บทที่ 47 ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ
สวี่จือจือไม่เข้าใจว่าเขาอึกอักเพราะอะไร จนกระทั่งเธอเก็บของเสร็จและเหลือบไปเห็นตัวเองในกระจกบนตู้
ใครคือคนหน้าลายคนนี้กัน? นี่ไม่ใช่เธอแน่นอน!
“ไอ๊หยา” โจวซื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้างุนงงก็หัวเราะ “ทำไมหลานยังไม่ไปล้างหน้าล้างตาอีก?”
สวี่จือจือ “...” ก็ย่าไม่ได้เตือนหนูนี่นา
ไม่นานลู่จิ่งซานก็เดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายรับรอง โดยมีสวี่ฉางไห่เดินตามหลังมา “อารองป่วยเหรอครับ?”
สวี่ฉางไห่กับสวี่จงโฮ่วเป็ลูกพี่ลูกน้องกัน
สวี่จือจือทักทายเขา “หนูก็เพิ่งรู้ตอนที่แม่เรียกตัวกลับมา ไอหนักมากเลยค่ะ คงต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำอำเภอสักหน่อย”
ยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงไอของคุณปู่ดังขึ้นอีก
หนักจริงๆ ด้วย
“ถ้างั้น...ลุงไปด้วยกันกับพวกเธอด้วยแล้วกัน” สวี่ฉางไห่เหลือบมองลู่จิ่งซานพลางพูด “ค่าหมอ...เดี๋ยวลุงกลับไปเอามาให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณค่ะคุณลุง” สวี่จือจือรีบปูผ้ารองบนรถเข็นแล้วบอกกับลู่จิ่งซานว่า “หนูพยุงคุณปู่เองค่ะ”
ลู่จิ่งซานจัดผ้าปูอีกครั้งแล้วเข็นรถเข็นไป
“ปู่บอกแล้วไงว่าไม่ต้อง...แค่กๆ...” คุณปู่สวี่พูดพลางไอ “พ่อหลานให้ยามาแล้ว ดื่ม...ดื่มเข้าไปเดี๋ยวก็หาย”
“คุณปู่รีบขึ้นรถเถอะค่ะ” สวี่จือจือพยุงเขา “ระวังเท้าด้วยนะคะ”
“เด็กคนนี้นี่...” สุดท้ายคุณปู่สวี่ก็ถูกพยุงขึ้นรถเข็น
“คุณย่าอยู่ที่บ้านนะคะ” สวี่จือจือพูด “คุณปู่อยู่กับพวกหนู ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ได้สิ เด็กดี” โจวซื่อเช็ดน้ำตา
เธอเองก็อยากจะตามไปด้วย แต่ด้วยเท้าเล็กๆ ของตัวเอง ทำให้ไม่สะดวกที่จะออกไปไหนมาไหน
“คุณก็ขึ้นมานั่งด้วยกันเถอะ” พอลับหมู่บ้าน ลู่จิ่งซานก็พูดกับสวี่จือจือ
“ฉันเดินได้” สวี่จือจือส่ายหน้า
ทางเข้าอำเภอไม่ได้ดีนัก ถ้าให้เธอนั่งไปด้วย จะไม่เป็การเพิ่มภาระหรือไงกัน
“ถ้าเดินเหนื่อยเมื่อไหร่ก็ขึ้นมา” ลู่จิ่งซานพูด
ความจริงเขาอยากจะพูดมากกว่าว่าถึงจะให้เธอขึ้นมานั่งด้วยสองคน เขาก็ยังไหว
หน้าร้อนฟ้ามืดค่ำช้า แถมหมู่บ้านผานสือก็ไม่ได้อยู่ไกลจากตัวอำเภอมากนัก พอไปถึงตัวอำเภอ ฟ้าก็ยังไม่มืด
ลู่จิ่งซานให้สวี่จือจือนั่งเฝ้าคุณปู่บนรถเข็น ส่วนตัวเองก็เอาหนังสือรับรองไปทำธุระ
“นังหนูเอ๊ย” คุณปู่ไอเบาลงแล้วมองสวี่จือจืออย่างซาบซึ้งใจ “เขาเป็คนดีนะ ดูแลเขาให้ดีๆ ล่ะ เื่ของบ้านเรา ปล่อยมันไปเถอะ”
บ้านหลังนี้มีแต่จะฉุดรั้งเธอ
“ถ้าไม่ใช่เพราะหนู” สวี่จือจือจับมือที่เหี่ยวย่นของเขาพลางพูด “ปู่กับย่าก็คงจะไม่ถูกไล่ออกมา”
“ถ้าไม่ได้พวกหลาน ปู่ก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่มาได้ถึงขนาดนี้”
“คุณปู่” สวี่จือจือมองมือที่แห้งกร้านของเขาแล้วพูด “ปู่กับย่าต้องแข็งแรงนะคะ ถ้าวันไหนหนูเก่งแล้ว หนูจะพาไปสบาย”
“เด็กคนนี้นี่” คุณปู่พูด “ดูแลชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอ ปู่กับย่าไม่ต้องให้พวกหลานห่วงหรอก ปู่...แค่กๆ...” แล้วก็ไอขึ้นมาอีก
“เอาเถอะค่ะๆ” สวี่จือจือช่วยลูบหลังให้เขา “พวกเราต้องแข็งแรงกันทุกคน”
ไม่นานลู่จิ่งซานก็ทำธุระเสร็จ สวี่จือจือพยุงคุณปู่ลงจากรถเข็น ลู่จิ่งซานก็เข็นรถไปฝากไว้ตรงหน้าประตู แล้วรีบกลับมาพาไปหาหมอ
ตอนนี้มีแต่หมอเวร ไม่สามารถเอ็กซเรย์ได้ ทำได้แค่ใช้หูฟังตรวจดู
“พรุ่งนี้ค่อยมาเอ็กซเรย์ วันนี้พักที่นี่ก่อน” คุณหมอพูด “อายุมากแล้ว ต้องระวังหน่อยนะครับ”
“คุณหมอ แค่จ่ายยาให้ฉันก็...แค่กๆ...แค่กๆ...”
ชายชราได้ยินว่าจะต้องเอ็กซเรย์แล้วพักที่โรงพยาบาลก็รีบร้อน มันจะต้องเสียเงินเท่าไหร่กัน
“คุณปู่ ไม่ต้องห่วงเื่เงินหรอกค่ะ” สวี่จือจือถือแก้วน้ำให้เขา
ส่วนลู่จิ่งซานก็ช่วยลูบหลังให้ “ไหนๆ ก็มาแล้ว รักษาให้หายไปเลยเถอะครับ”
ตอนแรกหมอไม่พอใจกับคำพูดของเขาเล็กน้อย แต่พอได้ยินลู่จิ่งซานพูดอย่างนั้นก็ยิ้มออกมา “คุณปู่ครับ หลานชายคนนี้กตัญญูจริงๆ ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือ ก็เท่ากับสร้างความลำบากให้เด็กๆ อีกนะครับ”
“หลานเขย” ชายชราตบมือของลู่จิ่งซานอย่างซาบซึ้งใจ
“คุณหมอ รบกวนคุณออกใบสั่งยาให้พวกเราด้วยนะคะ” สวี่จือจือพูด
ชายชรายังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็ได้ยินสวี่จือจือพูดว่า “ถ้าคุณปู่เป็แบบนี้อีก หนูจะโกรธจริงๆ ด้วย”
สุดท้ายเขาก็พยักหน้าทั้งน้ำตา
พอทำเื่เข้าพักที่โรงพยาบาลเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว สวี่จือจือมองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงเคาน์เตอร์พยาบาล ตอนนี้สองทุ่มยี่สิบ
“วันนี้ขอบคุณนะ” สวี่จือจือพูดพลางก้มหน้า “ตรงนี้มีฉัน เดี๋ยวคุณรีบกลับเถอะ ไม่รู้ว่าคุณย่าจะเป็ห่วงหรือเปล่า?”
“ไม่เป็ไร” ลู่จิ่งซานพูด “ตอนไปเอาจดหมายรับรอง ผมให้หัวหน้ากองงานฝากบอกข่าวที่บ้านไปแล้ว”
สวี่จือจือรู้สึกผิด ไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งๆ ที่พวกเขาต้องหย่ากันในภายหลัง แต่เธอกลับรู้สึกว่าติดหนี้ลู่จิ่งซานมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็ได้ยินเขาพูดว่า “ตอนกลางคืนผมจะอยู่ดูแลคุณปู่ โรงพยาบาลมีที่พักรับรองอยู่ข้างๆ เดี๋ยวให้คุณ...”
“ไม่ต้องๆ” สวี่จือจือรีบโบกมือ “ฉันก็จะอยู่เหมือนกัน”
ลู่จิ่งซานเห็นเธอพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ยืนกรานอะไร ตอนนี้เป็หน้าร้อน คนที่มาพักที่โรงพยาบาลก็ไม่เยอะ ตรงข้างๆ ชายชราก็มีเตียงว่างอยู่เตียงหนึ่ง
ตกกลางคืน ลู่จิ่งซานก็ให้สวี่จือจือนอนบนเตียงว่าง ส่วนตัวเองก็หาเก้าอี้มานั่งพักสายตา
ชายชราไอหนักใน่ครึ่งคืนแรก พอถึงครึ่งคืนหลัง ไม่รู้ว่าเป็เพราะฤทธิ์ยาหรือเปล่า เสียงไอค่อยๆ เบาลง
ตอนแรกสวี่จือจือคิดว่าตัวเองจะนอนครึ่งคืนแรก แล้วให้ลู่จิ่งซานมานอนต่อในครึ่งคืนหลัง แต่ใครจะรู้ว่าพอเธอหลับไปในครึ่งคืนแรก พอตื่นมาอีกทีข้างนอกก็ฟ้าสว่างแล้ว ในห้องพักผู้ป่วยมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ
สวี่จือจือมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง
ในห้องพักผู้ป่วยขนาดใหญ่ มีหน้าต่างเล็กๆ สองบาน กรอบหน้าต่างทาด้วยสีเขียวที่ลอกล่อน แสงแดดยามเช้าของฤดูร้อนส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สวี่จือจืออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นบังแสงที่สว่างจ้า
“จือจือตื่นแล้วเหรอ ?” คุณปู่สวี่ที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “รีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ จิ่งซานไปซื้อข้าวเช้ามาแล้ว”
สวี่จือจีรีบลุกจากเตียง ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ
เธอรีบะโลงจากเตียง สวมรองเท้าอย่างลนลานแล้วพูดอย่างเขินอาย “หนู...เมื่อคืนหลับลึกไปหน่อย”
หลับไปทั้งคืนเลย
“ไปล้างหน้ามากินข้าวเถอะ” เสียงทุ้มต่ำของลู่จิ่งซานดังมาจาก้า พร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตสีน้ำเงินให้ เป็ของใหม่
“ขอบคุณนะ” เธอรับมาพลางก้มหน้า แล้วรีบไปที่ห้องน้ำข้างนอก
ด้านหลัง ลู่จิ่งซานมองเธอ
เมื่อกี้ตอนที่สวี่จือจือตื่นขึ้นมา ท่าทางแบบนั้นทำให้เขารู้สึกว่าเธอเหมือนไม่ได้เป็คนของที่นี่ ถึงแม้จะเป็แค่่เวลาสั้นๆ แต่เขาก็จับความรู้สึกนั้นได้
ลู่จิ่งซานรู้สึกใจไม่ดี ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้