หลายวันผ่านไป
ยามสารทฤดูของเมืองฉางอันอากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว
หนุ่มวัยรุ่นที่น่าจะมีอายุเพียงสิบหกถึงสิบเจ็ดปียืนอยู่กลางลานฝึกของสำนักเทียนหลาน
เขากระชับดาบที่ดูไม่น่าสะดุดตาเอาไว้ในมือมั่น
หากเพียงเคลื่อนกายสายฟ้าก็พากันส่องสว่างขึ้นเพลิงศักดิ์สิทธิ์มากมายหล่อหลอมเข้าด้วยกันจนกลายเป็ม่านคุ้มกายขณะที่พลังดาบอันแสนมหาศาลก็ปะทุซ่านเซ็นไปทั่วทิศ
เขามีระดับพลังต่ำต้อยเพียงระดับหลอมจิตทว่าดาบที่ถูกเหวี่ยงออกไปอย่างโหมกระหน่ำกลับรวดเร็วจนคนปกติเห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้นแต่ไม่อาจจับภาพที่แท้จริงของดาบได้เลย
“สังหาร!” เขาะโเสียงดังสนั่นส่งเสียงคำรามอย่างทรงพลังดุจดังพญาราชสีห์พลันเงาของดาบขนาดใหญ่ก็ถูกเหวี่ยงลงมาจาก้า แล้วกระแทกลงบนลานฝึกอย่างรวดเร็ว
เสียงกึกก้องปะทุขึ้น พื้นหินบนลานถูกกระแทกจนลอยขึ้นเหนือพื้นดินแล้วกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศในพริบตา
“ฮู่...” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาร่างของเขาหยุดนิ่งลง ก่อนดาบจะถูกเก็บกลับเข้าไปในฝักอีกครั้ง
เขาหลับตาลงราวตกสู่ภวังค์คล้ายกำลังครุ่นคิดเื่บางอย่าง
เขาเบิกตากว้างขึ้นอีกครั้งในประมาณสิบอึดใจให้หลัง
ใบหน้าของเขาไม่ได้หล่อเหลาสักเท่าไรนัก แต่แลดูใสสะอาดเป็อย่างมากใสสะอาดราวกับหิมะในดินแดนทางเหนือเลยก็ว่าได้ บริสุทธิ์ ไร้สิ่งแปดเปื้อนดวงตาของเขาก็ใสมากไม่ต่างกัน ใสจนราวกับธารน้ำบนเทือกเขาสูงที่มองทะลุลงไปจนถึงพื้นน้ำได้
แต่ขณะนี้ ใบหน้านั้นกลับแลดูเคร่งเครียดเล็กน้อยเขาขมวดคิ้วมุ่น แล้วเอ่ยกับตัวเองเบาๆ “ยังไม่พอ”
ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้งแล้วบ่นกับตัวเอง “หากผู้าุโฉู่อยู่ด้วยก็คงดี”
พอฉู่ซีฟงไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะปรึกษาปัญหาในการฝึกวิชาดาบกับใครจึงได้แต่ฝึกเช่นเดิมซ้ำๆ เพื่อทำความเข้าใจด้วยตนเองเท่านั้น ทว่าการฝึกซ้ำๆ เช่นนี้ทำให้เสียทั้งเวลาและแรงไปมากแต่กลับได้ผลเพียงเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูฉางอันก็ถอนหายใจยาวๆออกมา จากนั้นชี้ปลายดาบขึ้นฟ้า แล้วเก็บมันขึ้นแผ่นหลัง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จซูฉางอันจึงเดินไปยืนอยู่ที่ขอบของลานฝึก มองไปยังต้นไม้ที่ผลัดใบลงมาจนแทบไม่มีใบเหลือส่วนลึกของจิตใจพลันเศร้าสลดขึ้นมาอย่างยากจะอธิบาย
สำนักเทียนหลานในยามนี้ ช่างเงียบเหงาเหลือเกินฉู่ซีฟงไปเจียงตง เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็อยู่แต่ในวังหลวงกู่เซี่ยนจวินเองก็ได้รับาเ็ จึงต้องพักรักษาตัวไปก่อน ในสำนักแห่งนี้นอกจากอวี้เหิงก็เหลือเพียงซูฉางอันกับฝานหรูเยว่เท่านั้นที่ยังเดินไปเดินมาทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ ซูฉางอันยังไม่ชินกับชีวิตที่ไม่มีพวกเขาจริงๆ
เขาถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ และก็ทรุดตัวนั่งลงบนลานด้วยท่าทีเรียบง่าย
สายลมพัดโชยมาใบไม้ใบสุดท้ายบนกิ่งเบื้องหน้าไหวเอนไปตามแรงลม จนในที่สุดก็มิอาจฝืนต้านสายลมอีกต่อไปปลิดปลิวลงจากต้นอย่างอ้อยอิ่ง
ซูฉางอันมองใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาพร้อมกับสายลมอย่างเหม่อลอย
“คุณชายซู! ”จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
ซูฉางอันที่เพิ่งได้สติหันกลับไปมองตามเสียงจึงได้พบกับฝานหรูเยว่ในชุดกระโปรงสีขาวกำลังวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหากระโปรงที่ปลิวไสวไปตามแรงลม ช่างแลดูงดงามเสียจริง
ซูฉางอันลุกยืน แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง “มีอะไรรึ?”
ฝานหรูเยว่หยุดลงตรงหน้าซูฉางอัน เพราะวิ่งมาเสียไกลใบหน้าของนางจึงปรากฏสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาที่หน้าผากเล็กน้อยแลดูน่ารักเหลือเกิน
“คุณชายซู มีผู้หญิงคนหนึ่งมาที่สำนัก นางบอกว่าตัวเองเป็ผู้สืบทอดของท่านไคหยางบอกว่าอยากจะพบท่าน” ฝานหรูเยว่พูดพลางหอบหายใจ
ซูฉางอันนิ่งไปเล็กน้อย ผู้สืบทอดของอาจารย์ลุงไคหยางอย่างนั้นหรือ? เขารู้ว่าอาจารย์ลุงท่านนี้ของตนยังมีชีวิตอยู่ แต่เขายังไม่เคยได้เจอไคหยางมาก่อนจึงรู้เื่เกี่ยวกับไคหยางเพียงน้อยนิดเท่านั้น ทว่าในตอนนี้ จู่ๆก็มีผู้สืบทอดปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นอย่างอดไม่ได้เขาเอียงคอพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็ผู้สืบทอดตัวจริงหรือตัวปลอม อย่างไรเสียก็ควรไปพบสักหน่อยเมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหันไปพยักหน้ากับฝานหรูเยว่ แล้วพูดขึ้น “ไปกันเถอะไปดูกันเสียหน่อย”
“อืม” ฝานหรูเยว่ขานรับ จากนั้นก็หมุนตัวมุ่งหน้าเดินนำซูฉางอันออกไป
“เ้าเป็ผู้สืบทอดของอาจารย์ลุงรึ?” ซูฉางอันมองดูสตรีในอาภรณ์เขียวตรงหน้าพลางถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
นางเป็หญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง ที่เอวมีขลุ่ยหยกทัดอยู่ในมือมีกระบี่ที่ยาวราวสามฉื่อเอาไว้ ใบหน้าของนางงดงามราวกับเทพธิดาบนดวงจันทร์ก็ว่าได้คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด แต่สิ่งที่ทำให้ลืมไม่ลงมากที่สุดย่อมเป็ดวงตาคู่งามของนางมันแลดูบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งสิ่งแปดเปื้อน ดังเช่นสายน้ำกลางเทือกเขาไม่มีผิดแต่ในขณะเดียวกัน มันก็แลดูลึกล้ำเหลือคณา ราวกับท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาวเรียกได้ว่าสวยจนบุปผาอายเลยทีเดียว
ทว่าใบหน้าของนางกลับแลดูเ็าเหลือเกินปานเป็เกล็ดหิมะที่ยากจะเข้าใกล้อย่างไรอย่างนั้น
“อืม” สตรีผู้นั้นพยักหน้าเบาๆ พลางปรายตามองมาที่ซูฉางอัน“เ้าเป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่รึ?”
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้าตอบทันทีทันใด แม้ไม่เคยพบสตรีผู้นี้มาก่อนแต่ดวงตาที่ใสสะอาดของนางกลับให้ความรู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน แต่พอมาตรองดูอีกที สตรีที่งดงามถึงเพียงนี้หากเคยได้พบเจอ ย่อมไม่มีทางลืมลงเป็แน่ เหตุนี้ เขาจึงล้มเลิกความสงสัยในใจลง“เ้ามาที่นี่ทำไมรึ”
“ข้าเป็ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหลานย่อมต้องเข้ามาพักอาศัยในสำนักเป็ธรรมดา” หญิงสาวกล่าวขึ้น เสียงของนางไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป ทั้งยังฟังดูใจเย็นและเรียบเฉยเป็อย่างมาก ราวกับว่าสิ่งที่นางพูดออกมาเป็สิ่งที่สมควรและเหมาะสมทุกประการ
ซูฉางอันชะงักไป เขาคิดว่าสตรีผู้นี้พูดถูกแต่ก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้อง เขาคิดอยู่สักครู่ และถามขึ้นอีก “เ้ามีเครื่องยืนยันว่าเป็ผู้สืบทอดของท่านไคหยางหรือไม่?”
“เ้าอยากให้ยืนยันอย่างไรเล่า?” หญิงสาวถามกลับ
ซูฉางอันนิ่งไปอีกครั้งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะยืนยันเช่นไรดี
ในขณะที่เขากำลังเหม่อลอย สตรีผู้นั้นก็เดินตรงเข้าไปภายในสำนักเทียนหลานเสียแล้ว
ซูฉางอันสะดุ้งใรีบเอื้อมมือเข้าไปรั้งร่างของหญิงสาวเอาไว้ทันที “เ้าจะทำอะไร?” เขาถามด้วยท่าทางไม่สู้พอใจนัก
หญิงคนนั้นขมวดคิ้วมุ่น “ก็เข้าไปข้างในอย่างไรละ”
“ไม่ได้ เ้ายังไม่ได้พิสูจน์ว่าเ้าเป็ผู้สืบทอดของท่านไคหยางเลย”
“แต่เ้าก็ไม่รู้ ว่าจะให้ข้าพิสูจน์เื่นี้อย่างไร”
“...”
ซูฉางอันรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย สตรีผู้นี้พูดถูกแต่ครั้นจะปล่อยให้หญิงที่ไหนไม่รู้เข้าไปในสำนักง่ายๆเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่ดี แม้หญิงผู้นี้จะมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามมากก็เถอะ
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วเป็ปม นางเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว
นางคิดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างซูฉางอันจะให้นางยืนยันตน แต่กลับมาบอกว่าไม่รู้ว่าควรจะยืนยันอย่างไรอีกครั้นนางจะเข้าไป เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้เข้าไปเช่นกันหญิงงามวางมือลงบนด้ามกระบี่โดยสัญชาตญาณ... ใน่ชีวิตอันแสนยาวนานที่ผ่านมาเมื่อพบเจอพวกที่ไม่มีเหตุผล นางมักยัดเยียดเหตุผลให้พวกเขาด้วยกระบี่ในมือเสมอ
นี่เป็วิธีที่ท่านอาจารย์สอนนาง และนางก็สอนเื่เหตุผลกับผู้อื่นด้วยวิธีเช่นนี้มามากจนนับไม่ถ้วนมีั้แ่คนที่เป็นักรบแห่งดาราจักรไปจนถึงทหารชั้นล่าง นางจึงคิดว่านี่เป็วิธีใช้เหตุผลดีที่สุดแล้วนั่นทำให้นางยังใช้วิธีนี้มาจนถึงตอนนี้
แต่เพียงไม่นานนางก็ตระหนักถึงบางอย่างขึ้นมาได้ซูฉางอันมีบุญคุณกับนางมาก่อน และที่นางมายังที่แห่งนี้ ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณของเขาแม้ผู้มีพระคุณผู้นี้จะไม่มีเหตุผลไปหน่อย แต่อย่างไรเสีย เขาก็เป็ผู้มีพระคุณเมื่อคิดได้ดังนี้ นางก็ลดมือที่วางอยู่บนด้ามกระบี่ไปแนบข้างลำตัว เบิกตากว้างแล้วตอบคำถามของซูฉางอันอย่างใจเย็น
และในตอนที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่ ทันใดนั้นเองเสียงที่เต็มไปด้วยความแก่ชราของใครบางคนก็ดังขึ้นภายในสำนัก
“ให้นางเข้ามาเถิดนางเป็ผู้สืบทอดของอาจารย์ลุงเ้าจริงๆ”
ซูฉางอันชะงักไป แน่นอนเขาเชื่อในสิ่งที่อวี้เหิงพูดอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆเขาก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ซูฉางอันนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดขึ้นในที่สุด“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเ้าไปหาอาจารย์อวี้เหิงเอง”
หญิงสาวพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก เพียงแค่เดินตามซูฉางอันไปจนถึงหออวี้เหิงอย่างเงียบๆเท่านั้น
พอมาถึงหน้าประตู ในตอนที่ซูฉางอันกำลังจะผลักประตูเข้าไปเสียงที่เต็มไปด้วยความแก่ชราก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉางอัน เ้ากลับไปก่อนเถอะข้ามีเื่อยากจะคุยกับนางเป็การส่วนตัว”
“อ้อ” ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็ยอมพยักหน้าเป็เชิงตกลง เขามองประเมินหญิงสาวเป็ครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปด้วยความสงสัยพร้อมกับฝานหรูเยว่
หญิงสาวดันประตูเข้าไป
มันเป็ห้องที่ตกแต่งอย่างธรรมดาเหลือเกิน
ในห้องมีเพียงโต๊ะไม้หนึ่งตัว เก้าอี้ไม้สองสามตัว ตรงกลางห้องมีเก้าอี้ไทชิตั้งอยู่สองตัวและมีภาพวาดทิวทัศน์ที่ไม่ได้งดงามอะไรมากมายติดอยู่เท่านั้น
บนเก้าอี้ไทชิ หนึ่งในนั้น มีร่างชราของใครบางคนนั่งอยู่
คนผู้นั้นแลดูแก่ชรามากเหลือเกิน
เขาเป็เ้าของเส้นผมขาวโพลนอันแสนบางตาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ร่างกายค่อมโค้งเล็กน้อย ดวงตาหรี่เล็กคู่นั้นเต็มไปด้วยความง่วงซึมที่มากจนไม่อาจปิดบังเหมือนเคย
ั้แ่ได้พบกับคนชรา หญิงสาวก็มีท่าทีประหลาดไป
“เ้ากำลังจะตายแล้ว” นางพูดเช่นนั้น
“อืม” อวี้เหิงพยักหน้า
“แต่เ้าจะไม่ตายก็ได้นี่” นางพูดขึ้นอีกครั้ง
“หืม?” อวี้เหิงเบิกตาที่เคยหรี่เล็กขึ้น“เ้าหมายถึง ให้ทำเหมือนไคหยางรึ?”
“แบบนั้นไม่ดีหรือ?” หญิงสาวสงสัย
“มนุษย์ทุกคนย่อมต้องตายในสักวัน” อวี้เหิงบอกแบบนั้น
หญิงสาวยังไม่เข้าใจ นางกำลังจะถามบางอย่างออกมาแต่อวี้เหิงก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เ้าชื่ออะไร”
“ชิงหลุน”
“...” อวี้เหิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะราวกำลังนึกลังเลบางอย่าง แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจถามขึ้น “เขาเป็อย่างไรบ้าง”
“โลกใบนี้ ไม่มีไคหยางอีกแล้ว” หญิงสาวตอบเช่นนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้