็ยัง มั่นคงและยืนนิ่งราวกับูเาที่ไม่สั่นคลอนมวลพลังที่แฝงอยู่ข้างในกำลังไหลเวียนและเพิ่มขึ้นรอเวลาะเิออกมา
“ดี!”
เฉิ่นปู้หยุนยิ้มอ่อนก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวแล้วเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเหมือนม้าที่น่าทึ่งพลังิญญาแปรสภาพเป็เปลวไฟลุกโชนที่ขาซ้ายแล้วพุ่งตรงเข้ามายังหน้าท้องของข้าอย่างจัง ทั้งรุนแรงรวดเร็วจนข้าเองแทบไม่อยากเข้าประจันหน้าเสียด้วยซ้ำ
แต่อย่างนั้นข้าก็รวบรวมพลังไปไว้ยังฝ่ามือที่ประกบกันแน่นและใช้พลังัพันศิลาข้าต่อกลอนกับจุดที่โดนโจมตี
ตูม!!!
เสียงจากการปะทะที่รุนแรงดังขึ้นอีกครั้งพลังิญญาในร่างกายลดฮวบไปกว่าครึ่งอย่างรวดเร็วและพลังของกระบวนท่าัพันศิลาก็ย่อยยับลงอีกครั้ง พร้อมกับร่างที่ถูกกระแทกถอยไปกว่าสามเมตรจนเกิดร่องลึกจากรองเท้าที่ลากไปบนพื้นเป็ทางยาว
“เอื้อ...”
ถึงแม้จะกระอักเืออกมาอีกครั้งแต่ใช่ว่าจะล้มลงการโจมตีทั้งที่สองแล้วสินะ!!!
ภาพการโจมตีของเฉิ่นปู้หยุนยังคงหมุนวนอยู่ในหัวแต่ละฉากเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างช้าๆ จนข้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับว่าสมองกำลังวิเคราะห์วิธี และกระบวนการที่คู่ต่อสู้ใช้โจมตีอยู่
และในเวลาเดียวกันแขนทั้งสองข้างที่มีอาการชาจากแรงปะทะก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาด้วยพลังที่คุ้นเคยใช่แล้ว! มันเป็พลังที่มาจากเพลงขาเมฆาหมอกของเฉิ่นปู้หยุน
นี่มันอะไรกัน? ทำไมพลังของเขาถึงมาอยู่ในตัวข้าแถมยังสามารถใช้มันได้อีกต่างหาก
“สองกระบวนท่าแล้ว!” ซูเหยียนที่เห็นข้าอยู่ในสภาพสะบักสะบะโกนบอก“เ้าหมู ยอมแพ้เถอะ ไม่งั้นอาจถึงตายได้นะ!”
ข้าได้ยินแล้วก็ส่ายหัว“ไม่...หากข้ายังลุกยืนได้อยู่ ข้าจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!”
“งั้นข้าจะทำให้เ้าลุกไม่ขึ้นเอง!”
ภาพตรงหน้าสว่างวาบแล้วดับลงทั้งร่างปลิวตกลงบนพื้นอย่างหนักจนสลบเหมือดไป แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากศิษย์คนอื่นๆ ดังไปทั่วบริเวณ
“ฮ่าๆๆมันแพ้แล้ว!”
“เป็แค่ศิษย์ตัวสำรองกระจอกๆ แต่รับมือจอมยุทธ์อันดับัได้ถึงสามกระบวนท่าก็ถือว่าไม่เลว!”
“เฮอะ สุดท้ายแล้วก็แค่พวกไร้ประโยชน์ที่จะเอาไปเทียบกับพวกที่ทนรับมือกับเฉิ่นปู้หยุนอย่างสำนักสีเลี้ยนและสำนักหยุนต้งยังไม่ได้”
“ให้ตายเถอะ ข้านึกว่าเป็พวกมีพลังแต่แอบซุ่ม สุดท้ายก็แค่สวะ!”
...
ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือความเ็ปรวดร้าว
ในตอนที่สลบและฝันอยู่นั้นนอกจากความเ็ปแล้ว ข้ายังรู้สึกได้ถึงความสบายจนข้านึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกันหรือข้าจะเป็พวกชอบความรุนแรงอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทางเป็ไปไม่ได้เด็ดขาด! และถ้าอย่างนั้นความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวก็คงเป็เพราะการโจมตีของเฉิ่นปู้หยุนทำให้ร่างกายของข้าเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองและยาพันิญญาก็กำลังออกฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง!
แต่การที่สมองยังคงมีภาพการโจมตีของเฉิ่นปู้หยุนวนเวียนอยู่ซ้ำๆยิ่งทำให้ยากที่จะเข้าใจอยู่ดี