“[กระบี่เย้ยยุทธจักร] ฉากสุดท้าย แอคชั่น!”
……
“คาดไม่ถึงเลยว่าบนโลกนี้จะมีเด็กสาวที่งดงามโดดเด่นสะดุดตาถึงเพียงนี้”
...เหล่าคุณชายร่ำรวยสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสภายในเรือนบุปผาอันหรูหราพากันขยับพัดในมือ วินาทีนั้นพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าตื่นใจนน้ำลายไหล ดวงตาทั้งสองจ้องตรงนิ่งไปยังบุคคลในชุดสีแดงบนเรือนที่กำลังก้าวมาช้าๆ
สาวรับใช้ตัวน้อยเดินตามอยู่ด้านหลังบุคคลชุดแดง เมื่อพวกเขาหมุนตัวมาก็ได้ยินเพียงมารดาผู้นั้นะโก้องด้วยรอยยิ้มกว้าง “วันนี้ สาวน้อยตงฟางในเรือนของข้า...”
……
ฉินซีกำลังถ่ายเสริมฉากสุดท้ายของละคร เขาแสดงท่าทางสง่างามของตงฟางปู๋ป้ายออกมาอย่างเต็มที่ เขาในชุดสีแดงเต็มไปด้วยความน่าลุ่มหลงตามธรรมชาติไม่อาจจะควบคุม เรียกได้ว่าสมกับเป็ ‘ผู้ที่งดงามที่สุดในเื่’ แล้ว ไม่เหมือนกับนักแสดงที่รับบทบาทนี้ในชาติก่อนที่ถูกหัวเราะเย้ยหยันไปไม่รู้กี่ครั้ง ผู้ชมมากมายต่างกล่าวว่า หากผู้หญิงแบบนี้นับว่ารูปลักษณ์งดงาม พวกเขาคงต้องควักลูกตาออกให้รู้แล้วรู้รอด
ฉินซีสะบัดชายผ้า ก่อนจะยืนนิ่งอยู่หน้ากล้อง
ในตอนนั้นทุกคนในกองถ่าย ต่างก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น...
“คัต! กระบี่เย้ยยุทธจักร ฉากสุดท้ายเสร็จสิ้น!”
“โอ้!!! ปิดกล้องแล้ว!!!” หลังจากสิ้นเสียงตีสเลท ทั้งกองถ่ายก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ไม่ว่าจะเป็กองถ่ายใดก็ตาม ทุกครั้งที่ปิดกล้องก็ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองทั้งนั้น ในที่สุดพวกเขาก็ทนเหนื่อยมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว!
ทางกองถ่ายได้เตรียมเค้ก ดอกไม้สด และสเปรย์พ่นหิมะเอาไว้แล้ว ในตอนนั้นฉินซีถูกคนพ่นสเปรย์หิมะใส่หน้า เขาหรี่ตาลง ดวงตาทั้งคู่พลันรู้สึกแสบ จากนั้นเขาก็มองภาพตรงหน้าไม่ค่อยชัดเจนนัก นึกด่าคนเล่นพิเรนทร์ในใจ เขาเดินโซเซจนไปชนเข้ากับอ้อมอกของคนอื่น
“ฉินซี ไม่เป็อะไรใช่ไหม?” คนคนนั้นถามอย่างร้อนรน
ฉินซียกมือขยี้ตา อีกฝ่ายรีบหยุดการกระทำของเขาเอาไว้ แล้วนำกระดาษทิชชูจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดรอบดวงตาให้ฉินซี และยังถามต่อด้วยความใส่ใจ “ดีขึ้นไหม? ไม่อย่างนั้นไปล้างน้ำสักหน่อยดีหรือเปล่า?”
ฉินซีพยักหน้า และทำได้เพียงอิงอยู่กับร่างของอีกฝ่าย ถ้าเขาเดาไม่ผิด คนที่พยุงตัวเขาเอาไว้น่าจะเป็เจี่ยงถิงเฟิง
อีกฝ่ายบอกให้ผู้ช่วยนำน้ำแร่เข้ามาให้ จากนั้นก็เทมันออกมาให้ฉินซีล้างตา ฉินซีรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เขากะพริบตาปริบๆ ก่อนที่จะลืมขึ้นได้ในที่สุด แม้จะหลงเหลือความแสบอยู่น้อยๆ แต่ก็ถือว่าไม่ได้เป็อะไรมากแล้ว
เมื่อลืมตาดูก็เห็นว่าเจี่ยงถิงเฟิงกำลังมองมาที่เขาด้วยความกังวลใจ
ฉินซีรู้สึกยินดีกับความห่วงใยของคนอื่นมาก จึงเผยยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณครับ ผมไม่เป็ไรแล้ว”
สีหน้าของเจี่ยงถิงเฟิงผ่อนคลายลงมา ทว่าจู่ๆ เขาก็ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองมองไปยังเถาเซียงที่ยืนอยู่ไม่ไกล กล่าวตำหนิออกมาอย่างเยือกเย็น “เถาเซียง! ทำอะไรของเธอ? ทำไมถึงพ่นสเปรย์หิมะใส่หน้าฉินซีล่ะ! นี่ไม่รู้เหรอว่ามันอาจจะเข้าตาได้?” เจี่ยงถิงเฟิงไม่ได้ควบคุมเสียงของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นเมื่อเขาะโออกมาด้วยความโมโห ทั้งกองถ่ายที่ในตอนแรกกำลังครึกครื้นก็เงียบสงบลง สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยเผยความอึดอัดออกมา พวกเขาคิดไม่ถึงว่าตอนนี้พระเอกกับนางเอกจะทะเลาะกัน
สีหน้าของเถาเซียงเปลี่ยนเป็ขาวซีด จนแม้แต่เครื่องสำอางบนใบหน้าก็ปิดไม่มิด “พี่พูดอะไรบ้าๆ น่ะ? ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ต่อให้พี่จะอยากออกตัวแทนฉินซีก็ไม่เห็นต้องพูดจาแบบนี้กับฉันเลยนี่? ทำอย่างกับฉันตั้งใจอย่างนั้นแหละ...”
เดิมทีเถาเซียงก็ไม่ได้กลัวเจี่ยงถิงเฟิงอยู่แล้ว หากจะเทียบกันว่าใครเดบิวต์ก่อน โด่งดังก่อน นั่นก็คือเธอ เถาเซียง!
เจี่ยงถิงเฟิงดึงหน้าตึง ในขณะที่เขากำลังจะโต้เตียงกับเถาเซียงต่อ ฉินซีก็กระแอมเสียงเบา พร้อมกับจับตัวเขาไว้ “ช่างเถอะ ทุกคนกำลังมองอยู่นะ”
แม้่นี้เจี่ยงถิงเฟิงจะฉลาดขึ้นไม่น้อย และไม่ได้ใสซื่อหุนหันอย่างวันนั้นแล้ว ทว่าความเืร้อนที่ฝังลึกถึงกระดูก ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ เขาพยายามกดเพลิงโทสะและยับยั้งการกระทำของตัวเองลง แต่ก็ยังคงส่งเสียง “หึ” ในลำคอ “เธอไม่ได้ดูเลยว่าได้ความช่วยเหลือจากใครบ้าง… พอถ่ายทำเสร็จก็ทำตัวจองหองยิ่งกว่าใคร...”
ฉินซีปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่อยากให้เจี่ยงถิงเฟิงทำให้เื่นี้ให้ยิ่งวุ่นวาย จึงดึงเขาเอาไว้อีกครั้งและกระซิบเสียงเบา “คำพูดแบบนี้ ไม่ควรพูดออกมาโดยไม่คิดนะครับ”
เจี่ยงถิงเฟิงถึงปิดปากเงียบลง
ตอนนี้สวี่เทาเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาแล้ว เขาไม่อยากให้กองถ่ายมีเื่ขึ้นมาหลังจากถ่ายทำเสร็จ ถ้านักข่าวรู้เข้าคงจะชงข่าวกันอย่างสนุกสนาน! เดิมทีเขาตั้งใจจะถ่ายคลิปพิเศษตอนปิดกล้องเสียหน่อย แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว! กล้องคงถ่ายได้แต่ภาพการทะเลาะเบาะแว้งของพระนาง! สวี่เทาปวดหัวเกือบตาย รู้สึกว่ามือใหม่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้รู้เื่อะไรเอาเสียเลย
“ทำไมล่ะ? คิดว่าถ่ายทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องใส่ใจผู้กำกับอย่างฉันแล้วหรือไง ไม่ต้องสนใจทั้งกองถ่ายแล้ว?” สวี่เทาพูดเสียงเรียบ เหมือนตบหน้าเจี่ยงถิงเฟิงและเถาเซียงไปแล้ว
สีหน้าของทั้งสองไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“เก็บของให้เรียบร้อย ถ่ายรูปรวมสักรูป จากนั้นพวกเราจะไปงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องกัน” สวี่เทาพูดออกมาอย่างราบเรียบ แล้วเดินออกไปก่อน
หลังจากเก็บของเสร็จแล้วก็แบ่งช่อดอกไม้ให้นักแสดงทุกคนถือ จากนั้นช่างภาพก็ถ่ายภาพรวมและภาพเดี่ยวให้พวกเขาไปไม่น้อย เมื่อฉินซีไปเปลี่ยนชุดเดินออกมา เจี่ยงถิงเฟิงก็ยืนรออยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
ฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าจะไปงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องด้วยกันทั้งกองถ่ายเหรอ? ทำไมพวกเขาถึงไปด้วยกันล่ะ?
แต่ไม่ว่าฉินซีจะประหลาดใจแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางพูดออกมา เขาพยักหน้าก่อนจะเดินไปพร้อมกับเจี่ยงถิงเฟิง หลังจากขึ้นรถมาแล้ว จู่ๆ ฉินซีก็นึกย้อนกลับไป เขารู้สึกว่าท่าทางที่เจี่ยงถิงเฟิงมีต่อเขาช่างผิดปกติ ไม่ใช่ว่า… ชอบเขาเข้าหรอกใช่ไหม? ฉินซีคิดๆ ไปก็รู้สึกว่าน่าขัน นี่เขาหลงตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า? มันมีความเป็ไปได้เสียที่ไหน ไม่ใช่ว่าใครต่อใครก็เป็เกย์ไปหมดเสียหน่อย!
เมื่อมาถึงสถานที่จัดการเลี้ยงฉลองปิดกล้อง นักลงทุนเป็ฝ่ายจัดโต๊ะอาหารทั้งหมด 10 โต๊ะให้ เพียงเท่านี้ก็สามารถรองรับคนทั้งกองถ่ายได้หมดแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น นักลงทุนก็ยังมาร่วมงานด้วยตัวเองด้วย
เพียงฉินซีเพิ่งได้ก้าวเท้าเข้าไป โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ฉินซีกล่าวขอโทษกับเจี่ยงถิงเฟิง แล้วนำโทรศัพท์มือถือออกมา เดินออกไปข้างนอก มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากเฉินเจวี๋ยอยู่หลายสาย นี่ทำเอาใจของฉินซีสั่นสะท้าน เขารีบกดรับสายอย่างร้อนรน “ฮัลโหล ขอโทษนะครับคุณเฉิน เมื่อกี้อยู่ที่กองถ่ายเลยไม่ได้ยิน”
ดูเหมือนว่าเฉินเจวี๋ยจะโกรธอยู่ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นและแฝงไปด้วยการตำหนิ “ฉันรอนายอยู่ที่กองถ่าย คิดไม่ถึงเลยว่านายจะออกมาเร็วขนาดนี้”
ฉินซีนิ่งไป “ตอนนี้คุณเฉินอยู่ที่ไหนครับ?” เขาพูดไปพร้อมกับคิดในใจอย่างอดไม่ได้ อยู่ดีๆ เฉินเจวี๋ยจะถ่อมารอเขาที่กองถ่ายทำไม? หรือว่าจะเป็เื่กองถ่ายตำนานยุคฉิน?
“เงยหน้าขึ้น”
“…ครับ?” ฉินซีนิ่งไปอีกครั้ง เขากวาดสายตามอง และบังเอิญสบเข้ากับสายตาของคนที่ยืนอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม
ั์ตาของฉินซีสั่นไหว รู้สึกพูดไม่ออก รถเบนท์ลี่ย์สีดำของเฉินเจวี๋ยจอดอยู่อีกฝั่งถนน เฉินเจวี๋ยสวมเสื้อสีขาวดูสบายๆ ยืนอยู่ข้างรถ มือข้างหนึ่งจับอยู่ที่ประตู สายตาเย็นะเืกำลังมองมาที่ฉินซี ในวินาทีนั้นฉินซีเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยกมือโบกไปทางเฉินเจวี๋ย
เฉินเจวี๋ยยกมุมปากเหยียดยิ้มออกมา แล้วเดินข้ามถนนมาภายใต้การคุ้มกันของบอดี้การ์ด
“ขอโทษครับ...” ฉินซีอดจะกล่าวขอโทษอีกครั้งไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าเฉินเจวี๋ยจะเดินผ่านเขาไป และยังยื่นมือเข้ามาดึงตัวฉินซี เมื่อร่างกายของฉินซีโอนเอน เขาก็เดินโซเซตามเข้าไปด้วย
“คุณเฉิน คุณ...” ฉินซีส่งเสียงเรียกอย่างอดไม่ได้ นับั้แ่ออกมาจากสถานีตำรวจ เวลาก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าที่เฉินเจวี๋ยมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และยังจะเข้าไปในงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องนั้นหมายความว่าอย่างไร?
“ฉันเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องของนายไม่ได้เหรอ?” เฉินเจวี๋ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉินซีคิดในใจว่า แน่นอนสิ ทว่าภายนอกเขาก็ยังคงพูดยิ้มๆ “การที่คุณเฉินมาร่วมงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องด้วย ผู้กำกับซวี่คงจะดีใจมากเลยครับ”
เฉินเจวี๋ยพยักหน้าตอบรับ ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มบางๆ ท่าทางดูราวกับตอนที่ฉินซีได้พบเจอในงานเลี้ยงเมื่อชาติก่อน รอยยิ้มที่เผยออกมาดูเหมาะสม มีมารยาทสมบูรณ์ ท่าทางสง่าสูงส่งราวกับพวกราชนิกุล เฉินเจวี๋ยที่เป็แบบนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกห่างไกลและไม่กล้าทำอะไรให้เขาไม่พอใจ
ระหว่างที่ฉินซีกำลังเหม่อลอย เฉินเจวี๋ยก็ดึงแขนเสื้อของเขาพาเข้าไปยังงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องอีกครั้ง
เฉินเจวี๋ยและฉินซีเข้ามาช้ามาก ทั้งยังมี ‘ท่าทาง’ ยิ่งใหญ่กว่านักลงทุนและผู้กำกับเสียอีก ดังนั้นตอนที่พวกเขาเข้ามาจึงดึงดูดสายตาทุกคนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้ฉินซีจะไม่เคยเกรงกลัวสายตาที่ทอดมา แต่เวลานี้เขากลับรู้สึกอายอย่างไร้เหตุผล เขาเดินเข้ามากับเฉินเจวี๋ยแล้วมันทำไมกัน?
“ฉินซี นาย...” ในระหว่างที่สวี่เทากำลังจะโมโห แววตาของนักลงทุนที่อยู่ข้างๆ กลับเปล่งประกายและขยับเข้าไปเร็วกว่าเขาเสียอีก อีกทั้งปากของเขาก็ยังหัวเราะออกมา “ไอ้หยา คุณเฉิน! นี่คุณมาได้ยังไงเนี่ย?”
สวี่เทาฝืนกลืนคำพูดเมื่อสักครู่ลงไป เขาเผยรอยยิ้มขึ้น และขยับตามนักลงทุนเข้าไป
ในตอนนั้นร่างกายของฉินซียิ่งแข็งเกร็งมากขึ้นอีก เขารู้สึกว่าการปรากฏตัวแบบนี้ให้ความรู้สึกราวกับจิ้งจอกคลุมหนังเสือ เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันสามารถทำให้คนอื่นในกองถ่ายเกิดความคาดเดาได้ทุกแบบ และความคิดเ่าั้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะได้ยินแน่
การมาเยือนของเฉินเจวี๋ยทำให้งานเลี้ยงฉลองปิดกล้องกลายเป็งานเลี้ยงประจบสอพลอ แม้คนจำนวนมากในกองถ่ายจะไม่รู้ถึงฐานะของเฉินเจวี๋ย แต่เพียงดูจากท่าทีของนักลงทุนและสวี่เทาแล้ว ในใจของพวกเขาก็อดคิดขึ้นไม่ได้ว่าคนคนนี้จะต้องเป็คนที่มีเื้ัยิ่งใหญ่แน่! แน่นอนว่ามีคนคิดอยากจะใกล้ฉินซีเพื่อประจบหนุ่มหล่อลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้...
เฉินเจวี๋ยถูกลากไปนั่งที่หัวโต๊ะ เฉินเจวี๋ยดูสุขุมอยู่ตลอดเวลา แม้ตัวเองจะเป็คนนอก ทว่าก็ไม่ได้ประหม่าอะไร
ไม่นานนักลงทุนก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปที่ตัวเฉินเจวี๋ย ใบหน้าของฉินซีกลายเป็มืดมน เขาพยายามกดความสงสัยในใจไว้ และตั้งใจจะกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ถึงอย่างไรที่โต๊ะนี้ เขาที่เป็มือใหม่เพียงคนเดียวก็ควรจะรู้ตำแหน่งของตัวเอง
แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ สวี่เทาก็จับตัวของเขาไว้ “นั่งตรงนี้เถอะ”
สวี่เทายกที่นั่งของตัวเองให้ฉินซี
หนังตาของฉินซีกระตุกขึ้นมา แล้วยังคงนั่งลงข้างกายเฉินเจวี๋ยเงียบๆ
จากนั้นงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องก็ได้เริ่มต้นขึ้นแบบนี้ นักลงทุนยังคงไม่กล้าชวนดื่มเฉลิมฉลอง หลังจากสวี่เทาดูสถานการณ์แล้ว เขาเองก็ไม่กล้าบอกให้เฉินเจวี๋ยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บรรยากาศบนโต๊ะยังถือว่าครึกครื้นดี แต่เมื่อฉินซีนั่งอยู่สักพัก ก็รู้สึกว่าการทานข้าวมื้อนี้ไม่สนุกนัก เขาจึงลุกขึ้นเดินออกมาตั้งใจว่าจะไปสูดอากาศเสียหน่อย หลังจากยืนอยู่หน้าประตูสักพัก ก็มีคนเดินเข้ามาที่ด้านหลังของเขาช้าๆ
ฉินซีหันหน้ากลับไป ก่อนจะสบตาเข้ากับเจี่ยงถิงเฟิงด้วยความประหลาดใจ “พี่เจี่ยงออกมาทำไมครับ?”
สีหน้าของเจี่ยงถิงเฟิงสับสนเล็กน้อย เขาอ้าปากออก คำพูดไหลมาอยู่ที่ปลายลิ้น เมื่อเขาตัดสินใจได้ ก็ถามข้อสงสัยในใจออกมา “ที่นายเข้ามาในกองถ่ายกระบี่เย้ยยุทธจักรได้ ก็เพราะคุณเฉินเหรอ?”
สีหน้าของฉินซีพลันหม่นลง “พี่เจี่ยง ผมขอตัวก่อนนะครับ” ฉินซีไม่ชอบที่คนอื่นพูดจาไร้มารยาทแบบนี้ออกมา ทั้งที่เขาใช้ความสามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงถิงเฟิงจะพูดจาแบบนี้
อาศัยเฉินเจวี๋ยเข้ามา? เขาสามารถอาศัยเฉินเจวี๋ยเข้ามาได้เหรอ?
ความกรุ่นโกรธแล่นจี้ดขึ้นสมอง ฉินซีจึงกลับไปยังห้องทานอาหารอีกครั้งพร้อมสีหน้าและแววตาความเยือกเย็นราวกับฤดูใบไม้ร่วง