สัญญาและบทของตำนานยุคฉินต่างก็ไม่ได้ถูกส่งมาถึงมือของฉินซี ฉินซีจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่กล้าโมโหและไม่กล้าพูดอะไร อย่างไรที่เฉินเจวี๋ยจัดการทุกอย่างให้ก็เพราะหวังดีต่อเขา ตอนนี้แผนการของเกาจิ้งกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น ดังนั้นแม้เขาจะไม่ไปบริษัท เกาจิ้งก็ยังคงให้เงินเดือนเขาโดยไม่คิดมาก ตอนนี้ไม่ว่าฉินซีจะคิดอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้กังวล เขาจึงยืดแขนออกไปอย่างผ่อนคลาย เวลาไม่มีอะไรทำก็ดื่มน้ำผลไม้ ทานขนม ดูบันทึกประวัติศาสตร์ อ่านตำราจึจื้อทงเจียน[1] ค่อยๆ ดูการ์ตูนเื่ตำนานยุคฉินไปเรื่อยๆ วันเวลาของเขาผ่านไปด้วยความว่าง
ในขณะที่ฉินซีนั่งหาวด้วยความี้เีอยู่บนโซฟา จู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล ฉินซี นายอยู่ไหนน่ะ?” ปลายสายส่งเสียงที่เขาคุ้นเคยออกมา ฉินซีคิดขึ้นได้ทันที หลังจากที่เขากลับมาเกิดใหม่แล้ว ในสมองของเขาก็มีแต่การแสดงและการแก้แค้น ตอนกลับไปมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ติดต่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนเลย คนที่โทรศัพท์เข้ามาหาไม่ใช่เ้าอ้วนต้วนที่เคยเป็รูมเมทของเขาในสมัยก่อนหรือไง?
“เ้าอ้วนต้วนมีอะไรหรือเปล่า?” ฉินซีนั่งตัวตรงบนโซฟาทันที รู้สึกราวกับกลับไปในอดีตในชั่วพริบตา
“ไง ไม่มีอะไร ก็แค่จะเรียกออกมาเที่ยวเล่นด้วยกันเย็นนี้สักหน่อย”
“อ้อ… ได้ กี่โมงล่ะ?”
“สักสี่โมงก็แล้วกัน จะได้ไปร้องเพลงเล่นที่คาราโอเกะสักพัก...”
“โอเค” ฉินซีวางสายไป และจ้องโทรศัพท์อยู่สักพัก ก็พลันรู้สึกว่าตัวตนที่ไร้เดียงสาเมื่อชาติก่อนนั้น ห่างไกลจากตัวเองออกไปแล้ว เขาไม่อาจกลับไปบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างสมัยเรียนได้อีกแล้ว
ช่างเถอะ ก้าวเท้าเข้าไปในวงการบันเทิงข้างหนึ่งแล้ว จะไปคิดมากมายเพื่ออะไรกัน? ฉินซีสะบัดหัวไปมา ก่อนจะโยนโทรศัพท์ทิ้งไปอีกทาง
พอใกล้จะสี่โมง ฉินซีก็เรียกรถแท็กซี่นั่งไป เมื่อถึงหน้าประตูแล้ว ก็มีคนเรียกเขาเอาไว้
“ฉินซี!”
เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน และรู้สึกว่าเสียงนี้ฟังคุ้นหู แต่คิดไม่ออกว่าเป็ใครในชั่วขณะ เขาหันหน้าไปมอง อีกฝ่ายแสยะยิ้มส่งเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียม ก่อนจะพุ่งเข้ามาผลักฉินซีกระแทกกับกำแพงข้างร้านคาราโอเกะ จนฉินซีส่งเสียงร้องออกมาสั้นๆ ด้วยเพลิงโทสะที่สุมหัว เขาจึงยื่นมือออกไปต่อยท้องของอีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะมองให้ชัด จากนั้นก็ใช้หัวกระแทกเข้าไปอีกที เมื่อจัดการจนอีกฝ่ายล้มลง ก็นั่งลงไปต่อยซ้ำอีกสองครั้ง ดูเหมือนว่าหมัดแรกจะโดนเข้าที่คาง และหมัดสองซัดไปโดนสันจมูก
คนที่ถูกเขากดทับอยู่ใต้ร่างคิดไม่ถึงว่าเขาจะรุนแรงขนาดนี้ จึงร้องโอดครวญเล็กน้อย ก่อนจะะโด่าออกมา “เวรเอ๊ย! ฉินซี ปล่อยฉัน!”
ฉินซีตบคนคนนั้นไปหนึ่งที “หลิงโอว แม่นายสิ” ฉินซีโมโหมาก จึงง้างมือตีก้นหลิงโอวไปอีกที หลิงโอวเองก็โมโหจนแทบะเิ สีหน้าของเขาเขียวปี๋ แต่กลับถูกคร่อมอยู่ใต้ร่างของฉินซี เดิมทีจึงไม่อาจดิ้นรนอะไรได้
“ปล่อยฉัน...”
“เป็บ้าหรือเปล่า? ฉันเดินอยู่ตามทาง ก็ยังจะเข้ามาผลักฉันอีก? เข้ามาผลักแล้วยังไม่พอ นายยังจะมาทำตัวเหมือนตัวเองถูกรังแกอีก!” ฉินซีไม่ชอบคนที่เวลาโมโหแล้วพูดจาหยาบคาย ดังนั้นเขาจึงยิ่งลงมือกับหลิงโอวรุนแรงขึ้น
หลิงโอวถูกต่อยจนใบหน้าช้ำ เขาถลึงตาใส่ฉินซีอย่างดุร้าย “ทั้งหมดเป็เพราะแก… เพราะแก...”
“เป็เพราะฉัน?” ฉินซีแสยะยิ้ม ก่อนจะยกมือตบลงที่พวงแก้มของหลิงโอว “ปกตินายก็ชอบสร้างความลำบากให้ฉันในกองถ่ายไปทั่ว ฉันพยายามทำงานในกองถ่ายให้ดีก็เลยไม่มีเวลาสนใจนาย แต่นายกลับทำตัวเหมือนถูกเอาเปรียบตลอด หืม? ที่นายถูกไล่ออกมาจากกองถ่ายเพราะทำผิด มันเกี่ยวอะไรกับฉัน?” ฉินซีพูดพร้อมกับนำโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง “ฉันว่านายไปอธิบายที่สถานีตำรวจดีกว่า” ต้องทำให้เขารู้ว่าการเข้ามาทำร้ายคนด้วยเจตนาไม่ดีนั้นผิดกฎหมาย
ตอนนี้ฉินซีไม่ได้กังวลอะไรแม้แต่น้อย อีกฝ่ายออกมาจากกองถ่ายแล้ว แม้จะต่อยหลิงโอวจนหน้าบวมเป็หัวหมู ก็ไม่มีทางกระทบถึงการถ่ายทำและไม่มีทางทำให้ผู้กำกับไม่พอใจ ตอนอยู่ในกองถ่ายเขายอมมามากพอแล้ว สำหรับคนแบบนี้ เขาไม่อาจปรานีด้วยได้!
“แก… กล้าเหรอ!” ตอนที่หลิงโอวเข้ามาผลักฉินซีนั้นนับว่าเขาใจกล้ามาก ทว่าน่าเสียดายที่หลังจากถูกฉินซีต่อยจนมึนเบลอ เขาก็รู้สึกกลัวฉินซีขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“เฮ้ ฉินซี นายทำอะไรอยู่น่ะ? ต่อให้นาย… จะไม่ชอบคนนี้เข้า นายก็ทำอะไรบ้าๆ หน้าประตูใหญ่ไม่ได้นะ...” เ้าอ้วนต้วนยืนยิ้มตาหยีอยู่ตรงนั้น สองมือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ท่าทางดูไม่ใช่คนดีนัก
ใบหน้าของหลิงโอวแดงก่ำ จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงไปด้วยความกลัว เขาคิดว่าวัยรุ่นตัวสูงใหญ่คนนี้คือผู้ช่วยของฉินซี
ฉินซีกลอกตาขึ้น ก่อนจะปล่อยตัวหลิงโอว หลิงโอวรีบลุกขึ้นมาอย่างไม่คิดชีวิต แต่ฉินซีกลับยกเท้าขึ้นเหยียบตัวเขาลงไปอีกครั้ง
ในตอนนั้นเ้าอ้วนต้วนเพิ่งจะเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแสยะยิ้มก่อนจะก้าวเข้ามาไวๆ และกดหลิงโอวลงบนพื้นอย่างหนักแน่นอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปถามฉินซี “นี่เป็ศัตรูของนายเหรอ?”
ฉินซีหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ รอจนปลายสายรับแล้ว มุมปากของเขาก็หยักโค้งขึ้น “สวัสดีครับ สถานีตำรวจใช่ไหม...”
ในตอนนั้นสีหน้าของหลิงโอวกลายเป็ซีดเผือดอย่างชัดเจน เขาเพิ่งเคยัักับฉินซีที่รับมือได้ยากแบบนี้
…...
“หลิงโอว มีคนมารับตัวแล้ว” ตำรวจเปิดประตูเข้ามา ใบหน้าของเขาไม่มีความรำคาญใจและรังเกียจอย่างก่อนหน้านี้แล้ว
หลิงโอวถอนหายใจ ก่อนจะลอบมองฉินซีที่นั่งอยู่บนม้านั่งอย่างได้ใจ “ขอโทษนะ ฉันไปก่อนล่ะ”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีคนผลักประตูเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” น้ำเสียงนั้นเย็นเยือกเสียดกระดูก และยังแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามที่ทำให้ไม่กล้าขัดขืน
เสียงของเขาดังขึ้นก่อนที่เ้าตัวจะตามมา ฉินซีเงยหน้ามองด้วยความเอื่อยเฉื่อย แต่หลังจากได้เห็นใบหน้านั้นแล้ว ทั่วทั้งตัวของเขาก็กลายเป็แข็งเกร็ง ชายที่เข้ามาสวมชุดสูทสีดำ ใบหน้าที่เดิมทีหล่อเหลาและอบอุ่นปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น ทำให้ผู้คนจับเขาเชื่อมเข้ากับคำว่า ‘อบอุ่น’ ได้ยาก หากมองเพียงภายนอก เขาก็เป็ชายหนุ่มที่เพียบพร้อม ทั้งสูง หล่อ รวย ชวนให้คนชื่นชม แต่ตอนนี้ในใจของฉินซีกลับเหลือเพียงความหวาดกลัว มันคือสัญชาตญาณ เป็ความกลัวที่ไม่อาจต่อต้าน และยังแฝงไปด้วยความเกลียดชัง
ร่างกายของฉินซีเริ่มสั่นไหวขึ้นมา...
จี่อวี้เซวียน...
จี่ อวี้ เซวียน!
เขาไปรู้จักกับหลิงโอวได้อย่างไร?!
ฉินซีคิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อไม่มีเฉินเจวี๋ยปกป้องอยู่ข้างกาย เขาก็อ่อนแอจนไม่อาจต่อต้านอะไรได้แบบนี้! เขาต้องกัดฟันจนแทบแหลกละเอียด รวมถึงใช้พลังทั้งหมดถึงสามารถควบคุมไม่ให้ตัวเองส่งสายตาเกลียดชังไปหาจี่อวี้เซวียนได้
เดิมทีเ้าอ้วนต้วนก็ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของฉินซี เขาลุกขึ้นมาทันที ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่ได้คิดอะไร “อะไรกัน? จะไม่สอบสวนต่อแล้วเหรอ? แค่นี้ก็ปล่อยออกไปเลยเหรอ?” เ้าอ้วนต้วนมองจี่อวี้เซวียนอย่างไม่เป็มิตรนัก
จี่อวี้เซวียนเก็บสายตาเยือกเย็นกลับมา หันหน้ามายิ้มอย่างมีมารยาทให้ “ขอโทษด้วยนะครับ พวกเราทำไปตามกฎเกณฑ์ของสถานีตำรวจ ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรก็ไปหาตำรวจเอานะครับ”
ในระหว่างที่เ้าอ้วนต้วนยังคงโมโหอยากจะพูดอะไรออกมา สายตาของจี่อวี้เซวียนก็หันไปทางฉินซีที่นั่งอยู่บนม้านั่ง ความจำของเขาดีมาก ช่วยไม่ได้... ก่อนหน้านี้ฉินซีเลือกเวลาปรากฏตัวออกมาได้อย่าง ‘พอดิบพอดี’ ภายในแววตาของจี่อวี้เซวียนปรากฏความเยือกเย็นออกมา เขาสาวเท้ายาวๆ ไปตรงหน้าฉินซี ก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างสุภาพ “ถ้าจำไม่ผิด นายคือฉินซีใช่ไหม?”
ฉินซีจะไปถูกเนื้อต้องตัวสุภาพบุรุษจอมปลอมนี่ได้อย่างไร? แม้จะเป็การกระทำที่ทำให้จี่อวี้เซวียนไม่พอใจขึ้นมาแล้วอย่างไร? ฉินซีเหยียดยิ้มในใจ และแสดงท่าทีให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีความคิดจะยื่นมือไปจับกับอีกฝ่าย
ความประหลาดใจของจี่อวี้เซวียนยิ่งทวีคูณ มีคนตั้งมากมายที่อยากจะจับมือกับเขา ทว่าจี่อวี้เซวียนก็ไม่ได้รู้สึกอับอายใจอะไร เขาชักมือกลับมาอย่างเป็ธรรมชาติ อีกทั้งยังลงมือจัดแขนเสื้อไปด้วย เขาพูดขึ้นอย่างเป็กันเอง “คุณชายฉินให้เกียรติกัน อีกสักพักให้ฉันเป็เ้ามือเลี้ยงข้าวคุณชายฉินสักมื้อดีไหม?”
ฉินซีสั่นไหวขึ้นมาทันที เขาหันไปสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาเ็า “ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะให้คุณจี่เลี้ยงข้าวผมได้อย่างไรเล่า”
แววตาของจี่อวี้เซวียนปรากฏความเย็นะเืเล็กน้อย แต่ภายนอกเขาก็ยังคงแสดงออกมาอย่างอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง “คงมีแต่ต้องให้เฉินเจวี๋ยอยู่ที่นี่ ถึงจะคุยกับนายได้สินะ” จี่อวี้เซวียนพูดพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์
หัวใจของฉินซีเต้นระรัวดั่งฟ้าลั่น เดิมทีเขาไม่อยากจะรบกวนเฉินเจวี๋ย แต่ในใจกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เขา้าเฉินเจวี๋ย ้าที่พึ่งอย่างเฉินเจวี๋ย ไม่อย่างนั้น แค่ที่เขาเข้าไปห้องส่วนตัวของพวกเขาโดยพลการครั้งก่อน ก็ถูกจี่อวี้เซวียนหมายหัวไว้อยู่แล้ว
ฉินซีมองจี่อวี้เซวียนกดเบอร์โทรออกไป
ฉินซีเห็นว่าหลิงโอวค่อยๆ รู้สึกกลัวขึ้นมา และเช่นเดียวกัน หลิงโอวเองก็เห็นว่าฉินซีเกิดความกลัวขึ้นเล็กน้อย เมื่อหลิงโอวเห็นจี่อวี้เซวียนมีท่าทีเหมือนรู้จักกับฉินซี เขาก็ร้อนรน และรีบส่งเสียงเอ่ยเร่ง “คุณจี่ พวกเรา… ไม่ออกไปจากที่นี่กันก่อนเหรอครับ?”
จี่อวี้เซวียนกระทำราวกับไม่ได้ยินเสียงของหลิงโอว เขาพูดคุยกับเฉินเจวี๋ยที่อยู่ปลายสายเล็กน้อย ไม่นานก็วางสายไป
หลังจากนั้นไม่กี่นาที สถานีตำรวจก็ได้ต้อนรับบุคคลยิ่งใหญ่คนที่สองของวัน! หัวหน้าสถานีตำรวจถึงกับใตื่น ทำได้เพียงเข้ามายังห้องเล็กๆ นี่ด้วย
ในตอนนั้น ภายในห้องทำงานเล็กๆ แห่งนี้ กลับอัดแน่นไปด้วยผู้คน
ใบหน้าของเฉินเจวี๋ยเรียบนิ่ง เมื่อเดินเข้ามาก็ดึงดูดสายตาของผู้คนไปไม่น้อย รูปลักษณ์ของเขาโดดเด่นกว่าจี่อวี้เซวียนเล็กน้อย เมื่อรวมเข้ากับท่าทีมาดมั่นเช่นนั้น ก็ยิ่งโดดเด่นมากเป็ธรรมดา
เฉินเจวี๋ยมองจี่อวี้เซวียน “คุณจี่ นี่มันหมายความว่ายังไง?”
จี่อวี้เซวียนยกยิ้มขึ้นน้อยๆ พร้อมกับชี้ไปทางหลิงโอวและฉินซี “ขอโทษด้วยนะ คนของฉันกับคนของคุณมีเื่กันน่ะ”
ในวินาทีที่เห็นเฉินเจวี๋ยเดินเข้ามา ฉินซีก็สงบใจลงไม่น้อย ราวกับหาความมั่นใจในการต่อต้านจี่อวี้เซวียนได้แล้ว เมื่อได้ยินจี่อวี้เซวียนพูดแบบนี้ ฉินซีก็แย้งขึ้นอย่างไม่เกรงใจในทันที “ไม่รู้ว่าหลิงโอวเป็บ้าอะไรขึ้นมา อยู่ๆ เขาก็ผลักผมกระแทกกับกำแพง การกระทำจงใจทำร้ายผู้อื่นแบบนี้ จะลบมันออกไปเพียงประโยคที่ว่ามีเื่กับผมแค่นี้เหรอครับ?”
จี่อวี้เซวียนไม่ได้โมโหอะไร ที่เขาเรียกเฉินเจวี๋ยมาก็เพื่อเจรจากับเขาให้รู้เื่ “ฉันจะจัดการให้ คุณชายฉินต้องพอใจแน่”
เฉินเจวี๋ยส่งเสียง “อืม” ออกมา หลังจากนั้นก็จับเข้าที่คอเสื้อด้านหลังของฉินซีด้วยมือเดียว เมื่อเขาออกแรงก็สามารถดึงตัวฉินซีเข้ามาในอ้อมอกของตัวเองได้ทันที “ไปเถอะ”
ความหวาดกลัวและความโมโหเกลียดชังของฉินซีในตอนแรกหายไปในชั่วพริบตา เขาจับชายเสื้อของเฉินเจวี๋ยเอาไว้ด้วยความรู้สึกอายเล็กน้อย แล้วหันไปส่งสายตาให้กับเ้าอ้วนต้วน ทว่าเ้าอ้วนต้วนเป็คนหยาบกร้าน ไม่เพียงไม่เข้าใจสายตานี้ แต่ยังเดินหัวเราะเข้ามา และยื่นมือเข้าไปตบลงที่หลังของเฉินเจวี๋ย “ไอ้หยา คุณกับฉินซีของเรามีความสัมพันธ์กันแบบไหนล่ะ? ว่าไปแล้ว... ฉินซี ฉันไม่ได้เห็นนายอยู่กับแม่ดอกบัวขาวของนายมานาน หรือนายจะเปลี่ยนแนวไปแล้วเหรอ?”
ฉินซีช็อกไปทันที ในตอนที่คิดว่าเฉินเจวี๋ยจะโมโหจนะเิ กลับได้ยินเสียงหัวเราะของเฉินเจวี๋ยดังขึ้นเบาๆ “ฉันกับเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหน แค่มองแวบเดียวนายก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ฉินซี “...”
เ้าอ้วนต้วนแสดงสีหน้าราวกับว่า “พระเ้า ฉันได้รู้ข่าวใหญ่เข้าแล้ว” ออกมา “ไอ้หยา ถ้าแบบนั้นหลังจากพวกเราออกไปจากสถานีตำรวจแล้ว ฉันต้องขอเลี้ยงข้าวพี่ชายคนนี้หน่อยแล้ว”
นั่นทำให้ฉินซียิ่งช็อกเข้าไปใหญ่ คนที่จะเรียกเฉินเจวี๋ยว่า ‘พี่ชาย’ น่าจะมีแค่เ้าอ้วนต้วนคนเดียวนี่แหละ!
จี่อวี้เซวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะ “เพื่อนของคุณชายฉินนี่น่าสนใจดีนะ เอาล่ะ ฉันไม่รบกวนการนัดหมายของพวกคุณแล้ว” จี่อวี้เซวียนพูดพร้อมกับเดินจากไป น้ำเสียงของเขาฟังดูนุ่มนวล ทว่ากลับทำให้หลิงโอวสั่นสะท้าน “หลิงโอว จะยังนิ่งอยู่ทำไมล่ะ?”
หลิงโอวจึงรีบร้อนตามเขาออกไปจากสถานีตำรวจ เขากลัวว่าจี่อวี้เซวียนจะจัดการระบายอารมณ์ให้ฉินซีต่อหน้าทุกคน หลิงโอวรู้สึกอิจฉาและเกลียดชังขึ้นถึงขีดสุด! เดิมทีเขาคิดว่าการที่ตัวเองใกล้ชิดกับจี่อวี้เซวียนจะทำให้น้อยคนกล้าสบประมาทเขา แต่ฉินซีกลับมีคนหนุนหลังอยู่เช่นกัน! หึ… เ้าฉินซี ในกองถ่ายทำตัวเสียสูงส่ง ที่แท้ก็แค่พวกใช้ร่างกายเข้าแลกนั่นแหละ?
ทางฝั่งฉินซี เฉินเจวี๋ย และเ้าอ้วนต้วนถูกหัวหน้าสถานีตำรวจออกมาส่งด้วยความเคารพ ส่วนหลิงโอวก็ก้มหน้าเดินตามหลังจี่อวี้เซวียนด้วยอารมณ์โมโหที่ไม่อาจปลดปล่อย
ฉินซีมองตามแผ่นหลังของพวกเขา ในใจก็แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ อำนาจ… ช่างเป็สิ่งที่หอมหวานเสียจริง!
……
[1] ตำราจึจื้อทงเจียน คือ ตำราสะท้อนรัฐศาสตร์