นักเขียนสาวผู้หนึ่งที่ซูอินชื่นชอบ เคยเขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่า หากไร้ซึ่งความรักมาก เช่นนั้นก็จำเป็ต้องมีเงินมาก
แต่ในความเป็จริง หลายคนขาดทั้งความรัก และไม่มีเงิน
ยกตัวอย่างเช่นเธอ
ตระกูลหลิงไม่สามารถเชื่อใจได้ ไม่ว่าจะเป็ชาติก่อนหรือในวันนี้ ตัวเธอรับรู้สถานะของตนเองอย่างชัดเจน และไม่เคยคาดหวังในทรัพย์สมบัติของตระกูลหลิง
ในส่วนของตระกูลซู เห็นได้ชัดว่าสภาพทางเศรษฐกิจของพวกเขาไม่สู้ดีนัก แม้ว่าการพบกันครั้งแรกจะสร้างความประทับใจที่ดี แต่เธอก็ไม่สามารถฝากความหวังไว้กับคนที่เจอกันแค่ครั้งเดียว
และในการวิเคราะห์ครั้งสุดท้าย พึ่งพาภูผา ภูผาย่อมถล่ม พึ่งพาผู้คน ผู้คนย่อมหนีหาย พึ่งพาตนเองนั้นดีที่สุด
ผลการเรียนของเธอไม่เลว แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเข้าเรียนในห้องโอลิมปิกได้ ค่าเล่าเรียนประจำปีของมัธยมปลาย ค่าหนังสือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมกันแล้วเป็เงินจำนวนไม่น้อย เธอจะต้องหาวิธีเก็บเงินไว้ั้แ่เนิ่นๆ
ซูอินเดินเล่นอยู่ในย่านตัวเมืองที่ครึกครื้น เมืองผิงในต้นทศวรรษ 2000 มีการพัฒนาน้อยกว่า่หลังๆ มาก เธออยู่ในย่านธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดใจกลางเมือง แต่ส่วนใหญ่แล้วสองข้างทางมักเป็ซุ้มขายของเอกชนเล็กๆ ซึ่งในเวลานี้ถือว่าเป็ย่านที่ทันสมัยมากๆ หากเทียบกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่แบบครบวงจรของคนรุ่นหลังที่มักครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่จนเดินดูเท่าไรก็ไม่หมด
แต่การมีขนาดเล็กก็ถือเป็ข้อดี ร้านค้าของเอกชนเล็กๆ มักจะรับคนเข้าทำงานง่ายกว่าห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ที่บริหารจัดการโดยผู้บริหารแบบครบวงจร
และด้วยความเข้าใจเช่นนี้ ซูอินจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอคอยมองร้านค้าต่างๆ สองข้างทาง หากเห็นร้านใดที่หน้าประตูติดป้ายรับสมัครงาน เธอก็จะเดินเข้าไปสอบถาม
ไม่นานเธอก็เริ่มรู้สึกพ่ายแพ้ ผ่านไปทีละร้าน ทีละร้าน แต่ละร้านมักจะใช้น้ำเสียงราวกับจะบอกว่า “เป็เด็กเป็เล็กอย่ามาวุ่นวายแถวนี้” เพื่อไล่เธอออกไป
ความอ่อนเยาว์และความงดงาม เหมือนกับว่าจะไม่ใช่เื่ดีเสมอไป
ไม่ง่ายเลยที่จะหาร้านค้าสักแห่งที่รับเธอเข้าทำงาน นอกจากเ้านายอ้วนวัยกลางคนที่มองเธอด้วยแววตาเยิ้ม เห็นได้ชัดว่าสายตาคู่นั้นไม่มีเจตนาดี เธอใมากจนต้องรีบหาข้ออ้างเพื่อหนีออกมา
ชีวิตไม่ง่ายจริงๆ
ซูอินถอนหายใจยาว ความร้อนในฤดูร้อนยังไม่จางหาย เดินไปมาอยู่เกือบชั่วโมง สุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จ
เธอรู้สึกปากแห้งและกระหายน้ำ เมื่อเห็นร้านค้าข้างๆ และตั้งใจจะเดินเข้าไปซื้อน้ำสักขวด เธอก็นึกได้ว่าไม่ได้พกเงินมา
เธอเอนกายนั่งลงบนม้านั่งอย่างหมดแรง เงยหน้ามองใบต้นอู๋ถงฝรั่งเศสที่เขียวชอุ่ม ก่อนจะเริ่มเหม่อ
เธอ้าวุฒิการศึกษาแต่ไม่มี ้าเงินแต่ก็ไม่ได้ เป็เพียงผู้เยาว์ที่แม้แต่เวลาก็ยังมีไม่พอ ในปี 2000 ต้นๆ ยังห่างไกลจากสังคมเปิดของคนรุ่นหลัง จะพึ่งพาอะไรในการหาเงินเล่า
สมองของเธอขาวโพลน
ในหัวว่างเปล่า เหม่อมองต้นอู๋ถงอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเปียกบริเวณข้อเท้า
ซูอินก้มลงมอง ก่อนจะเห็นลูกสุนัขตัวสีขาวราวกับหิมะ ลิ้นสีชมพูเลียข้อเท้าของเธออยู่ ดูเหมือนมันจะสังเกตเห็นว่าเธอกำลังมอง ลูกสุนัขตัวน้อยจึงยกหัวที่มีขนฟูขึ้น มองเธอด้วยดวงตาสดใส
ลูกสุนัขหูแหลมใบหน้ากลม จมูกเล็กเหมือนมีหินนำโชคสีดำติดอยู่ ดูจากลักษณะน่าจะเป็พันธุ์ปอมเมอเรเนียน
“เ้าตัวน้อย”
ซูอินโน้มตัวลงไปอุ้มมันขึ้นมาไว้บนตัก กระโปรงนักเรียนสีกรมท่าช่วยทำให้ขนปุกปุยสีขาวของมันดูน่ารักมากขึ้น
เ้าสุนัขตัวน้อยก้มหัวด้วยท่าทีสบายใจ ยอมรับััของเธอ ส่งเสียงครางเบาๆ เป็บางครั้งเหมือนกำลังออดอ้อน ซูอินแทบใจละลาย ภาวะเศร้าโศก หลังชนฝาจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็หายไป
เธอสังเกตเห็นว่าสุนัขตัวนี้เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่สุนัขจรจัดอย่างแน่นอน
เมื่อเล่นด้วยครู่หนึ่ง ท้องฟ้าก็เริ่มมืด เธอรู้ว่าตนเองควรกลับบ้าน แต่ก่อนจะกลับเธอต้องพาสุนัขตัวนี้กลับไปส่งเช่นกัน
“บ้านแกอยู่ที่ไหน”
เหมือนกับว่าเ้าตัวน้อยจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด มันมองพื้นก่อนจะส่งเสียง “โฮ่ง” สองครั้ง
ซูอินลุกขึ้นก่อนจะวางมันลงบนพื้น มองดูพร้อมรอยยิ้มเพื่อส่งมันกลับ แต่สุนัขตัวน้อยวิ่งไปแค่ไม่กี่ก้าวก็วิ่งกลับมา หัวฟูเล็กๆ ถูเท้าของเธอไปมา ก่อนจะวิ่งไปทางที่วิ่งไปเมื่อครู่อีกครั้ง
“อยากให้ฉันไปกับแกเหรอ”
“โฮ่งๆ”
ซูอินมองถนนสองข้างทางที่มีแสงไฟสว่าง ตอนนี้เย็นมากแล้ว เธอควรกลับไปกินข้าวที่บ้าน แต่เมื่อคิดดูอีกที เธอจะกลับหรือไม่กลับไม่ใช่เื่สำคัญ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ
เธอไม่ลังเลอีกแล้ว เลือกเดินตามสุนัขตัวน้อยไปทันที
เมื่อครู่ซูอินก็เดินผ่านมาทางนี้ แต่ไม่ได้สังเกตว่าตรงมุมนี้มีร้านชานมเปิดอยู่ อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ หน้าร้านชานมมีกระดาษ A4 แผ่นหนึ่งแปะอยู่ บนกระดาษเขียนด้วยดินสอสีว่า “รับสมัครพนักงานรายชั่วโมง เงินเดือนตามตกลง”
พนักงานรายชั่วโมงหรือ
จะต้องเป็่เวลาที่ยุ่งและ้าพนักงานเร่งด่วนที่สุด ่เวลาที่ยุ่งที่สุดของร้านชานมน่าจะเป็ตอนกลางวันและเย็น ตอนกลางวันเธอมีเวลาพักเที่ยงสามชั่วโมง ตอนเย็นเลิกเรียนยิ่งมีเวลาว่างมากขึ้น
ดูๆ ไปแล้วงานนี้เกิดมาเพื่อเธอเลยนะ
“น่ารักจริงๆ”
ซูอินอุ้มสุนัขตัวน้อยขึ้นมา จูบจมูกบอบบางของมันด้วยความตื่นเต้น
“หรงหรง~”
เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากในร้าน ซูอินที่อุ้มสุนัขตัวน้อยอยู่เงยหน้าก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านหลังเคาน์เตอร์
ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่สาวๆ ที่หางตามีรอยตีนกา ทว่าทรงผมที่ประณีตและเสื้อผ้าที่สง่างามของเธอราวกับจะปิดกั้นฤดูร้อนออกไปจนใครต่อใครที่เห็นต่างก็รู้สึกสดชื่น
เมื่อมีกลิ่นอายที่ดี เพียงพบหน้า ซูอินก็รู้สึกประทับใจผู้หญิงคนนี้มาก
ขณะที่เธอมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างละเอียด ผู้หญิงคนนั้นก็มองเธออยู่เช่นกัน สาวน้อยคนนี้หน้าตาไม่เลว ขาวผ่อง โดยเฉพาะดวงตากลมโตสดใสคู่นั้น ไม่ว่าใครเห็นต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี
เธอพยักหน้าเล็กน้อย สายตาของอวี๋อ้ายหงเลื่อนไปมองสุนัขตัวน้อยในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
และนั่นทำให้เธอมีความรู้สึกที่ดีต่อเด็กสาวมากขึ้น หรงหรงดื้อรั้น ไม่ยอมให้คนอุ้มง่ายๆ แม้แต่บุตรชายของเธอ เ้าสุนัขตัวน้อยก็ไม่ยอมให้อุ้ม ปกติหากอยู่ในอ้อมกอดเธอก็พอจะเชื่องสักหน่อย แต่วันนี้มันกลับว่านอนสอนง่ายอยู่ในอ้อมกอดของสาวน้อยคนนี้
หลายครั้งความรู้สึกของสัตว์แม่นยำกว่าคน ความรู้สึกที่ออกมาจากจิตใจที่หนุนส่ง เด็กสาวคนนี้ไม่เลวจริงๆ
“หรงหรงซุกซนชอบวิ่งเล่นไปทั่ว ขอบใจนะจ๊ะที่เอามันกลับมาส่ง”
ซูอินอดไม่ได้ที่จะอาลัยอาวรณ์ขณะที่ส่งเ้าตัวน้อยคืนเ้าของ เธอพยักหน้า “หรงหรงเป็เด็กดีมากค่ะ เมื่อกี้เป็เพื่อนเล่นกับหนู รู้ใจมากเลยค่ะ”
อวี๋อ้ายหงยกยิ้มมุมปาก รวมกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ อ่อนโยนดุจดอกเบญจมาศ
ไม่รู้เหตุใดซูอินถึงรู้สึกผ่อนคลาย “พวกคุณกำลังรับสมัครพนักงานรายชั่วโมงหรือคะ รับหนูเข้าทำงานได้ไหมคะ”
“หือ?”
อวี๋อ้ายหงเพ่งมองเครื่องแต่งกายของสาวน้อย บุตรชายของเธอก็เรียนจบจากโรงเรียนทดลอง เธอจึงรู้จักเครื่องแบบนี้
“เธออายุเท่าไร บรรลุนิติภาวะแล้วหรือยัง”
ที่ผ่านมาเมื่อครู่ซูอินบอกเสมอว่าตนเองอายุสิบแปดปีแล้ว แม้ว่าจะมีคนถามเื่เครื่องแบบนักเรียน แต่เธอก็จะเถียงว่าตนเองเข้าเรียนช้า และยังซ้ำชั้น แต่อายุนั้นถึงแล้ว ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหญิงสง่างามผู้นี้ เธอไม่กล้าโกหก
“ยังค่ะ”
“แล้วทำไมถึงออกมาหางานทำ อีกไม่นานก็จะสอบปลายภาคแล้วไม่ใช่หรือ” ด้วยความรู้สึกดี อวี๋อ้ายหงจึงเอ่ยถามสักหน่อย
“ที่บ้านมีปัญหานิดหน่อยค่ะ อีกไม่นานก็จะขึ้นมัธยมปลาย หนูจะต้องเก็บเงินค่าเรียนเองค่ะ”
เมื่ออธิบายออกไปง่ายๆ ซูอินก็พูดเสริมว่า “แม้จะต้องเข้าเรียน แต่่กลางวันและหลังเลิกเรียนหนูสามารถมาทำงานได้ หนูสามารถมาช่วยใน่เวลาที่ยุ่งมากที่สุด เงินเดือนก็ถูกกว่าจ้างพนักงานประจำมาก อีกทั้งหนูเป็คนตั้งใจทำงาน อดทนต่อความลำบากได้ ไม่มีทางเป็ตัวถ่วงแน่นอนค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงข้อดีของตนเอง เธอมองอีกฝ่ายด้วยความคาดหวัง อันที่จริงเธอก็ไม่ได้คาดหวังมาก เพราะก่อนหน้านี้ถูกปฏิเสธมาแล้วหลายร้าน
“เข้ามาสิ มารู้จักขั้นตอนการทำงานในร้านก่อน”
อะไรนะ? ด้วยความใ ดวงตาของซูอินพลันเบิกกว้าง
เวลาต่อมา เมื่อเข้าใจความหมายในคำพูดของหญิงตรงหน้า ความสุขก็ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
สำเร็จแล้วหรือ ดวงตาของซูอินเป็ประกาย มองสุนัขในอ้อมกอด อยากบีบเ้าสุนัขตัวน้อยจริงเชียว