ฉินซีคุ้นชินกับการแสดงโดยไม่มีคนต่อบทด้วยมานานแล้ว แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้แต่งหน้าหรือสวมชุดการแสดง ดูๆ ไปก็ยังคงเป็เด็กชายผอมบางที่มีใบหน้างดงามสะกดใจคนเช่นเดิม แต่เมื่อฉินซีเดินเข้าไปยังพื้นที่ว่างที่ปูพรมไว้อย่างไม่รีบไม่ร้อนและหมุนตัวกลับมา ทุกคนบนโต๊ะก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าท่าทางของเขาคล้ายว่าเปลี่ยนแปลงไป
ความจริงแล้วสำหรับฉินซี ตงฟางปู๋ป้ายกับฉินฮ่องเต้อิ๋งเจิ้ง[1] นั้นมีจุดที่เหมือนกันอยู่ ทั้งสองผ่านวัยเด็กมาด้วยความยากลำบาก และหลังจากนั้นก็ประสบความสำเร็จได้รับตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา ในมือเต็มไปด้วยอำนาจ เชื่อมโยงผู้คนมากมาย กระทำโเี้ ใจคออำมหิต ก่อบาปหนักหนา ภาพลักษณ์ของพวกเขาต่างมีทั้งความกดดันและความเย่อหยิ่ง เพียงแต่ฉินฮ่องเต้อิ๋งเจิ้งมีความทะเยอทะยานมากกว่าตงฟางปู๋ป้าย เขามีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและความรักเอาใจใส่ สำหรับพวกขุนนางที่เชื่อฟัง เขาก็ตกรางวัลให้อย่างงาม ไม่สงสัยในตัวบริวาร แต่หากว่าเป็ศัตรูกับเขาแล้ว เขาย่อมโเี้และเคร่งครัดไม่มีหย่อนเช่นกัน
ขอเพียงมั่นใจในจุดที่เหมือนและแตกต่างของพวกเขา ฉินซีก็สามารถอาศัยความเคยชินจากการแสดงก่อนหน้า มาทำให้แสดงบทบาทอิ๋งเจิ้งออกมาได้อย่างใกล้เคียงไม่น้อยแล้ว
ั์ตาของฉินซีมองไปข้างหน้า ในแววตาเปล่งประกายเย็นะเืและการข่มขู่ บนใบหน้าของเขาคือความทะนงตนจากการเป็ฮ่องเต้ั้แ่เยาว์วัย ตอนนี้ใบหน้างามสะกดใจคนของเขาก็ยิ่งเปล่งประกาย ทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ
ตอนนี้แววตาของเฉินเจวี๋ยเองก็เปล่งประกายไม่ต่างกัน เขามองไปทางฉินซี ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจถึงได้เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ฉินซีในท่าทางแบบนี้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากที่สุด หากในวันนั้นไม่ใช่เพราะเขาได้พบกับฉินซีผู้ซื่อตรงและสง่างามแบบนี้ เขาคงไม่มีทางช่วยฉินซีไว้ ไม่ได้พากลับไปส่งถึงบ้าน และหลังจากนั้นก็คงไม่ได้ช่วยจัดการล้างต้นตอของคลิปวิดีโอนั่นอีก
เฉินเจวี๋ยหรี่ตาลงมองอีกฝ่าย
......
สายตาของฉินซีพุ่งมองไปด้านหน้า ตอนนี้ปากของเขากำลังเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน “700 ปีที่ผ่านมา ใต้หล้าแตกเป็เสี่ยง อำนาจของทุกแคว้นถูกแบ่งกระจายไป ทุกฝ่ายต่างมีอักษรที่แตกต่าง ภาษาที่แตกต่าง การใช้ชีวิตที่แตกต่าง ความเชื่อและประเพณีก็แตกต่าง เช่นนั้นถึงได้เกิดาขึ้นอย่างไร้เหตุ ทั้งยังไม่เคยหยุดมาตลอด 700 ปี ข้าทำลายแคว้นทั้งหกเพื่อขจัดสิ่งกีดขวางเหล่านี้ เมื่อไม่มีการแบ่งแยกของแคว้น ไม่มีความเข้าใจผิดทางภาษา ผู้คนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียว แคว้นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็ดินแดนแห่งความสุข!”
ซีนการแสดงของอิ๋งเจิ้งในเื่ตำนานยุคฉินมีไม่มากนัก บทของเขาน้อยแต่กลับถูกขัดเกลามาเป็อย่างดี เมื่อพูดออกมาแล้วก็แฝงไปด้วยอารมณ์สูงส่งของฮ่องเต้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถแสดงความสูงส่งแบบนี้ออกมาได้ โดยเฉพาะเมื่อฉินซีมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ได้เข้ากับท่าทีแบบนี้ ความยากในการแสดงจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ฉินซีไม่ได้เลือกเพิ่มความดังของเสียงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เขารู้ว่าความจริงการใช้ดวงตาส่งผ่านความรู้สึกนั้นเป็เื่ยาก และน้อยคนที่จะสังเกตมายังดวงตาของเขาั้แ่ในครั้งแรก ดังนั้นจึงจำเป็ต้องควบคุมอารมณ์บนใบหน้า และใช้มันในการส่งผ่านความรู้สึกเ็าและการข่มขู่อย่างไม่อาจขัดขืนออกไป สีหน้าของเขาเฉียบคมมาก เมื่อในตอนนี้แสดงอารมณ์สงบเยือกเย็น ก็ทำให้มีความสูงส่งและโเี้ขึ้นมาได้
ต่อจากนั้นก็เป็สายตาและบทพูด โดยทั่วไปละครโทรทัศน์จะสามารถพากย์เสียงทับลงไปได้ แต่ว่าฉินซีก็ยังคงพยายามใช้เสียงของตัวเอง เขาคิดว่าบทพูดก็เป็ส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อการแสดง ความรู้สึกและความไหลลื่นไม่อาจขาดหายไปได้
บทพูดที่เต็มไปด้วยความสูงส่งอยู่เบื้องบนนี้ แม้น้ำเสียงของฉินซีจะราบเรียบ แต่บางครั้งยิ่งวาจาราบเรียบเท่าไร ก็ยิ่งสั่นะเืใจคนได้มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเอ่ยจบปลายเสียงสุดท้าย โทนเสียงของฉินซีก็ถูกดึงขึ้นเล็กน้อยปรากฏให้เห็นความทะนงตนและความมั่นใจในตัวเองของเขา
ฉินซีสามารถใช้ประโยชน์จากสีหน้าและอารมณ์ของบทชักนำผู้คนที่นั่งอยู่เหล่านี้ไปอย่างง่ายดาย ขอเพียงหูของพวกเขาเปิดรับฟัง ก็ย่อมต้องถูกทำให้สั่นไหวโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงมักจะเกิดพลังสะกดคนขึ้นมาในยามเงียบสงัด
เพราะไม่มีใครต่อบท และบทที่จำมาเองก็มีไม่มาก ฉินซีจึงไม่ได้ตั้งใจว่าจะแสดงต่อ เขาเก็บอารมณ์บนใบหน้ากลับมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มราวกับกลับไปเป็ฉินซีมือใหม่คนเดิมในชั่ววินาที “ต้องมาดูผมแสดงอะไรโง่เขลากันเสียแล้ว รบกวนผู้กำกับช่วยชี้แนะส่วนที่ยังไม่ดีพอให้ผมด้วยนะครับ ฉินซีจะพยายามเรียนรู้ต่อไปให้ดี”
เฝิงผิงเฉิงเป็คนฉลาด เขาได้สติกลับมา และเห็นศักยภาพในตัวของฉินซีทันที ทั้งเขายังคิดว่าที่ฉินซีพูดแบบนี้ ก็เพราะจงใจเย้ยหยันการดูถูกของพวกเขาก่อนหน้านี้ เฝิงผิงเฉินและหลินซงมองสบตากัน สุดท้ายหลินซงก็เป็คนเปิดปากพูด “เฮ้อ ฉันว่าเสี่ยวฉินแสดงได้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เหมาะมากอยู่แล้ว ไม่มีอะไรขาดเหลือแล้วล่ะ มาๆๆ พวกเรานั่งทานอาหารกันก่อน ตอนทานอาหารพวกเราไม่ควรจะทำอะไรไปพร้อมๆ กันนะ”
กงเซ่าไม่พอใจขึ้นมา เขาอยากจะพ่นตะปูปักลงบนตัวของฉินซีเสียให้ได้ “ผมว่าไม่เหมาะ”
ฉินซีขมวดคิ้วฉับ ทว่ากลับไม่ได้โมโหอะไรนัก เขาเพียงใช้สายตาเฉยเมยมองไปทางกงเซ่า พลางถามขึ้น “รบกวนผู้กำกับกงช่วยแนะนำด้วยครับ”
กงเซ่าคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะควบคุมอารมณ์ดีขนาดนี้ ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำ “ผมว่ารูปลักษณ์ของเสี่ยวฉินไม่เหมาะกับบทนี้ พวกคุณคิดว่ายังไงบ้าง?”
ในตอนนี้แม้จะไม่เหมาะอย่างไร หลินซงกับเฝิงผิงเฉิงก็จะมองข้ามไปอยู่ดี หลินซงส่งสายตาให้เฝิงผิงเฉิง เฝิงผิงเฉิงรีบอาศัยชื่อของผู้กำกับชำนาญการพูดขึ้น “ผมคิดว่าภายนอกของเสี่ยวฉินไม่ได้มีตรงไหนที่ไม่เหมาะนะ หรือแม้จะมีอยู่เล็กน้อย แต่ทักษะการแสดงของเขาก็สามารถทดแทนได้ ถึงอย่างไรพวกละครที่สร้างจากการ์ตูนแบบนี้ รูปลักษณ์ภายนอกจะเหมาะหรือไม่ ใครจะพูดได้ชัดเจนกัน?”
ใบหน้าของกงเซ่ามืดมัวลง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเองก็ไม่อยากจะเสียเงินลงทุนของเฉินเจวี๋ยไปเพียงเพราะ้าจะกำจัดนักแสดงคนหนึ่ง เขาเพียงอคติกับฉินซีเท่านั้น และแม้เขาจะรู้ว่านั่นคือความอคติ แต่ในใจของเขาก็ยังคงไม่พอใจ ในสายตาของเขา ฉินซีเป็พวกเด็กเส้น และเมื่อเข้ามาในกองถ่ายแล้ว คงต้องเป็ปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน!
ฉินซีไม่ได้โมโหเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าเขาคือผู้กุมชัยชนะ เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนพูดออกมาอย่างมั่นใจ “่ยุคแคว้นเจ็ด รูปลักษณ์งดงามดั่งหญิงจึงจะเรียกว่าชายงาม ฉินฮ่องเต้อิ๋งเจิ้งมีพ่อที่รูปลักษณ์หล่อเหลาอย่างอิ๋งอี้เหริน และมีแม่ที่ใช้ความงามชนะใจหลี่ว์ปู้เหวยและอิ๋งอี้เหรินได้อย่างจ้าวจี ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าฉินฮ่องเต้อิ๋งเจิ้งมีรูปลักษณ์ไม่ธรรมดา ในอนิเมชั่นตำนานยุคฉินเอง อิ๋งเจิ้งก็ไม่ได้มีภาพลักษณ์เป็ชายงามหรอกหรือครับ? หรือผู้กำกับกงคิดว่าจะต้องเป็ชายที่เต็มไปด้วยเครา แขนใหญ่ เอวหนา สูงแปดฟุตถึงจะนับว่าเป็ชายชาตรีสมกับฉินฮ่องเต้เหรอครับ? ฉินฮ่องเต้โดดเด่นด้านกลยุทธ์ ความทะเยอทะยานและท่าทาง ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก ถ้าจะจำกัดเพียงภายนอก มันจะไม่ดูใจแคบไปหน่อยเหรอครับ?”
ฉินซีมักจะมีท่าทางไม่ทะนงตนและไม่ได้ถ่อมตนอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีเพียงเฉินเจวี๋ยที่เห็นเปลวไฟภายในแววตาอีกฝ่าย ฉินซีที่เป็แบบนี้อารมณ์รุนแรงดั่งไฟ เขาไม่เกรงกลัวที่จะแสดงความสามารถออกมาให้ใครเห็น เขาภาคภูมิใจในความสามารถอันโดดเด่นของตัวเองมาก
เมื่อเขาพูดแบบนี้ กงเซ่าก็ไร้คำจะพูดต่อ หลินซงกับเฝิงผิงเฉิงเองก็ประหลาดขึ้นมาบ้าง
“เอาเถอะ นั่งลง” เฉินเจวี๋ยดูเื่สนุกมามากพอแล้ว อยู่ๆ เขาก็บอกให้ฉินซีมานั่งลงข้างๆ ตัวเอง
เมื่อเขาพูดขึ้น ใครจะกล้าทำอะไรไม่คิดอีก?
ในตอนนั้นทุกเสียงล้วนเงียบไป ฉินซีกลับมานั่งข้างเฉินเจวี๋ย เฉินเจวี๋ยจึงพูดขึ้นอย่างราบเรียบ “อาหารจะเย็นหมดแล้ว”
เมื่อวุ่นวายไปแล้วรอบหนึ่ง ฉินซีก็เริ่มจะหิวขึ้นมา เขาหยิบตะเกียบขึ้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มเปล่งประกายออกมา “อย่าเอามองผมสิครับ ทุกคนรีบๆ ทานข้าวเถอะ”
คนอื่นต่างก็อดไออ้อมแอ้มออกมาไม่ได้ ความดูถูกมากมายในใจของพวกเขาที่มีต่อมือใหม่คนนี้ถูกขจัดหายไป ฉินซีใช้การแสดงตรงนี้เปลี่ยนเป็ความเคารพขั้นพื้นฐานให้แก่ตัวเอง อย่างไรก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาไม่ใช่เพียงดอกไม้ในแจกัน และอาศัยเส้นสายเข้ามาถ่วงกองถ่าย
สายตาที่ทุกคนมองเขาถึงกับเปลี่ยนไป หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็กลมเกลียวขึ้นมาไม่น้อย
หลินซงพูดคุยเื่เข้ากองถ่ายกับฉินซีขึ้นมา “เสี่ยวฉินส่งผู้จัดการมาเซ็นสัญญากับเราเมื่อไรก็เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเปิดกล้องอย่างเป็ทางการ พวกเราจะนำบทไปให้ก่อน จากนั้นก็รอเริ่มถ่ายทำอย่างเป็ทางการก็พอ”
ฉินซีลำบากใจขึ้นมาทันที เขายังไม่มีผู้จัดการอย่างจริงจังเลยสักคน!
เมื่อสายตาของฉินซีดูลังเลวุ่นวาย ก็เหลือบมองไปยังทางเฉินเจวี๋ยทันที มุมปากของเฉินเจวี๋ยโค้งขึ้น ใบหน้าเรียบเฉยปรากฏรอยยิ้มจางๆ ราวกับกำลังบอกว่า “ให้เซ็นสัญญากับฉันก็ไม่เซ็น ตอนนี้จะมาขอกันก็สายไปแล้ว”
ฉินซีละสายตากลับมา หันไปยิ้มให้กับหลินซง “ผู้จัดการของผม...” เขากำลังจะพูดคำว่า ‘ไม่มี’ ออกมา แต่กลับเห็นว่าหลินซงยื่นมือมาตบบ่าของเขา “เสี่ยวฉิน... นายนี่โชคดีจริงๆ ที่แท้คุณเฉินก็เป็ผู้จัดการให้นายนี่เอง”
หืม?
หืม?!
ทำไมแม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่รู้ ว่ามีเฉินเจวี๋ยเป็ผู้จัดการส่วนตัว?
ฉินซีถึงกับเซ่อไป หลังจากเพิ่งได้สติกลับมา ที่แท้ตอนที่เขามองไปทางเฉินเจวี๋ย หลินซงก็เข้าใจผิดคิดว่าเขากำลังตอบกลับไปว่า เฉินเจวี๋ยก็คือผู้จัดการของเขา ฉินซีรู้สึกอายขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังจะอ้าปากอธิบาย เฉินเจวี๋ยก็พูดขัดขึ้น “เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้วก็ส่งมาที่ฉัน ฉันจะตรวจสอบให้ฉินซีเอง”
ฉินซีรู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้นรอบตัว รู้สึกราวกับมีคนแปลกหน้าสักคนมาเป็ห่วงตัวเขาเอง อีกทั้งคนแปลกหน้าคนนั้น… ยังเป็คนที่ต่างจากเขาราวฟ้ากับเหวอีก!
“ได้ๆๆ ไม่มีปัญหาเลยครับ ถึงเวลาแล้วจะไปส่งถึงที่อยู่ของคุณเฉินด้วยตัวเองเลย!” หลินซงหัวเราะร่า ก่อนจะรินสุราลงในแก้วตัวเอง
‘ตัวเอกของเื่นี้’ อย่างฉินซีสูญเสียสิทธิ์การพูดของตัวเองไปแล้ว เขาถอนหายใจออกมาในใจ แต่กลับต้องยอมรับว่า ถ้าเฉินเจวี๋ยหนุนหลังให้เขา ก็จะไม่มีใครกล้าทำกับดักในสัญญา ไม่เพียงเท่านั้น เกรงว่ายังจะให้ค่าตอบแทนที่ดีมากแก่เขาอีกด้วย ฉินซีอดสับสนไม่ได้ หรือความหมายหลังการเกิดใหม่ของเขา จะเป็การพบกับเฉินเจวี๋ย และอาศัยเขาช่วยให้ตัวเองอยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างปลอดภัยไปตลอดรอดฝั่ง ฉินซีรู้สึกขัดแย้งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เฉินเจวี๋ยไม่รู้ว่าเขากำลังเหม่อลอย เฉินเจวี๋ยก้มหน้าลงมองข้อความในโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะหันมาพูดกับฉินซี “จงซิงอู๋ชวนพวกเราไปทานข้าว”
“ชวน… พวกเรา?” ฉินซีนิ่งไป
เฉินเจวี๋ยพยักหน้า “ใช่ เขาน่าจะส่งข้อความไปให้นายแล้วเหมือนกัน”
บทสนทนาระหว่างเฉินเจวี๋ยกับฉินซี ล้วนไม่พ้นหูของหลินซงและเฝิงผิงเฉิงที่กำลังตั้งใจฟังอยู่แน่ ได้ยินเช่นนั้นของพวกเขาจึงรู้สึกประหลาดใจ ดูเหมือนว่ามือใหม่คนนี้จะมีความสามารถจริงๆ ถึงได้รู้จักกับเทพเ้าจงซิงอู๋ด้วย! พวกเขาถึงกับตัดสินใจไปแล้วว่า ตอนอยู่ที่กองถ่ายจะดูแลเขาให้ดีที่สุด
ฉินซีนึกสงสัยว่าจงซิงอู๋ชวนเขาไปได้อย่างไร แต่โอกาสที่จะได้ผูกสัมพันธ์กับเทพเ้าแบบนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่กล้าปฏิเสธ ฉินซีจึงพยักหน้าตอบกลับไปเฉยๆ
และทางอีกฝั่ง การถ่ายทำกระบี่เย้ยยุทธจักรเองก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายอย่างเป็ทางการ ถ้าการตรวจสอบการออกอากาศเสร็จสิ้นรวดเร็ว การออกอากาศก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว หรือถ้าจะให้พูดอีกแบบก็คือ ฉินซียังไม่รู้เลยว่า วันเดบิวต์อย่างเป็ทางการของเขาใกล้จะมาถึงแล้ว!
……
[1] 秦始皇 = ฉินฮ่องเต้ หรือ อิ๋งเจิ้งที่ฉินซีแสดง คือ ปฐมจักรพรรดิ หรือที่คนไทยเรียกกันว่า จิ๋นซีฮ่องเต้